Monday, May 9

ปกาเกอะญอ นักนิเวศแนวลึกแห่งขุนเขาอันศักดิ์สิทธิ์


ปกาเกอะญอ[1]...นักนิเวศแนวลึกแห่งขุนเขาและโลกทัศน์แห่งความศักดิ์สิทธิ์

วัฒนธรรมการทำไร่หมุนเวียนของปกาเกอะญอดั้งเดิมสะท้อนให้เห็นถึงระบบคุณค่าที่มองเห็นความศักดิ์สิทธิ์ของผืนดิน และธรรมชาติแวดล้อม มองเห็นความมีชีวิตและคุณค่าของดิน น้ำ ป่าและข้าวในฐานะผู้ให้และผู้เอื้อเฟื้อเกื้อกูลชีวิตของมนุษย์ ความเคารพและอ่อนน้อมถ่อนตนที่ชาวปกาเกอะญอมีต่อระบบนิเวศนี้นับวันจะได้รับการท้าทายจากกระแสการพัฒนาสมัยใหม่ในยุคของอุตสาหกรรมนิยมและบริโภคนิยมที่เน้นให้เกิดการผลิตและบริโภคสูงสุด ภายใต้กรอบการมองโลกที่เห็นว่าโลกและแผ่นดินเป็นเพียงปรากฎการณ์ทางวัตถุ ไร้ชีวิตและคุณค่าในตัวเอง และมองเห็นวัฒนธรรมดั้งเดิมเหล่านี้ว่าเป็นเพียง”ความงมงาย” และ “ความล้าหลัง”

ในวิถีการมองโลกแบบปกาเกอะญอนั้น ธรรมชาติ เช่น แผ่นดินและแม่น้ำล้วนมี “เจ้า(ของ” ทั้งสิ้น มนุษย์เป็นเพียงผู้เข้ามาใช้และเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเท่านั้น
[2] และไม่มีการแยก “กายภาพ” ออกจาก “จิตวิญญาณ” หรือ “ขวัญ” ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งในธรรมชาติ ฉะนั้นคำว่า “ระบบนิเวศน์” หรือ “ธรรมชาติ” นั้นจึงมีจิตวิญญาณคุ้มครองอยู่ มีชีวิตและมีคุณค่าในตัวเอง มนุษย์ไม่สามารถไปครอบครองได้ แต่อาจขอใช้ได้ ดังนั้นความเคารพจึงเป็นหัวใจสำคัญของระบบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และธรรมชาติ ซึ่งต้องไปพ้นความอหังการ์และความคิดที่เอามนุษย์เป็นศูนย์กลางของโลก โลกทัศน์ดังกล่าวครอบคลุมถึงจริยธรรมที่ชาวปกาเกอะญอใช้ในการดำเนินชีวิตอีกด้วย จึงไม่ได้แยกระบบจริยธรรมออกเป็นส่วนๆ ว่าส่วนใดเป็นส่วนผลิตหรือส่วนของการบริโภคและดำเนินชีวิต

วงจรการผลิตของปกาเกอญอ
[3]นั้นเป็นไปตามวงจรของนิเวศวิทยา การเริ่มต้นฤดูการผลิตถือเป็นปีใหม่ที่เรียกว่า “แชะลอหนี่ซอโข่” จะมีการผูกข้อมือเรียกขวัญ มีการรดน้ำ ดำหัว ผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการมองมิติของกายและจิตที่สัมพันธ์กันและมีผลต่อสุขภาวะโดยรวม จะมีการปรึกษาหารือว่าในปีนั้นๆ พื้นที่ใดจะเหมาะสมสำหรับการทำไร่ โดยพิจารณาความเหมาะสมตามปัจจัยของความยั่งยืนเชิงนิเวศน์ต่างๆที่ซับซ้อน ที่ได้รับการสั่งสมมาหลายชั่วอายุคน เช่น บนภูเขาลูกเดียวกัน หากปีนี้ใช้พื้นที่ตอนบน ในปีถัดไปจะไม่ถางทั้งตอนล่างหรืออีกด้านหนึ่งของภูเขา หากถางไร่ด้านหนึ่งของหมู่บ้าน ก็จะไม่มีการถางที่ทิศตรงกันข้าม ในปีถัดไป ไม่ถางไร่ในบริเวณที่ลำห้วยสองลำห้วยมาบรรจบกัน ไม่ถางไร้ในบริเวณที่มีเสียงเก้ง(ที่อาศัยของเก้ง) นอกจากนี้ ยังใช้ภูมิปัญญาในระดับจิตใต้สำนึกที่แฝงมาในรูปแบบของการฝันด้วย เช่น ในช่วงของการเลือกพื้นที่ หากฝันว่าไฟไหม้ มีดบิ่น ก็จะต้องไม่ถาง แต่หากฝันเห็นช้าง หรือเห็นน้ำเจิ่งนอง ก็จะถือว่าเป็นที่ที่ดีและเหมาะสม บริเวณข้างลำธารจะสามารถทำไร่ได้ข้างเดียวเท่านั้น เป็นต้น เมื่อชุมชนได้ข้อตกลงร่วมกันแล้ว จะทำพิธีขออนุญาติเจ้าแห่งดินและน้ำ ตามบทลำนำที่ว่า

“เจ้าผืนดินผู้สูงอายุเอย
เจ้าผืนน้ำผู้สูงอายุเอย
เราดื่มเหล้าเรารินให้ท่าน
เรากินข้าวเราตักให้ท่าน
เหล้าและข้าวตกลงถึงท่าน
ขอให้เราได้ทำมาหากินอย่างราบรื่นเถิด”


และสำนึกเชิงนิเวศน์นั้นดำรงอยู่ควบคู่กับสำนึกบรรพบุรุษ ดังบทลำนำที่กล่าวว่า

“ถิ่นที่เราอยู่เป็นถิ่นที่แม่อยู่มาก่อน
ถิ่นที่เราอยู่เป็นถิ่นที่พ่ออยู่มาก่อน
ส้มโอหรือ แม่ก็ปลูกเอาไว้ให้
ส้มเกลี้ยงหรือ พ่อก็ปลูกเอาไว้ให้
เรากินและรักษาควบคู่กันไป
เราได้กินเพียงพอตลอดไป”

การถางไร่ (แพะ ฆึ) ก็จะมีแนวทางปฏิบัติที่สืบทอดมาอย่างเคร่งครัด โดยจะไม่ตัดไม้ใหญ่ที่โคนจะตาย แต่จะตัดที่ความสูงระดับประมาณเอว แล้วริดกิ่งและใบทิ้งเพื่อให้แสงแดดส่องถึงดินและพืชที่เพาะปลูกนั้นๆ ทั้งนี้ เพื่อให้ไม้ใหญ่สามารถฟื้นคืนกลับมาหลักฤดูการเก็บเกี่ยว ถือว่าเป็นต้นไม้ที่นกพญาไฟมาเกาะ และบริเวนที่มีรังต่อหรือรังผึ้ง ก็จะละเว้นการถางเสีย เพราะต่อและผึ้งจะเป็นประโยชน์ต่อการผสมพันธุ์ของข้าว
หลังจากถางไร่เสร็จช่วงปลายเดือนมีนาคมถึงต้นเมษายน ก็จะเป็นการตากไร่ให้แห้งเพื่อรอการเผา เมื่อเผาแล้ว เถ้าถ่านจะเป็นอาหารอินทรีย์อย่างดีสำหรับการเพาะปลูก เรียกช่วงตากไร่ว่า โล เก๊าะ พอต้นไม้ใบไม้แห้งสนิทก็จะทำการเผา(ชุคึ) ชุมชนจะระดมกำลังกันมาช่วยเพื่อให้แน่ใจว่าไฟ้ไม่ลุกลามออกไปจากพื้นที่ทำการเกษตรและสร้างความเสียหายให้กับป่าไม้บริเวณข้างเคียง โดยจะรอจนไฟดับสนิท พอเช้าตรู่ของวันใหม่ก็จะทำการเพาะปลูกพืชผักบางชนิด เช่น ข้าวโพด ฟักทอง ถั่ว มัน เผือก เพราะงอกและเติบโตได้ดีในดินที่อุ่น เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ได้รับการเก็บและคัดเลือกไว้อย่างดีและเป็นระบบ โดยผู้หญิงชาวปกาเกอญอ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีความรู้เรื่องการเก็บเมล็ดพันธุ์ดีกว่าผู้ชาย ส่วนผู้ชายก็จะช่วยกันล้อมรั้งไร่

การหว่านข้าวไร่นั้นจะเริ่มหลังจากช่วงกลางเดือนเมษายนเป็นต้นไป จะมีการทำพิธี “หว่านข้าวแรก” โดยเจ้าของไร่จะขอแรงจากหนุ่มสาวหนึ่งคู่ที่ยังไม่ได้งาน และพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อมาทำพิธี โดยผู้ชายจะเป็นฝ่ายขุดหลุม 7 หลุม และอธิฐานว่า “ผู้ปักดินอยู่หัวไร่ ผู้หว่านข้าวอยู่ท้ายไร่ ปักดินให้เร็ว ส่วนเมล็ดข้าวที่หว่านนั้นให้ประหยัดเถิด” แล้วฝ่ายหญิงทำการหยอดเมล็ดข้าวลงในหลุมทั้งเจ็ด พร้อมกับอธิฐานว่า “ขอให้เม็ดข้าวทำตัวให้ประหยัดเถิด อย่างได้หมดเร็วเลย ขอให้ผู้หว่านหว่านเจ้าให้ทั่วไร่เถิด” จากนั้นทุกคนก็จะร่วมมือหว่านข้าวร่วมกัน ผู้ชายคอยปักหลุม ผู้หญิงคอยหว่านข้าว จะเห็นว่าการทำการเกษตรเป็นพิธีกรรมที่มีความหมายที่สมาชิกชุมชนร่วมกันทำ

เมื่อทำการหว่านข้าวเสร็จแล้วก็จะทำพิธีขอฝน และพิธีเชิญนกขวัญข้าว โดยจะนำด้ามเสียมผู้หว่านแรกผ่าปลายสองซีก นำหัวปักลงในกระบอกไผ่ที่บรรจุน้ำ เอาปลายค้ำไว้บนต้นไม้หันตรงไปทางตำแหน่งของดาวช้าง พร้อมกับอธิฐานภาวนาให้ฝนตกลงมา และขอให้นกขวัญลงมาอยู่ในไร่ จากนั้นผู้ร่วมหว่านข้าวจะนำน้ำมาสาดผู้หว่านข้าวแรกทั้งสองคน และตะโกนด้วยความสนุกสนาน โดยด้ามเสียมที่หันไปทางด้าวช้างนั้นมีความหมายว่าเป็นสะพานทอดให้นกขวัญข้าวลงมายังไร่เพื่อนำเอาฝนและความอุดมสมบูรณ์ให้ข้าวระยะเวลาการผลิต กระบอกไม้ไผ่บรรจุน้ำหมายถึงความชุ่มฉ่ำ ส่วนการรดน้ำผู้หว่านข้าวแรกเป็นสัญญลักษณ์แสดงถึงฟ้าฝนที่ถูกต้องตามฤดูกาล

ในช่วงที่ข้าวเติบโตนั้น จะมีการดายหญ้าประมาณ ๓ ครั้ง เพื่อให้ข้าวอ่อนเติบโตอย่างเต็มที่ เมื่อถึงราวเดือนสิงหาคม ไร่ข้าวจะเขียวขจี หลังจากการดายแม่หญ้าเสร็จ ก็จะทำพิธีเลี้ยงไร่ซึ่งมีพิธีย่อย ๔ พิธี ตามวัตถุประสงค์ คือ พิธีเลี้ยงไฟ พิธีปัดรังควานไร่ พิธีเรียกขวัญข้าวและพิธีป้องกันไร่ พิธีเลี้ยงไฟ คือการขอขมาลาโทษสิ่งสูงสุดในธรรมชาติ เนื่องจากการเผาไฟนั้นทำให้ร้อนถึงดิน น้ำและป่า และบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย พิธีปัดรังควานไร่ คือ การไล่ศัตรูข้าวชนิดต่างๆ เช่น แมลงและสัตว์ป่าต่างๆที่คอยทำลายต้นข้าวให้ออกไปจากไร่ พิธีเรียกขวัญข้าว หมายถึง การเรียกให้ขวัญของข้าวให้กลับมาอยู่กับต้นข้าวในไร่ ไม่ออกไปที่อื่น อีกทั้งยังเป็นการขอพรจากสิ่งสูงสุดให้บันดาลให้เกิดความอุดมสมบูรณ์แก่ไร่ด้วย พิธีป้องกันไร่ คือการขอให้ไร่ปลอดภัยจากการทำลายในรูปแบบต่างๆ เช่น ภัยคุกคามจากแมลง สัตว์ป่า รวมถึงคนด้วย

ราวต้นเดือนพฤศจิกายน จะเป็นช่วงเวลาของการเก็บเกี่ยว จะมีการทำพิธี “เอาะบือโข่” หรือ “กินหัวข้าว” เพื่อแสดงความขอบคุณสิ่งสูงสุดที่ประทานข้าวอย่างอุดมสมบูรณ์ เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จ ก่อนนวดข้าวก็จะประกอบพิธี “แซะลอบือส่า” เป็นพิธีที่ขอให้เมล็ดข้าวหลุดออกจากรวงได้ง่าย และให้ได้ผลผลิตจำนวนมาก เพื่อให้พอเพียงแก่ทุกคนในครอบครัว รวมถึงแม่ม่ายและเด็กกำพร้าด้วย หลังจากนั้นจะทำพิธีขอบคุณสิ่งสูงสุดด้วยการต้มเหล้าเฉลิมฉลอง และพิธีส่งนกขวัญข้าวกลับสู่ฟ้า (แซะเกบือคลี) และขอให้ลงมาอีกในการผลิตปีต่อไป รวมทั้งพิธีปัดรังควาญยุ้งข้าวก่อนขนข้าวไปไว้ในยุ้งข้าวในหมู่บ้าน ก่อนการตักข้าวแรกจากยุ้งข้าว ก็จะทำพิธีแซะหน่อบือคลี เพื่อขอข้าวให้ประหยัด ให้มีข้าวในยุ้งหมดไปอย่างช้าๆ และเพียงพอแก่การบริโภคทั้งคนและสัตว์เลี้ยงตลอดทั้งปี

ปกาเกอะญอเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมีเจ้าของ มีจิตวิญญาณ มีความศักดิ์สิทธิ์ การทำไร่นั้นเป็นส่วนหนึ่งของวงจรชีวิตและวงจรธรรมชาติ จะต้องทำให้ชีวิตบริสุทธิ์ ต้องมีความจริงจัง และจริงใจกับธรรมชาติ โดยดำเนินชีวิตให้สอดคล้องและอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรม มีคุณธรรมและจริยธรรม ซึ่งถ้าดำเนินชีวิตอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ผลผลิตที่ธรรมชาติเอื้อให้ก็จะดี อุดมสมบูรณ์ และสามารถติดต่อกับสิ่งสูงสุดได้ดีด้วย

คำประกาศผู้ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกับป่า[4]
คำประกาศตัวดังต่อไปนี้ สะท้อนถึงโลกทัศน์เชิงนิเวศน์ของชาวปกาเกอะญอ จ.เชียงใหม่
ได้เป็นอย่างดี

พวกเราปกาเกอะญอ ตั้งแต่เล็บเท้าอ่อนแตกหน่อออกมา ก็รู้ตัวว่าพำนักอาศัยและเจริญเติบโตท่ามกลางขุนเขาและป่าไม้ เราเป็นคนดั้งเดิมที่นี่ เราเป็นผู้ที่อยู่มาก่อน หมู่บ้านเราอยู่ที่นี่ เราเกิดมาที่นี่ เราเติบโตมาที่นี่ และเราตายที่นี่มาแล้วหลายชั่วอายุคน ดังบทลำนำของบรรพชนที่กล่าวว่า
ที่นี่แหละ คือหมู่บ้านของแม่ ที่นี่แหละ คือหมู่บ้านของพ่อส้มโอที่แม่ปลูกเอาไว้ก็ยังมีอยู่ ส้มเกลี้ยงที่พ่อปลูกเอาไว้ก็ยังมีอยู่ดายหญ้าพรวนดินให้ต้นข้าว สร้างยุ้งข้าวเลี้ยงแขกมากมาย

เราอยู่กับต้นไม้ เราอยู่กับต้นไผ่ เราอยู่กับลำห้วย เราอยู่กับลำธาร เราอยู่กับขุนเขา เราอยู่กับขุนดอย เราอยู่กับหมูป่า เราอยู่กับหมาป่า เราอยู่กับเก้ง เราอยู่กับกวาง เราอยู่กับเสือ เราอยู่กับสิงห์ เราอยู่กับเขียด เราอยู่กับปลา เราอยู่กับนก เราอยู่กับหนู เราอยู่กับไก่ฟ้า เราอยู่กับไก่ป่า ทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นผองเพื่อนกัน เราพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ดังเช่นบทลำนำที่กล่าวไว้ว่า:
แม่นางไก่ป่าไก่ฟ้าเอย มาคุ้ยเขี่ยหาอาหารใต้กอไผ่กันเถิด

การทำมาหาเลี้ยงชีพของเราคือ “ปลูกข้าว” ดังคำพังเพยของบรรพชนของเราที่กล่าวไว้ว่า “ทำกับดักหนูได้กินหนู ทำไร่ได้กินข้าว” พวกท่านได้สั่งสอนและกล่าวตักเตือนเราในนิทานว่า “แต่ก่อนเทพแห่งเงินเถียงเทพแห่งข้าวว่า แม้ไม่มีข้าวตนก็สามารถอยู่ได้ เทพแห่งข้าวได้หนีจากไป และไปหลบอยู่ในถ้ำ ต่อมาภายหลัง ลูกหลานของเทพแห่งเงินร้องไห้เพราะหิวข้าว เทพแห่งเงินนำเงินให้ลูกหลาน แต่ก็ไม่ทำให้ลูกหลานหยุดร้องได้ ที่สุดเทพแห่งเงินได้ขอให้นกกระติ๊ดตะโพกขาวไปเอาข้าวจากถ้ำกลับคืนมา เมื่อลูกหลานได้กินข้าวจึงหยุดร้อง” เราถือ “ข้าว” สำคัญกว่า “เงิน” ดังคำพังเพยของพรรพชนที่ว่า “อร่อยคือข้าว ดีงามคือคน” และ “หากมีข้าวพอเพียง อย่างอื่นหามาภายหลังได้” เพราะว่าข้าวนั้นคือสิ่งที่ประทานชีวิตแท้จริงแก่เรา ส่วนเงินนั้นคือชีวิตจอมปลอมและหลอกลวง เพื่อเราจะได้กินข้าวอย่างพอเพียงนั้น บรรพชนของเราสอนให้เราทำไร่ อีกทั้งยังสั่งสอนเราด้วยว่า “ถางไร่นั้น ถางไป ให้รักษาไป” ดังบทสอนที่กล่าวว่า “ดื่มน้ำรักษาน้ำ กินผืนดินรักษาผืนดิน” เราถางไร่ ๑ ปี พักฟื้นไว้ ๗ ปีแล้วกลับมาถางใหม่ หมุนเวียนเช่นนี้เรื่อยไป นอกจากนั้นเราถางไร่จะมีกฎระเบียบและข้อห้ามมากมายที่เป็นการช่วยเราในการรักษาผืนดินและผืนป่าให้คงสภาพความอุดมสมบูรณ์ไว้ เป็นต้นว่า:

เขาลูกเดียวกัน หากปีนี้เราถางไร่ตอนบน ปีต่อไปตอนล่างเราจะไม่ถางเขาลูกเดียวกัน หากปีนี้เราถางไร่ด้านหนึ่ง ปีต่อไปอีกด้านหนึ่งเราจะไม่ถางห้วยเดียวกัน หากปีนี้เราถางไร่ฟากหนึ่ง ปีต่อไปอีกฟากหนึ่งเราจะไม่ถางหากปีนี้เราถางไร่ทางด้านหนึ่งของหมู่บ้าน ปีต่อไปเราจะไม่ถางในทิศทางตรงกันข้ามเขาแหลมยื่นลง โดยมีลำห้วยสองห้วยไหลบรรจบ เราจะไม่ถางไร่เขารูปกลม โดยมีลำห้วยโอบล้อม เราจะไม่ถางไร่กิ่วดอย เราจะไม่ถางไร่สันเขา เราจะไม่ถางไร่

หากเกี่ยวกับการหาของป่า เก็บของป่า ล่าสัตว์ และหากุ้ง ปู ปลาตามลำห้วยลำธารนั้น บรรพชนได้สั่งสอนเราว่า “กินเขียดให้รักษาผา กินปลาให้รักษาห้วย” อีกบทหนึ่งที่กล่าวว่า “นกเงือกตายหนึ่งตัว ไทรเจ็ดต้นต้องวิเวก ชะนีตายหนึ่งตัว ป่าเจ็ดผืนต้องวังเวง” สัตว์ป่าหลายชนิดที่บรรพชนสอนเราว่าไม่ต้องล่าและกิน พวกเราได้จดจำไว้และปฏิบัติตามตราบเท่าทุกวันนี้ เช่น
นกเงือกเราไม่กิน หากกินเราจะพลัดพรากจากกันชะนีเราไม่กิน หากกินเราจะได้รับบาปนกพญาไฟเราไม่กิน หากกินเราจะถูกรังแกนกแซงแซวเราไม่กิน หากกินเราจะต้องคดีความ
ขณะเดินเข้าไปในป่า บรรพชนสั่งสอนและกำชับเราว่าผืนดินผืนป่านั้นมีเจ้าของ เราต้องให้ความเคารพ อย่ากล่าวคำสาปแช่ง อย่าพูดจาลามก อย่าส่งเสียงร้อง และอย่าถ่ายอุจจาระปัสสาวะลงในลำห้วยลำธาร หากเราไม่ปฏิบัติตามหรือละเมิด เจ้าของผืนดินและผืนป่าก็จะลงโทษเรา

ทั้งหมดนี้ชี้แสดงให้เห็นอย่างแจ่มชัดว่าพวกเราปกาเกอะญอนั้นมีกฎระเบียบและข้อห้ามมากมายอย่างละเอียดถี่ถ้วน อันเป็นบทสอนที่สืบทอดมาจากบรรพชน เพื่อการดูแลรักษาผืนดินและผืนป่าที่เราอาศัยอยู่ และเราได้ปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้เพื่อผืนแผ่นดินถิ่นอาศัยของเราที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ สัตว์ป่าและต้นน้ำลำธารจะอยู่กับเราและเลี้ยงดูเราอย่างยั่งยืน ดังบทลำนำของบรรพชนที่ว่า
ถิ่นที่เราอยู่คือถิ่นที่แม่อยู่มาก่อน ถิ่นที่เราอยู่คือถิ่นที่พ่ออยู่มาก่อนส้มโอ แม่ก็ได้ปลูกเอาไว้ให้ ส้มเกลี้ยง พ่อก็ได้ปลูกเอาไว้ให้เรากินและรักษาควบคู่กันไป เราได้กินเพียงพอตลอดไป

แต่ว่ามาปัจจุบันนี้ ผืนแผ่นดินและถิ่นแดนอาศัยของเราหลายแห่งได้เสียไปแล้ว ไม่เป็นดั่งแต่ก่อน ผืนป่าลดความอุดมสมบูรณ์ลง น้ำเหือดหายแผ่นดินแห้งแล้ง นกไม่กู่ หนูไม่ร้อง เขียดไม่มีกระโดด ปลาไม่มีว่าย เก้งเอย กวางเอย หนีเตลิดเปิดเปิงไปหมด หากร้อนก็ร้อนจัด หากหนาวก็หนาวยะเยือก หากฝนตกก็ตกเกินขนาด มากับพายุมากับลูกเห็บ ผู้คนปลูกพืชมากมายหลายหลากชนิด ที่กว้างแล้วแต่เขาบอกยังไม่พอ ภูเขาทั้งลูกเขาพังทลาย หุบเขาทั้งผืนเขาพังพินาศ เขาทดน้ำจากห้วยสู่ ภูเขา น้ำจากห้วยหนึ่งไปไหลลงอีกห้วยหนึ่ง ไม่ไหลลงตามร่องของมันแล้ว เหมือนดั่งบทลำนำที่บรรพชนของเราได้กล่าวไว้ว่า

ผืนดินจะเสียหายแล้วนะ แม่นางเอย ผืนป่าจะเสียหายแล้วนะ แม่นางเอยเหล่านกรึ ก็ไม่อยากส่งเสียงร้อง เหล่าการึ ก็ไม่อยากจะส่งเสียงร้องมองลงไปยังท้ายไร่ไหล่เขา เหล่าเด็ก ๆ เดินไปด้วยน้ำตาเจิ่งนอง
เป็นเพราะเหตุใดหรือ ผืนแผ่นดินเราเสียหายเช่นนี้? เป็นเพราะว่าพวกเรานี้ถูกเขาหลอกลวงลากไป เขาเปลี่ยนจิตใจและสมองเราที่ตรงกันข้ามกับจิตใจและสมองที่บรรพชนให้และสืบทอดมาให้เรา แต่ก่อนพวกท่านสอนเราว่า “ทำด้วยมือกินด้วยปาก ทำพอเหมาะกินพอควร อย่าได้โลภอย่าได้กอบโกย อร่อยคือข้าว ดีงามคือคน” แต่มาสมัยนี้เขามาสอนเราอย่างผิด ๆ ว่า “ทำให้มาก ทำมาค้าขาย สิ่งดีงามและมีค่าคือเงินตรา” และยังปลูกฝังความคิดเราอีกว่า “งานคือเงิน เงินคืองาน บันดาลสุข” เขาบังคับเราทางอ้อมให้ทิ้ง “ข้าว” และหันไปไล่ล่า “เงินก้อนใหญ่ ทองก้อนโต” พวกเรารู้ไม่เท่าทันก็หลงเข้าไปในไซของเขาหมด และลูกหลานของเราก็มีจิตใจไปกับเขายิ่งทียิ่งมากขึ้น ทุกคนต่างเข้าใจและคิดเพียงว่าจะปลูกอะไรและปลูกอย่างไรเพื่อได้เงินมา จะคิดและเข้าใจว่าหนทางที่เดินไปจะนำความเสียหายแก่ผืนแผ่นดินถิ่นอาศัยนั้นไม่มีแม้ผู้เดียว

เพื่อจะหลอกเราได้ พวกเขาได้มาพูดจาหว่านล้อมดั่งผู้ดีคุณธรรมสูง มาเรียกเราว่าพี่ มาเรียกเราว่าน้อง แต่สิ่งที่เขาคิดจะทำอะไรในหมู่บ้าน เราจะแย้มปากออกมาสักคำก็ไม่มีสิทธิ์ เขาจะตัดถนนขึ้นมาก็ไม่บอกเรา เขาจะสร้างอ่างเก็บน้ำก็ไม่สะกิดเรา เขาจะมาทดน้ำก็ไม่ปรึกษาเรา เขาจะประกาศเขตป่าอนุรักษ์ก็ไม่ถามเรา เหวี่ยงแหกันเองจับปลากันเอง เขาพูดคุยตกลงกันเรียบร้อยแล้วมาบอกเราภายหลัง เราผู้ซึ่งหูหนวกตาบอด ก็ตอบตกลงเขาโดยที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ แต่สุดท้ายสิ่งเหล่านั้นได้ทำลายผืนแผ่นดินเราจนหมดสิ้น
เมื่อเขาเห็นว่าผืนแผ่นดินเราเสียหายแล้ว เขากลับมาบอกและตราหน้าเราว่าคือผู้ทำลายผืนป่าและต้นน้ำลำธาร ไม่ยอมให้เราถางไร่อีก และยังคิดการณ์ไกลที่จะไล่เราออกไปด้วยซ้ำ กฎหมายของเขาที่ว่าด้วยเรื่องป่าไม้ที่มาหลังเรานานแสนนานได้บอกกับเราว่าคือผู้ร้ายที่บุกรุกและทำผิดเขา แต่ความเป็นจริงนั้นคือเขาต่างหากที่เป็นผู้ร้ายมาบุกรุกและทำผิดต่อเรา

ด้วยเหตุทั้งหมดที่กล่าวมานี้ พวกเราปกาเกอะญอผู้ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ตั้งถิ่นฐานและอาศัยอยู่ร่วมกับป่า เรามีความประสงค์จะเปิดเผยและแสดงออกถึงความต้องการและความตั้งใจด้วยจิตใจ บริสุทธิ์ยุติธรรม ปราศจากอคติใด ๆ ต่อไปนี้

พวกเราปกาเกอะญอนี้ถิ่นอาศัยและบ้านเกิดเมืองนอนของเราคือที่นี่ หมู่บ้านและชุมชนของเราคือที่นี่ และเราเป็นชนพื้นเมืองที่นี่ ดังนั้นเราควรจะมีสิทธิและหน้าที่ที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไม่ควรถูกอพยพโยกย้ายหรือไล่ออกไปด้วยเหตุผลใด ๆ ประการทั้งปวง

ไร่หมุนเวียนที่บรรพชนได้ทิ้งเป็นมรดกเอาไว้นั้นเราขอถางไร่เพื่อปลูกข้าวต่อไป เราจะถางไปรักษาไปตามที่บรรพชนได้สั่งสอนเอาไว้ ระเบียบกฎเกณฑ์และข้อห้ามมีไว้อย่างไร เราจะปฏิบัติเช่นเดิม และมากไปกว่านั้นเราจะพยามปรับเปลี่ยนรูปแบบให้เหมาะสมกับสภาพปัจจุบัน เราจะไม่เบียดบังพื้นที่ป่าเพื่อขยายพื้นที่ไร่หมุนเวียนอีก เราขอให้ผู้ปกครองบ้านเมืองได้ให้อนุญาตเราในรูปแบบนโยบายหรือออกเอกสารสิทธิ์อย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อเราจะได้ถางไร่และทำมาหากินอย่างสงบสุข

ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๔๖ และมาตรา ๕๖ ที่ได้ให้สิทธิและหน้าที่แก่ราษฎรในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นของตนนั้น ขอให้ผู้ปกครองบ้านเมืองกระจาย อำนาจมาสู่เรา ให้เรามีส่วนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ อันได้แก่ ดิน น้ำ ป่า และสัตว์ป่า และขอให้ออกพระราชบัญญัติป่าชุมชนโดยเร็ว

เราขอปฏิญาณตนว่าเราจะกลับไปรื้อฟื้นแนวคิดและบทสอนบรรพชนของเราที่เกี่ยวกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ จะเชื่อและนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง เราจะไม่โลภ ไม่กอบโกย ไม่เก็บสะสมจนเหลือเฟือ เราจะยึดถือรูปแบบการผลิตตามปรัชญาของบรรพชนที่ว่า “ทำด้วยมือกินด้วยปาก ทำพอเหมาะกินพอควร”
ในนามของปกาเกอะญอตัวแทนของผู้มีชีวิตอยู่ร่วมกับป่า เรามีข้อตกลงร่วมกันว่าเราคือประชาชนชาวไทย เรายินดีที่จะจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ด้วยเหตุนี้จึงสมควรที่พวกเราจะได้รับสิทธิ หน้าที่ เสรีภาพ และความยุติธรรมเช่นเดียวกับประชาชนชาวไทยทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิและหน้าที่ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อผืนแผ่นดินอาศัยและชุมชนของเราที่ตั้งอยู่ในป่าและต้นน้ำลำธารจะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืน อันจะเป็นประโยชน์สำหรับเราและประเทศโดยส่วนรวม

[1] ปกาเกอะญอ เป็นคำที่ชาวกะเหรี่ยงเรียกตัวเอง แปลว่า มนุษย์
[2] ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี ภูมิปัญญานิเวศวิทยาชนพื้นเมือง ศึกษากรณีชุมชนกะเหรี่ยงในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร โครงการฟื้นฟูชีวิตและธรรมชาติ 2539
[3] ข้อมูลจากเครือข่ายปกาเกอะญอเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม 2542
[4] ประกาศ ณ บริเวณป่าต้นน้ำ วัดหลวงขุนวินห้วยเคาะ - ขุนวิน อ.แม่วาง เชียงใหม่วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๒

No comments: