Monday, May 9

นิเวศจิตวิทยา

จิตวิทยาเชิงนิเวศ (Ecopsychology)

การนำเสนอหลักการของนิเวศแนวลึก มิใช่เป็นการนำเสนอเพียงหลักปรัชญาที่เน้นความแม่นยำถูกต้องทางตรรกศาสตร์ ตรงกันข้าม นิเวศวิทยาแนวลึกมองว่าการเปลี่ยนแปลงในระดับมโนสำนึกจะเกิดขึ้นได้ในระดับที่ลึกลงไปถึงระดับจิตใจ จากการผ่านประสบการณ์ตรงชุดใดชุดหนึ่งที่มีนัยสำคัญพอสำหรับบุคคลในการเข้าถึงความเข้าใจใหม่ ดังที่อาร์เน เนสได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า

ความเอื้ออาทรจะไหลรินอย่างเสรีหาก ”อัตตาตัวตน” นี้ได้รับการเปิดขยายออกและลึกพอที่จะรู้สึกได้ว่าการปกป้องธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งเดียวกันกับการปกป้องดูแลตัวเอง…เช่นเดียวกับการที่เราไม่จำเป็นต้องอ้างอิงหลักศีลธรรมจรรยาใดๆในการที่จะหายใจ…ดังนั้นถ้าตัวตนที่กว้างใหญ่ของคุณโอบกอดอีกชีวิตหนึ่งไว้แล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องมีระบบศีลธรรมใดๆที่จะแสดงออกซึ่งความห่วงใยต่อชีวิตนั้น…คุณห่วงใยในชีวิตตัวเองได้โดยไม่จำเป็นต้องมีแรงกดดันด้านศีลธรรมใดๆมาบีบคั้น…ถ้าตัวตนทางนิเวศของคุณได้รับรู้ความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เราก็จะกระทำการและดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับหลักการที่ถูกต้องดีงามทางสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นธรรมชาติและสง่างาม
[1]

นิเวศวิทยาแนวลึกในมิติของจิตวิญญาณนั้น คำว่า “ลึก” นั้นหมายถึง ความเข้าใจที่หยั่งลึกล่วงผ่านกระบวนการคิดเชิงเหตุผล และเกิดขึ้นได้จากการผ่านประสบการณ์ตรง รับรู้ถึงคุณลักษณ์ของธรรมชาติที่เรียกว่า อทวิภาวะ(non-duality) หรือความไร้ตัวตนที่แยกออกจากสิ่งอื่น อีกนัยหนึ่ง คือการไปพ้นความคิดแบ่งแยกว่ามีเรามีโลก ทั้งนี้ประสบการณ์ตรงดังกล่าวมีผลในเชิงคุณค่าและจริยธรรมของบุคคล มีผลต่อการปรับเปลี่ยนวิธีคิดและรูปแบบพฤติกรรม ตลอดจนถึงการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต ทำนองเดียวกับผู้ที่มีประสบการณ์ทางศาสนาหรือรหัสนัยยะ


เราสามารถมีประสบการณ์ตรงกับตัวตนเชิงนิเวศได้แม้ในกิจกรรมเรียบง่าย สงบและหลอมรวมกายใจให้เป็นหนึ่งเดียว เช่น การเดินท่องไปในพงไพร การว่ายน้ำ พายเรือ หรือแม้แต่การนั่งแกะกระเทียม ดังที่ แกรี่ ชไนเดอร์ กล่าวว่า


การเดินจาริกเข้าไปในในพงไพร มีเป้สะพายหลัง ด้วยการก้าวย่างทีละก้าว ในลมหายใจทีละลมหายใจนั้น ดุจดังอาการกริยาแห่งบรรพชนอันเก่าแก่ ที่กระตุ้นเตือนให้รำลึกถึงภาพและความรู้สึกของการหลอมรวมกายใจเป็นหนึ่งที่ดำรงอยู่กับเราเสมอมา แน่นอนว่าประสบการณ์เหล่านี่ไม่จะเป็นต้องเกิดขึ้นกับนักเดินป่าเท่านั้น หากยังเกิดขึ้นได้กับคนเดินเรือในมหาสมุทร คนแจวเรือในแม่น้ำ คนที่ทำงานอยู่ในสวน หรือแม้แต่คนที่นั่งภาวนาอย่างสงบ ประเด็นอยู่ที่การสัมผัสถึงธรรมชาติอันบริสุทธิ์และไหลเลื่อน และตัวตนแห่งนิเวศที่ใหญ่ออกไป ความศักดิ์สิทธิ์นั้นหมายถึง สิ่งที่จะช่วยให้เราหลุดพ้นออกไปจากตัวตนอันคับแคบและน้อยนิด ไปสู่สภาวะแห่งตัวตนอันยิ่งใหญ่ของสากลจักรวาล


แรงบันดาลใจ ความปลื้มปีติ และความคิดที่แจ่มชัดนั้นไม่จำเป็นต้องได้รับจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างวัดหรือโบสถ์ และคลายกำลังลงหลังจากเราก้าวย่างออกจากสถานที่แห่งนั้นเท่านั้น ธรรมชาติรกชัฏสามารถเป็นวัดได้ และเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น แม้ว่าประสบการณ์ที่เราได้รับจากสถานที่เหล่านี้จะรู้สึกพิเศษ แต่เราก็ไม่ควรยึดมั่นหวงแหน หรือแม้แต่การละทิ้งการมีส่วนร่วมและความรับผิดชอบทางการเมืองไว้เบื้องหลังแล้วหลีกลี้เพื่อการภาวนาแสวงหาปัญญาณาณอย่างเดียว หากต้องพัฒนาความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่รอบๆตัวเรา เช่น พื้นดินที่เปิดกว้าง แปลงเกษตร ท้องถิ่นย่านชานเมือง ความเป็นไปของเมือง เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการมีชีวิตอยู่และการดำรงชีพซึ่งไม่เคยถูกทำลายหรือทำให้สูญเสียความเป็นธรรมชาติไปอย่างสิ้นเชิง รในเวลาที่เราเดินเท้าท่องไปในเมือง หมีป่าสีน้ำตาลผู้ยิ่งใหญ่ ยังคงย่ำเดินไปพร้อมๆกับเรา ปลาแซลมอนยังคงว่ายทวนน้ำ และก้าวย่างไปกับเรา
[2]

ความพยายามแสวงหารูปแบบวิธีการเพื่อการแปรเปลี่ยนจิตสำนึกไปสู่จิตสำนึกเชิงนิเวศนั้นมีผลให้เกิดศาสตร์ใหม่หลายแขนง หนึ่งในนั้นคือจิตวิทยาเชิงนิเวศ (Ecopsychology) ซึ่งเห็นว่า การตั้งคำถามเกี่ยวกับว่า เราคือใคร เติบโตมาอย่างไร ทำไมจึงทุกข์ จะเยียวยารักษาอย่างไร ล้วนเกี่ยวเนื่องกับความสัมพันธ์ที่เรามีต่อโลกอย่างแยกกันไม่ออก และเช่นเดียวกัน สาเหตุของปัญหาสิ่งแวดล้อม วิกฤตการณ์เชิงนิเวศทั้งหลายที่สังคมโลกกำลังเผชิญอยู่ และทางออกนั้นก็มีรากฐานอยู่ในระดับจิตสำนึกของมนุษย์ ขึ้นอยู่กับการให้ความหมาย ภาพลักษณ์ที่มนุษย์กำหนดให้ตัวเองและธรรมชาติ รวมทั้งพฤติกรรมของมนุษย์เป็นสำคัญ
จิตวิทยาเชิงนิเวศเป็นศาสตร์ที่หลอมรวมเอาศาสตร์ด้านนิเวศวิทยาและจิตวิทยาไว้ด้วยกัน เป็นการนำวิธีคิดและแนวทางปฏิบัติจากทั้งฝ่ายจิตวิทยาสมัยใหม่ กระบวนการให้การศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม กิจกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ รวมทั้งระบบคุณค่าเชิงนิเวศมาเป็นส่วนหนึ่งของศาสตร์ด้านจิตบำบัด การพัฒนาชีวิตด้านใน และการปรับเปลี่ยนดำเนินชีวิตอย่างมีสุขภาพและสมดุล ทั้งในแง่ของนิเวศวิทยาและจิตวิทยา


ในขณะที่ความคิดความเข้าใจด้านนี้มีอยู่ในภูมิปัญญาดั้งเดิมของชุมชนหรือสังคมที่เคยดำรงชีวิตอยู่อย่างใกล้ชิดธรรมชาติ ของงานเขียนชิ้นแรกๆที่เริ่มใช้คำว่าจิตวิทยาเชิงนิเวศได้แก่

๑. ธีโอดอร์ โรสสัก (Theodore Roszak) เป็นผู้ริเริ่มใช้คำนี้เป็นครั้งแรก หนังสือสองเล่มของเขา เรื่อง The Voice of the Earth (เสียงของแผ่นดิน) และ Ecopsychology (จิตวิทยาเชิงนิเวศ) มีอิทธิผลต่อความเข้าใจในประวัติศาสตร์ ความเป็นมาของช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และผลที่เกิดขึ้นต่อสภาวะจิตใจด้วย

๒. สตีเว่น ฟอสเตอร์ (Steven Foster) และเมเรดิธ ลิตเติ้ล (Meredith Little) ใช้คำนี้ในงานด้านการจัดการศึกษานิเวศวิทยาแนวลึกภาคสนามเป็นเวลาหลายปีในการพาคนผ่านประสบการณ์ภาคสนามแนวลึกกับธรรมชาติ เพื่อค้นพบความสัมพันธ์ที่มีมาแต่ดั้งระหว่างมนุษย์กับแผ่นดิน หนังสือที่ทั้งสองเขียนออกมาได้แก่ The Book of the Vision Quest และ The Roaring of the Sacred River เป็นต้น

๓. ภูมิปัญญาแห่งชนเผ่าทั้งหลายทั่วโลก แม้ว่าจะไม่ได้ใช้คำเดียวกัน แต่โดยเนื้อหาสาระของระบบคิดนั้นเป็นไปในทางเดียวกันกับจิตวิทยาเชิงนิเวศที่ไม่ได้มองแยกระหว่างกายจิตของมนุษย์กับธรรมชาติ

๔. โรเบิร์ท กรีนเวย์ (Robert Greenway) สอน จิตวิทยาแนวธรรมชาติ (Wilderness Psychology) ที่มหาวิทยาลัยโซโนมา ได้เริ่มหันมาใช้คำว่าจิตวิทยาเชิงนิเวศเช่นกัน

จิตวิทยาเชิงนิเวศมีรากฐานทางความคิด ๓ ประการ ได้แก่


(๑) ธรรมชาติและมนุษย์มีความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมและลึกซึ้ง ธรรมชาตินั้นมี ๒ ฐานะคือ ๑. เป็นบ้าน เป็นครอบครัว และเป็นแม่ ๒. ธรรมชาติมีฐานะเป็นตัวเราเองที่กว้างใหญ่ไพศาล กายา คือตัวตนที่ยิ่งใหญ่นี้ของเรา

(๒) มายาคติที่ทำให้มนุษย์แยกตัวออกจากธรรมชาติ และทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกนี้นำไปสู่หายนะของนิเวศวิทยาของโลกและสังคมมนุษย์เองด้วย มีผลอยู่ในรูปแบบความทุกข์ต่างๆ เช่น ความโศรกเศร้าสิ้นหวังและความรู้สึกแปลกแยกว้าเหว่ของมนุษย์

(๓) การสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างมนุษย์และธรรมชาติจะมีผลต่อการเยียวยาให้กับทั้งสองฝ่าย มนุษย์พึงทำงานกับความทุกข์ ความสิ้นหวังที่เกิดขึ้นกับตนและการทำลายล้างสิ่งแวดล้อมอย่างเผชิญหน้า การบำบัดเชิงนิเวศ (ecotherapy) คือการเยียวยาโลกและตัวเองไปพร้อมๆกัน

ทัศนเชิงนิเวศของเฮนรี่ เดวิด ธอโร กวี นักเขียนและนักธรรมชาตินิยมเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในการมองธรรมชาติว่าเป็นส่วนสำคัญของการดำรงชีวิตอย่างมีพลังและมีความหมาย ความคิดอ่าน งานเขียนของเขาได้สร้างแรงบันดานใจให้กับกระแสสำนึกเชิงนิเวศและขบวนการเคลื่อนไหวทางสิ่งแวดล้อมที่เติบโตก่อรูปหลากหลายในช่วงระยะเวลากว่าร้อยปีที่ผ่านมา เขากล่าวว่า

ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นในป่าดงพงพี ในทุ่งหญ้า และในยามค่ำคืนซึ่งเมล็ดข้าวโพดแทงรากผลิใบขึ้น[3]...ข้าพเจ้าอยากจะให้คนทุกคนเป็นเหมือนกวางเหล่านั้น คือเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ อยากจะให้ร่างกายของเขารำเพยกลิ่นหอมของธรรมชาติออกมา เพื่อเตือนใจให้เรารำลึกถึงดินแดนที่เขาท่องเที่ยวไป...ชีวิตประกอบขึ้นจากความดิบเถื่อน และชีวิตที่มีพลังที่สุด คือชีวิตที่มีความเถื่อนดิบอิสระอยู่ในตัว โดยที่ยังมิได้ยอมหมอบราบคาบแก้วให้กับมนุษย์ การดำรงอยู่ของชีวิตเช่นนี้ย่อมกระตุ้นให้มนุษย์รู้สึกถึงพลังความสดฉ่ำ สำหรับผู้ที่รุดไปเบื้องหน้าไม่หยุดยั้ง กระทำการงานอย่างมานะอดทน ผู้ซึ่งเติบใหญ่อย่างรวดเร็ว และเรียกร้องเอาจากชีวิตอย่างต่อเนื่อง คนเช่นนี้ย่อมจะบรรลุถึงดินแดนใหม่ๆ หรือป่าดงพงพี ซึ่งแวดล้อมอยู่ด้วยทรัพยากรของชีวิต เขาคงจะไต่ขึ้นไปอยู่บนกิ่งก้านอันโน้มลู่ของต้นไม้ป่าดึกดำบรรพ์แน่[4]

ธอโรเชื่อมโยงความเจริญงอกงามของจิตใจมนุษย์กับวิถีชีวิตที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ราวกับว่าธรรมชาตินั้นสถิตไว้ซึ่งพลังทางจริยธรรมและบทเรียนที่สำคัญต่อชีวิต ซึ่งสังคมเมืองยุคใหม่และกระแสนิยมความก้าวหน้าทันสมัยพึงพิจารณา ทั้งนี้ความงามของชีวิต และความงามของสิ่งที่แวดล้อมชีวิตนั้นมีผลต่ออารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดอย่างแยกกันไม่ออก เขากล่าว่า

ถ้าหากให้ข้าพเจ้าเลือกว่าจะอยู่ในละแวกบ้านที่มีสวนสวยที่สุดเท่าที่ศิลปะการจัดสวนของมนุษย์สามารถเนรมิตรขึ้นมาได้ หรือที่ริมหนองน้ำอันอับเฉา ข้าพเจ้าก็คงจะเลือกเอาริมหนองน้ำเป็นแม่นมั่น เพราะในสายตาของข้าพเจ้าแล้วเรี่ยวแรงที่ท่านได้ลงไปในการทำสิ่งเหล่านี้ ช่างเป็นสิ่งที่ไร้สาระยิ่ง ด้วยว่าจิตวิญญาณของข้าพเจ้าจะโถมทะยานขึ้นสู่เบื้องสูง ในสถานที่อันวังเวง โปรดมอบมหาสมุทร ทะเลทรายและป่าดงพงไพรให้แก่ข้าพเจ้าเถิด ในท้องถิ่นทะเลทรายนั้นย่อมมีอากาศบริสุทธิ์และความสงบวิเวกเนสิ่งชดเชยแทนความชุ่มชื้นและความอุดมสมบูรณ์ที่ขาดหายไป นักเดินทางเบอร์ตั้นได้กล่าวไว้ว่า “ศีลธรรมจรรยาของท่านจะกล้าแข็งขึ้น ท่านจะกลายเป็นคนตรงไปตรงมา อบอุ่นและจริงใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และเด็ดเดี่ยว...ในท้องถิ่นทะเลทรายนั้น เหล้ากลับกลายเป็นสิ่งกระอักกระอ่วน ชีวิตที่นั่นมีความสุขจากปัจจัยพื้นฐานของชีวิตที่เรียบง่าย


เมื่อข้าพเจ้าปรารถนาที่จะฟื้นฟูตัวเองขึ้นมาใหม่ ข้าพเจ้าจะเสาะหาป่าที่รกทึบที่สุดและกว้างใหญ่ไพศาลที่สุด หรืออาจจะเป็นหนองน้ำที่ดูน่าหดหู่อับเฉาที่สุดสำหรับชาวเมือง ข้าพเจ้าเข้าไปสู่หนองน้ำ ดุจดังเข้าไปสู่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นดุจดัง Sanctum Samctorum ณ ที่แห่งนี้เองที่บรรจุอยู่ด้วยแก่นแท้และพลังของธรรมชาติ ไม้ป่าขึ้นปกคลุมอยู่เหนือผืนดินบริสุทธิ์ และผืนดินเดียวกันนี้เองย่อมมีค่าทั้งต่อมนุษย์และพรรณพฤกษาด้วย สุขภาพพลานามัยของมนุษย์จะสมบูรณ์อยู่ได้ก็จำต้องอาศัยทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ด้วย
[5]

...ที่เมืองอยู่รอดได้มิใช่ด้วยคนมีคุณธรรมที่อยู่ภายในเมืองแห่งนั้น แต่รอดได้ด้วยป่าและห้วยหนองที่แวดล้อมเมืองอยู่ หากเปรียบกับเมืองหนึ่งซึ่งมีป่าดึกดำบรรพ์เน่าเปื่อยทับถมอยู่เบื้องล่าง เมืองเช่นนี้ย่อมอุดมสมบูรณ์พอ มิเพียงแต่ที่จะเพาะปลูกข้าวโพดและมันฝรั่งเท่านั้น หากแต่ยังเป็นที่เกิดของกวีและนักปรัชญาแห่งภายภาคหน้าอีกด้วย
[6]

...บรรดาชาติอารยะทั้งมวล ไม่ว่ากรีก โรมหรืออังกฤษ ล้วนแล้วแต่เคยได้รับการหล่อเลี้ยงจากป่าดึกดำบรรพ์ ซึ่งได้ผุพังสูญสลายไปเนิ่นนานครันตรงที่ที่เมืองเหล่านี้ตั้งอยู่ และบ้านเมืองเหล่านี้ก็จะดำรงอยู่ตราบเท่าที่ผืนดินยังไม่หมดสิ้นความอุดมสมบูรณ์ โอ้ อนิจจา วัฒนธรรมของมนุษย์ ประชาชาติย่อมสูญสิ้นอนาคต เมื่อใดก็ตามที่ผืนแผ่นดินอันเป็นที่ก่อกำเนิดของพืชพันธุ์ได้หมดสิ้น และเมื่อใดที่มันจำต้องบดย่อยสลายกระดูกของบรรพชนลงเพื่อเป็นปุ๋ยแล้วแล้วไซร้ ณ ที่แห่งนั้นเองที่กวีจะต้องเลี้ยงชีพอยู่ด้วยไขมันส่วนเกินในตัว และนักปรัชญาก็จะต้องดูดกินไขกระดูกของตนต่างอาหาร
[7]
[1] คาปร้า หน้า 12
[2] Gary Snyder. (1984). Good Wild Sacred. Five Seasons Press. หน้า 26

[3] ความเรียงสี่ชิ้นของเฮนรี่ เดวิด ธอโร (Great Short Works of Henry Devid Thoreau), พจนา จันทรสันติ แปล, โครงการจัดพิมพ์คบไฟ, สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง, หน้า 135
[4] อ้างแล้ว หน้า 135
[5] อ้างแล้ว หน้า 137
[6] อ้างแล้ว หน้า 138
[7] อ้างแล้ว หน้า 138

No comments: