Monday, May 9

กระบวนการเรียนรู้สู่จิตสำนึกนิเวศวิทยา

กระบวนการเรียนรู้เชิงนิเวศวิทยาแนวลึก เพื่อการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์

การเรียนรู้เพื่อให้เกิดการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์หรือวิธีคิดที่แท้จริงจนถึงขนาดที่มีผลต่อวิถีชีวิต ความรู้สึกนึกคิด และพฤติกรรมนั้นจำเป็นต้องให้คุณค่ากับตัวกระบวนการเรียนรู้ในทุกๆด้าน ทั้งร่างกาย ความรู้สึก การใช้จินตนาการ การภาวนา และการรับรู้ญาณทัศนะ ที่น่าสนใจคือ การเรียนรู้นี้ไม่ใช่เป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องราวปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมภายนอก แต่เป็นการเรียนรู้จักตัวเองอย่างลึกซึ้ง และความสัมพันธ์ที่ตัวเองมีต่อธรรมชาติและสังคมโลก เรียนรู้ผลกระทบที่ชีวิตเรามีต่อชีวิตอื่นอย่างขึ้นต่อกัน เรียนรู้ในการมองเห็นคุณค่าและความงามของชีวิตและธรรมชาติ เรียนรู้จักทุกขสัจจ์ของระบบนิเวศ เป็นต้น


เนื่องจากกิจกรรมการเรียนรู้นิเวศวิทยาแนวลึกนั้นมีหลากหลาย ที่นักคิดนักกิจกรรมหลายคนพยายามคิดค้นมาใช้กับกระบวนการจัดการศึกษาเชิงนิเวศแนวลึก ที่สำคัญได้แก่ นักนิเวศแนวลึกอย่างโจแอนนา เมซี่ (Joanna Macy) จอห์น ซีด (John Seed) เป็นอทิ ในที่นี้จะขอยกเอาหลักการและตัวอย่างบางตัวอย่างเพื่อเป็นกรณีศึกษาและเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้สนใจนำไปใช้

นอกจากนี้ การเรียนรู้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับปัจเจกและชุมชน การสื่อสาร โดยเฉพาะการรับฟังอย่างลึกซึ้ง จึงเป็นทักษะสำคัญของการเรียนรู้ ดังที่เดวิด โบห์ม ได้ช่วยถอดรหัสธรรมชาติของความคิด การสื่อสารและสนทนาที่สร้างให้เกิดความรู้ร่วมกันของกลุ่ม ซึ่งสอดคล้องกับหลักการพื้นฐานของความร่วมไม้ร่วมมือในกระบวนทัศน์ จึงขอยกมานำเสนอไว้ในที่นี้ด้วย

ตั้งคำถามแบบภูมินิเวศ
คำอธิบาย ใช้ในกิจกรรมที่ต้องการให้ผู้เข้าร่วมได้สำรวจตรวจตราชีวิตของตัวเองว่าสัมพันธ์และมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร

เรื่องราวของเพื่อนรอบข้าง สิ่งที่เราพึ่งพาทั้งหลายมีที่ไปที่มาอย่างไร เช่น ไฟฟ้าที่ใช้มาจากเขื่อนไหน สร้างมาอย่างไร มีใครที่ต้องสละชีวิตบ้างเพื่อความสะดวกสบายของเรา ขอให้เราจินตนาการให้เห็นภาพที่เชื่อมโยงอยู่กับชีวิตเรา จินตนาการเป็นทางออกของวิกฤติสิ่งแวดล้อม จินตนาการช่วยให้เราสามารถทะลุทลวงกำแพงคอนกรีตของห้องนี้ออกไปสู่ร่างกายใหญ่ของเรา เรามักเข้าใจว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์เกิดจากเหตุผล แต่ความคิดเชิงเหตุผลมีธรรมชาติเป็นเส้นตรง แห้งแล้งและไร้ชีวิตชีวา จินตนาการ (Visual imagination) เป็นที่มาของความรู้วิทยาศาสตร์ด้วย ขอให้ตั้งคำถามว่าน้ำที่เราดื่มเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิต ให้ร่างกายเรามีชีวิตอยู่ได้นี้มาจากไหน คนเมืองใหญ่ดื่มน้ำจากขวดน้ำ ไม่ได้ดื่มน้ำจากลำธารหรือน้ำฝนที่กรองไว้ยามฝนหลากเหมือนหัวเมือง


ตอนนี้ถามต่อไปอีกคำถามว่า น้ำที่เราดื่มและอยู่ในร่างกายและชีวิตของเรานั้นมีเรื่องราวการเดินทางอันยาวไกลอย่างไร? มาจากสายน้ำใด เธอไหลมาจากที่ใด เธอมาเชื่อมโยงตัวเรากับเทือกเขาสูงเสียดฟ้า เราคือเทือกเขานั้น เราคือสายฝนที่ร่วงหล่นตามแรงปรารถนาของก้อนเมฆ หรือเราคือน้ำใต้ดิน คือชีวิตแห่งการเดินทางอย่างลี้ลับที่ไม่มีใครมองเห็น เรากำลังได้รับภัยคุกคามอย่างหนักหน่วง เราถูกสูบขึ้นมาใช้งานอย่างไม่มีที่จำกัด น้ำฝนที่น้อยนิดไม่สามารถซึมกลับลงมาได้ทัน สารเคมีจากการเกษตรไหลลงมานับร้อยนับพันชนิด เรากำลังจะตายด้วยน้ำเสียที่โรงงานอุตสาหกรรมปั๊มอัดลงมาเป็นสารพิษโลหะหนัก หากชีวิตของน้ำใต้ดินอย่างเรารับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แล้ว สิ่งมีชีวิตอื่นๆก็คงรับไม่ได้เช่นกัน ต้องเจ็บป่วยล้มตายกันไม่น้อยทีเดียว เราทุกคนคือนักสิ่งแวดล้อม เพราะสิ่งแวดล้อมอยู่ในตัวเรา เรามีความสัมพันธ์กับป่าต้นน้ำและชุมชนต้นน้ำอย่างปฏิเสธไม่ได้

ตั้งคำถามถึงขอบเขตของร่างกายและจิตใจ
คำอธิบาย ใช้อ่านให้ผู้เข้าร่วมฟัง และพิจารณาขอบเขตของร่างกาย ซึ่งแท้ที่จริงไม่สามารถแยกออกจากโลกได้ กิจกรรมนี้สามารถใช้ดนตรีประกอบเบาๆได้ ผู้เข้าร่วมสามารถนั่งหรือเลือกที่จะนอนราบลงกับพื้นได้

ขอบเขตของร่างกายนี้อยู่ที่ใด สิ้นสุดที่เนื้อหนังที่ห่อหุ้มกระดูก เส้นเลือด และอวัยวะภายในนี้หรือเปล่า ขอให้เราหยุดหายใจสักครู่…(๑ นาที)


เราหยุดหายใจแล้วรู้สึกอย่างไร หากจะลองพิจารณาให้ลึกลงไป มองให้ลึกและละเอียดถี่ถ้วน กำหนดความรู้สึกให้เห็นความเคลื่อนไหว เราจะเห็นว่าร่างกายนี้มีการแลกเปลี่ยนถ่ายเทสสารและพลังงานตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะตื่นหรือหลับ เราหายใจเข้าเอาอากาศที่มีอ๊อกซิเจน ไนโตรเจน และก๊าซอื่นๆเข้าไปตลอดเวลา รวมทั้งชีวิตน้อยๆคือจุลินทรีย์ในอากาศ เรามาลองพิจารณาลมหายใจเข้าออกของตัวเองดู ลมหายใจแต่ละลมหายใจเป็นลมหายใจที่ใหม่เสมอ ไม่เช่นนั้นเราจะอยู่ไม่ได้ แต่ละลมหายใจไม่เคยเหมือนเดิม มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง ลมหายใจออกของเราเป็นลมหายใจเข้าของต้นไม้และพืชน้อยใหญ่ เป็นชีวิตที่เกี่ยวโยงกัน เป็นลมหายใจที่พัดผ่านมาแต่ใกล้แต่ไกลตามแต่เรื่องราวที่มาของเขา ภาพรวมของการแลกเปลี่ยนถ่ายเทลมหายใจนี้ซับซ้อนกว่าที่เราจะสามารถจินตนาการได้ถึง

ท้องทะเลก็หายใจ เวลานึกถึงการผลิตออกซิเจน เรามักไปคิดถึงต้นไม้หรือป่า จริงๆแล้วท้องทะเลหายใจและให้ออกซิเจนมากกว่าใครอื่น จุลินชีพหรือสิ่งมีชีวิตที่เรามองไม่เห็นในทะเลทำหน้าที่ผันเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์มาเป็นออกซิเจน ชีวิตของเราและชีวิตของทะเล แม่น้ำและป่าเป็นชีวิตเดียวกัน

ร่างกายนี้ฉลาด คือทำหน้าที่หายใจโดยไม่ต้องใช้ความคิด ไม่ต้องใช้หลักปรัชญาหรือสูตรคณิตศาสตร์สมการอะไรเลย ไม่ต้องอาศัยหลักศีลธรรมจริยธรรมด้วย คือไม่ขึ้นต่อเหตุผล หายใจเพราะเป็นธรรมชาติของชีวิต เป็นความถูกต้องชอบธรรมในตัวเอง ธรรมชาติก็ทำหน้าที่ของตัวเอง และผลของมันก็ช่วยส่งเสริมให้ชีวิตอื่นได้รับประโยชน์ไปด้วย

ที่ไม่ได้รับผลประโยชน์ก็มี คือได้รับผลทางลบ ซึ่งก็เป็นธรรมดาของธรรมชาติ แต่ประเด็นสำคัญคือ ชีวิตแต่ละชีวิตดำรงอยู่อย่างพึ่งพาอาศัยกันและกัน ไม่มีใครใหญ่กว่าอะไร หรือมีค่ามากกว่าอะไร เป็นคนละเรื่องกับความสามารถในการทำลายและควบคุม มนุษย์มีความสามารถในการควบคุม ทำลายและสร้างสรรค์ แต่เรากำลังควบคุมและทำลายมากกว่าสร้างสรรค์ ด้วยความไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเรากำลังทำลายตัวเองเพื่อแลกกับความสนุก สะดวกสบาย ความร่ำรวยทางวัตถุ และอำนาจ ความคิดที่ว่าตัวเรานี้มีอยู่อย่างที่เราควบคุมกำหนดมันได้นั้นเป็นมายาคติ ลมหายใจของเราเองเรายังควบคุมไม่ได้เลย แล้วเมื่อถึงคราวที่ลมหายใจจะหมดไป เราก็ยังไม่สามารถควบคุมให้มันดำเนินต่อได้ ลมหายใจสุดท้ายนั้นจะมาถึงเราในที่สุด อย่างที่เราไม่สามารถวางแผนได้ กำหนดวันเวลาลงในปฏิทินได้ พอถึงเวลามันก็หมดลมลงไปอย่างนั้น เราควบคุมไม่ได้ ซื้อไม่ได้ อาจจะต่อได้แต่ก็ไม่นาน ขอให้เรามอบรอยยิ้มและความรู้สึกขอบคุณชื่นชมลมหายใจแต่ละห้วงของเราที่ทำให้เราดำรงชีวิตนี้อยู่ได้

ทั้งหมดนี้หมายความว่า เราควบคุมธรรมชาติภายในได้ เราควบคุมธรรมชาติภายนอกได้ แต่จะดำเนินชีวิตอย่างสอดคล้องและเกื้อกูลได้อย่างไรเป็นคำถามที่สำคัญ การกระทำทุกการกระทำมีผลกระทบทางนิเวศทั้งนั้น การซื้อของแต่ละชิ้น การเลือกวิธีการเดินทาง การใช้น้ำ การอยู่การกิน การใช้ไฟ ทั้งหมดนี้มีนัยยะทางนิเวศ มีนัยยะว่าเราดูแลเกื้อกูลหรือเบียดเบียนโลกมากน้อยเพียงใด ปัญหาอยู่ตรงที่ว่าเรามีจินตนาการและการรับรู้เท่าทันเพียงพอหรือไม่ เรารู้สึกห่วงใยต่อสุขภาวะของระบบนิเวศในฐานะร่างกายของเราหรือไม่ เราไม่สามารถปล่อยให้งานทางสิ่งแวดล้อมเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ นักสิ่งแวดล้อม หรือเจ้าหน้าที่กรมสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป เพราะไม่พอและไม่ทันการณ์ ถ้าเรายังไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนพอที่จะลงมือกระทำการเอง นั่นหมายถึงหายนะของมนุษย์จะเกิดขึ้นเร็วขึ้นและรุนแรงขึ้นอย่างชนิดที่เกินกว่าเราจะจินตนาการได้ถึง

No comments: