Monday, May 9

เรียนรู้ ค้นหา และเข้าใจ ที่นาโรปะ*



ในห้วงเวลาปัจจุบันที่สังคมไทยกำลังริเริ่มแนวทางใหม่ๆ ในเรื่องเกี่ยวกับการศึกษา หลายคนกระตือรือร้น เปี่ยมความหวัง อีกบางคนบ่นว่าเป็นเพียงเหล้าเก่าในขวดใหม่ กับอีกหลายกลุ่มที่มองการเปลี่ยนแปลงอย่างครั่นคร้าม เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ สานแสงอรุณ ได้มีโอกาสนั่งลงพูดคุยแลกเปลี่ยนกับคนรุ่นใหม่ที่น่าสนใจทั้งสอง ณัฐฬส วังวิญญู(ณัฐ) และไพรินทร์ โชติสกุลรัตน์(หลิน) ทั้งสองคนได้บินข้ามฟ้าไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์อันมีค่าจากมหาวิทยาลัยนาโรปะ สหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยทางเลือกไม่กี่แห่งในโลกที่วางแนวทางการศึกษาอยู่บนพื้นฐานของการทำความเข้าใจในความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งรอบๆ ตัว และการทำความเข้าใจตนเองผ่านวิถีแห่งการภาวนา ลองฟังเรื่องราวของคนทั้งสองดู บางทีภาพการศึกษาในอุดมคติของสังคมไทยอาจจะฉายชัดในความเข้าใจยิ่งขึ้น

ณัฐฬส วังวิญญู
สนใจด้านวิทยาศาสตร์ จึงเลือกเรียนต่อในระดับปริญญาตรี คณะวิศวกรรมไฟฟ้า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เล่นกีฬามหาวิทยาลัยควบคู่กับการเรียนที่ไปได้ดี แต่ทว่ากลับค้นพบความว่างเปล่าอยู่ภายในที่ทำให้การแสวงหาได้เริ่มต้น


“ผมเป็นเด็กเรียบร้อย เด็กเรียน เรียนเก่งมาตลอด แต่ไม่เคยได้ตั้งคำถามลึกๆ กับตัวเองแบบถึงรากถึงโคน แต่มีคุณอาคือคุณวิศิษฐ์ วังวิญญู ที่เวลาเจอกันเมื่อไหร่ จะตั้งวงและตั้งคำถาม ตอนนั้นเราอยู่ปีหนึ่ง เขาถามว่าเราอยากได้อะไร ผมบอกว่า ผมอยากได้เปอร์โยรุ่นใหม่ล่าสุดที่ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานลมน้อยที่สุด อะไรประมาณนั้น ตอบแบบวิศวะเลยนะ อยากได้ดีที่สุด อยากรวย อยากเป็นเหมือนคนอื่น แต่พอคุยไปเรื่อยๆ ก็เอ๊ะ.. ความสำเร็จที่มากับการศึกษาและการยอมรับของเพื่อนๆ มันก็ดีนะ แต่ว่าเรายังรู้สึกเคว้งๆอยู่ดี รู้สึกยังไม่ใช่คำตอบ ผมเล่นกีฬามหาวิทยาลัยด้วย ทั้งกีฬา ทั้งเรียน ในแง่ของชีวิตแคบๆ อันหนึ่งที่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่ามันแคบ พบว่ามีความว่างเปล่าบางอย่างอยู่ เลยเริ่มตั้งคำถาม หาหนังสือมาอ่าน หนังสือที่ไม่เกี่ยวกับวิศวะเลย หนังสือทางปรัชญา สังคมศาสตร์ แด่หนุ่มสาว สิทธารถะ ฯลฯ อ่านจนฟุ้งซ่าน ยิ่งอ่านยิ่งเหงา หาเพื่อนคุยไม่ได้ ถือย่ามเดินคนเดียวในเกษตร ไปทำกิจกรรมชมรมก็ไม่ได้ให้คำตอบกับตัวเองเท่าไหร่ มันไปช่วยเหลือคนอื่นหมด เข้าอนุรักษ์ มันก็ดี แต่ก็ยังเหลือพื้นที่สำหรับคำถามเยอะอยู่.. เราจะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ที่มีความสุขได้อย่างไร”

“ผมเลยเริ่มสนใจพุทธศาสนา เริ่มอ่านงานท่านพุทธทาส เกือบจะเรียนไม่จบมีอยู่เทอมหนึ่งเกรดตกมาก เกรดเฉลี่ยอยู่ที่ ๐.๒๕ พ่อแม่ก็เป็นห่วง ตอนหลังก็จบจนได้ ใช้เวลาไป ๕ ปี ตอนจบผมมีความตั้งใจจะบวช เพราะการอ่านไม่สามารถให้คำตอบเชิงประสบการณ์ตรงได้ มันเตรียมแค่เรื่องความคิด เลยไปบวชที่เชียงราย และใช้ชีวิตช่วงหนึ่งอยู่กับหลวงพี่ไพศาล(พระไพศาล วิสาโล) ที่วัดป่ามหาวัน จ.ชัยภูมิ แล้วกลับไปจำพรรษาที่เชียงราย รู้สึกว่าได้อะไรเยอะ ตั้งใจจะบวชแค่สามเดือน แต่พออยู่ไปๆ ได้มีเวลาอ่านหนังสือ ได้ใคร่ครวญ ได้เขียนบันทึกสะท้อนภาพชีวิตตนเอง จนครบ ๑ ปี จึงสึกออกมา”

“ช่วงนั้นอาผมเป็นบรรณาธิการปาจารยสาร(ฉบับหัวกะทิ) ผมเลยมาช่วยแล้วจับพลัดจับผลูได้ไปทำงานเป็นผู้ประสานงานเสมสิกขาลัยกับอาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ กับพี่ประชา(ประชา หุตานุวัตร) มีโอกาสได้สัมผัสกลุ่มคนที่ใกล้ชิดกับการศึกษาทางเลือกรวมถึงประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ แต่ประเด็นการศึกษาทางเลือกค่อนข้างจะเด่น เลยได้รู้จักกับ อิไลแอส (Elias Amidon) และราเบีย (Elizabeth Roberts) ซึ่งมาสอนเรื่องนิเวศวิทยาแนวลึกในเมืองไทย ก็ไม่ได้คิดว่าจะไปเรียนนาโรปะ แต่พอทำงานได้สักพักเกิดมีความคิดว่าอยากจะไปพักผ่อนเก็บเกี่ยวประสบการณ์... จริงๆ ตามผู้หญิงไป(หัวเราะเสียงดัง) เป็นอาสาสมัครฝรั่ง ผมเลยไปเยี่ยมบ้านเขา เขาเป็นคนที่สนใจพุทธศาสนาและพยายามแสวงหาสมดุลให้กับชีวิต พ่อผมเองก็อยากให้เรียนต่อแต่ยุให้เรียน ด้านMBA”

“จึงเริ่มคิดเรื่องเรียนต่อ แต่ภายหลังจากบวช หากจะไปทำอะไรผมก็อยากให้มีเรื่องการภาวนาอยู่ด้วย อยากให้ตรงนี้เป็นส่วนหลักของชีวิตมาเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นนั่งหลับตาหรือภาวนาแบบไหนก็ตาม อาจารย์สุลักษณ์จึงแนะนำสองแห่งคือนาโรปะกับชูมาร์กเกอร์ คอลเลจ ผมเลือกนาโรปะเพราะรู้จักกับคุณอิไลแอส ซึ่งต่อมาเขาก็เป็นอาจารย์ผม ผมส่งใบสมัครไป มีแรงฮึดขยันภาษาอังกฤษขึ้นมา ๑ เดือน พอไปสอบก็ผ่านเกณฑ์ ตอนนั้นปี ๑๙๙๕ อายุประมาณ ๒๓ ปี ตอนแรกผมสนใจจิตวิทยาเชิงพุทธ สนใจในแง่ว่าเราจะไปทำงานเกี่ยวกับการบำบัดด้านในของคนได้อย่างไร แต่เนื่องจากผมมีปริญญาทางวิศวะ เขาก็เลยไม่ให้เข้า เขาต้องการคนที่เคยมีพื้นฐานทางจิตวิทยามาบ้าง เขาบอกให้ผมสมัครเข้าอย่างอื่น ผมจึงเลือกสาขาผู้นำสิ่งแวดล้อม (Environmental Leadership) ซึ่งเป็นคณะที่ใหม่มาก รุ่นผมเป็นรุ่นที่ ๒ ของปริญญาโท ก็ไปสอบสัมภาษณ์ ไปเป่าขลุ่ยให้เขาฟัง เหตุผลที่ผมเลือกคณะนี้เพราะเป็นคณะเดียวในนาโรปะที่มีการสำรวจความรู้เกี่ยวกับการอธิบายโลก ว่าโลกมาเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร การเกิดขึ้นของทุนนิยม โลกาภิวัฒน์ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์และโลก รวมไปถึงทฤษฎีที่เขานำมาใช้เป็นเครื่องมือในการอธิบายคือทฤษฎีระบบ(System theory) ซึ่งเป็นหลักอันเดียวกับอิทัปปัจยตาของพุทธศาสนา คิดว่าน่าสนใจผมเลยเลือกเรียน”

บรรยากาศภายในนาโรปะ
“ตอนแรกที่ผมไปก็จินตนาการว่า คงเหมือนแบบตักศิลา อยู่ที่นั่นปลูกผักกินเอง.. ไม่ใช่เลย(ส่ายหน้าช้าๆ) เป็นโรงเรียนอนุบาลเก่าที่เขายกที่ให้ อยู่ใจกลางเมืองโบลเดอร์ ในรัฐโคโรลาโด เป็นเมืองที่มีมหาวิทยาลัยของรัฐอยู่ คล้ายๆ เชียงใหม่ อยู่ใกล้ภูเขา กิจกรรมของร้าน ธุรกิจเติบโตได้เพราะมหาวิทยาลัย นาโรปะอยู่ที่นั่นก็เป็นส่วนนิดเดียว ห้องสมุดของตัวเองเล็ก เลยต้องไปใช้ของมหาวิทยาลัยอื่นด้วย มีอาคารเล็กๆ ๒-๓ อาคาร ใช้เรียนใต้ต้นไม้บ้าง สนามหญ้าขนาด ๓-๔ ไร่ บ้าง นักศึกษาส่วนใหญ่จะพักอยู่ข้างนอกเพราะไม่มีอาคารหอพักให้”

“ช่วงแรกจะรับเฉพาะคนที่เรียนจบอนุปริญญาแล้วมาสอนต่ออีก ๒ ปีก็จบ ตอนนี้รับตั้งแต่ปี ๑ คล้ายกับมหาวิทยาลัยบ้านเรา เด็กมัธยมที่เข้ามาเรียนปริญญาตรีก็น่าสนใจ ผมมองว่าสังคมอเมริกันเริ่มเปลี่ยน มีคนที่เปลี่ยนความคิด หันมาให้คุณค่ากับแนวทางนี้ มีงานวิจัยออกมาชื่อ cultural creative พบว่าคนที่คิดเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องหยิน-หยางและปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองมากขึ้น ในอเมริกามี ๒๕% แล้ว”

“นักศึกษาที่มาที่นาโรปะส่วนใหญ่เป็นพวกที่ต้องการรู้จักตัวเอง มาพร้อมกับสำนึกทางสิ่งแวดล้อม เพื่อสังคมอยู่บ้าง แต่หลักๆ แล้วต้องการรู้จักตัวเอง บางคนอาจมีพื้นฐานทางครอบครัวที่พ่อแม่สนใจแนวทางนี้แต่เพื่อนผมส่วนใหญ่พ่อ-แม่เลิกกัน เขาก็ได้มาจากเพื่อนบ้าง บางคนไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกาใต้ พ่อของครอบครัวอุปถัมภ์สนใจพุทธศาสนาเขาก็มาสนใจบ้าง ผมก็ไม่แน่ใจว่าคนพวกนี้มาจากไหน ๙๕% ของนักศึกษาที่นั่นเป็นฝรั่ง อเมริกันมากที่สุด มียุโรป อินเดีย อาฟริกา เอเชียอยู่บ้าง”

เรียนอะไรกันบ้าง
“วิชาของที่นี่เป็น MA-master of Arts(มหาบัณฑิตศิลปศาสตร์) ไม่ใช่สายวิทยาศาสตร์ การเรียนประกอบด้วย ๓ เรื่องใหญ่ๆ คือ ๑. โลกข้างนอก ๒. โลกข้างใน และ ๓. การทำงานแบบกลุ่ม ในแต่ละเทอมจะมีองค์ประกอบของทั้งสามอย่างนี้ไปด้วยกัน และในกลุ่มเล็กๆ อย่างในกลุ่มของผมมีแค่ ๑๒ คน ก็จะสนิทกันมาก”

“เรื่องโลกข้างในเป็นวิชาการเข้าใจตัวเอง มีทั้งภาวนา ศิลปะ เป็นพุทธแต่ไม่ได้ใช้คำว่าพุทธ เขาใช้คำว่าวิชาว่าด้วยการสะท้อนภายในเพื่อเข้าใจโลกและตัวเอง (contemplative study) นาโรปะก่อตั้งมาโดยเชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ซึ่งเป็นลามะธิเบต จึงนำพุทธศาสนาแบบธิเบตมาเป็นพื้นฐาน เป็นเครื่องมือของความรู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นศิปละ ดนตรี จิตวิทยา กวี ทุกอย่างกลับมาเรื่องพุทธคือ ปัจจุบันขณะคือพื้นฐานขององค์ความรู้ทั้งหมด ถ้าไม่สามารถอยู่กับปัจจุบันขณะได้องค์ความรู้นั้นไม่จริง ความรู้นั้นบิดเบือน สาขาผู้นำสิ่งแวดล้อมก็เหมือนกันจะมีการภาวนา เขาพยายามสอนให้ศาสนาไหนก็มาเรียนได้ ไม่ต้องมานับถือ ไม่ต้องเปลี่ยนพระเจ้าของตนเอง ถือว่าเป็นเพียงเครื่องมือ ปณิธานของนาโรปะต้องการให้เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ไม่ใช่ชุมชนพุทธ แต่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพุทธ เขาถึงเรียกว่าเป็น Buddhist inspired University”

“ยกตัวอย่างในแง่สิ่งแวดล้อม องค์ความรู้เกี่ยวกับภูมิปัญญาของชนเผ่าพื้นเมือง ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญมาก เขาเอามาผนวกกับพุทธ เอามาผนวกกับคริสต์ดั้งเดิมว่ามองขบวนการนิเวศวิทยาอย่างไร การไม่เอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง มีอยู่ในทุกศาสนาไม่ใช่พุทธอย่างเดียว ความประทับใจอันหนึ่งอาจเป็นเพราะความเป็นวัชรยานก็ได้ คือการพยายามกลับไปสู่ความเป็นธรรมดา ตรุงปะพยายามกระชากหน้ากาก ดึงให้ทุกคนลงมาติดดินให้หมดในแง่ความคิด เป็นธรรมดาให้มากที่สุด พิธีรีตองจะไม่ค่อยมี จะเป็นพิธีที่พยายามประยุกต์เข้ากับการศึกษา ที่นั่นมีลักษณะของบ้าน วัด โรงเรียน เพราะเป็นชุมชนเล็กๆ มีนักเรียนทั้งหมดประมาณ ๗๐๐ คน ซึ่งถือว่าเล็กมากๆ การสร้างบรรยากาศของการเรียนรู้ก็จะง่ายเพราะมันเล็ก นั่นเรื่องความธรรมดา“

“และถ้าไปดูการสอนของเขาจะไม่มีภาษาบาลีเลย แต่เป็นเรื่องธรรมะทั้งนั้น ลูกศิษย์ที่มาช่วยล้วนเป็นคนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการภาวนาร่วมกับเชอเกียม หลายคนเป็นศิลปินก็มาช่วยร่วมกันก่อตั้ง และสร้างองค์ความรู้ใหม่ๆให้กับสถาบันของตัวเอง อันนี้ผมว่าน่าสนใจ ไม่ใช่เอาไบเบิ้ลหรืออะไรมาสอน แต่พยายามหาว่า อย่างวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่หากตีความแบบพุทธศาสนาจะเป็นอย่างไร วิทยาศาสตร์แบบมีจิตวิญญาณได้มั้ย คนสอนก็พยายามตั้งคำถามไปพร้อมๆ กับที่เขาสอน ทำให้ไม่มีบรรยากาศของการยัดเยียด”

“แต่บางวิชาก็ต่างกันไปมีลักษณะของการเลคเชอร์ บรรยายเหมือนกัน แต่อย่างวิชากระบวนการกลุ่ม การแก้ไขความขัดแย้งในกลุ่ม ก็จะบรรยายไม่ได้ ต้องให้สำรวจความขัดแย้งภายในกลุ่ม ใต้โต๊ะให้เอามาวางบนโต๊ะ มาดูกันจะจะ เอาแว่นขยายมาส่อง บางคนทนไม่ได้เดินออกจากห้องเลย เป็นการใช้ความรู้สึกเข้ามาเรียนมารับรู้ประสบการณ์ตรง บางคนร้องไห้ มีอยู่ครั้งเป็นวิชาความรุนแรงในสังคม และวิทยากรให้พวกเราถกกันเรื่องประเด็นการเมืองระหว่างเพศ (gender) ภายในเวลา ๑๐-๑๕ นาที ลุกฟึ่บขึ้นมาเป็นไฟเลย ผู้หญิงจะพูดก่อน พวกผู้ชายก็จะบอกว่าอายุฉัน ๔๐ กว่าแล้วนะ อุตส่าห์เป็นผู้ชายที่ดี มานั่งห้องนี้ มาเรียนแล้วยังโดนด่าอีก แล้ววิทยากรก็จะร่ายวิทยายุทธ์ออกมาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง สนุกเหมือนกัน แต่บางทีมันใช้พลังทางอารมณ์เยอะ เปิดแผลออกมาใหญ่ ถ้าวิทยากรไม่แน่ใจจริงๆ คุมสถานการณ์ไม่ได้ก็อาจเกิดความโกลาหล”

“ตามหลักสูตรแล้วปริญญาโทเรียน ๒ ปี แต่ผมเรียนนานหน่อย เพื่อนที่เรียนด้วยกันก็เรียน ๒ ปีครึ่ง หรือ ๓ ปี เพราะทำงานด้วย ส่วนใหญ่คนที่มาเรียนจะทำงานด้วย เพราะค่าเรียนค่อนข้างแพง ได้ทุนการศึกษาก็ยังไม่พอเพราะเขาให้เพียงบางส่วน นาโรปะเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่เหมือนมหาวิทยาลัยทางเลือกอื่นที่มีทุนมาก อาจารย์ส่วนใหญ่มาด้วยใจ บางคนทำงานร้านอาหารเพื่อให้มีเงินใช้จ่าย บางคนมีเงินแล้วก็มาช่วยเต็มที่”

“เสน่ห์อันหนึ่งคือ ตอนที่ผมเรียนมีวิชาให้นักเรียนออกแบบหลักสูตรเอง คล้ายๆ เรียนแบบผู้ใหญ่ อยากเรียนเรื่องอะไร จะเลือกอาจารย์คนไหน กำหนดตารางอ่านหนังสือเอง ผมก็ขออาจารย์คนหนึ่งมาสอนผมเรื่องเศรษฐศาสตร์โลกาภิวัฒน์ ผมอยากจะรู้ เขาก็นัดกินกาแฟด้วยกันทุกวันศุกร์ คุยกันไป ผมก็เขียนที่ผมเข้าใจให้เขาอ่าน เขาก็แก้ไขให้ และก็เปรียบเทียบว่าคิดแบบระบบเป็นอย่างไร คิดแบบเป็นเส้นตรงเป็นอย่างไร คิดอย่างไรถูก คิดอย่างไรผิด อันนี้ผมว่าเป็นเสน่ห์อีกอันคือ อาจารย์มีเวลาแลกเปลี่ยนบางทีไม่ได้เป็นเรื่องเรียนเลย คุยกันเรื่องส่วนตัว การเรียนไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้อง เขาจะเห็นพัฒนาการของนักเรียนด้วย ในการประเมินผลก็จะมีให้นักเรียนประเมินกันเอง นักเรียนประเมินอาจารย์และอาจารย์ประเมินเรา”

“การอ่านหนังสือก็แล้วแต่วิชา แต่จะมีให้อ่านทุกวิชา อย่างวิชาที่เป็นนามธรรมหน่อย เช่นการเปลี่ยนแปลงสังคม ประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรมมนุษย์และธรรมชาติ ก็อ่านเยอะ อ่านกันจนท้อเลย อาจารย์กำหนดให้ อ่านแล้วต้องไปคุยกับเขา ต้องเขียนรายงานก็เหมือนทั่วๆ ไป อาจมีให้นำเสนอหน้าชั้น“

“โดยรวมแล้วเป็นบรรยากาศแบบตะวันออกเพียงแต่ไปอยู่ตะวันตก คือเป็นวงกลม นั่งพื้น และมีภาวนาก่อนเรียนประมาณ ๕ นาที แล้วจะคารวะกัน ก่อนเลิกชั้นก็ภาวนา ส่วนใหญ่จะเป็นบรรยากาศนี้ แต่นั่งเรียงแถวแล้วอาจารย์อยู่ข้างหน้าก็มี แต่ส่วนใหญ่จะเป็นวงกลม นั่งเก้าอี้ก็มี แต่เน้นการนั่งกับพื้น”

ประสบการณ์แห่งการแปรเปลี่ยนและความเข้าใจ
“มีอยู่วิชาหนึ่งชื่อวิชา “ประสบการณ์จากธรรมชาติ” (Wilderness experience) เป็นวิชาที่ไม่ต้องใช้หนังสือเลย พาไปทะเลทรายไปอดอาหาร ๓ วัน อันนี้ไม่ต้องใช้หนังสือ หนังสือเล่มใหญ่คือธรรมชาติ เขาใช้วิธีแบบอินเดียนแดง คืออินเดียนแดงบอกว่า คนเราที่จะเรียนรู้ จะมีคำถามใหญ่ๆ ของชีวิต เช่นอาจจะถามว่า ชีวิตเราเกิดมาเพื่ออะไร บางคนสับสนว่าหน้าที่ของเราคืออะไร บางคนอาจเป็นผู้นำ บางคนเป็นผู้ตาม บางคนว่าเอ..ชีวิตคู่เราไม่ค่อยราบรื่น เราจะทำอย่างไร จะมีคำถามใหญ่ๆ มากับวิกฤตการณ์ของชีวิต อินเดียนแดงจะส่งคนสับสนเข้าไปในธรรมชาติ ไปอยู่ไปภาวนา ไม่พูดกับใคร พูดกับธรรมชาติได้ แล้วรองรับคำถามนี้ไว้ แล้วปล่อยให้คำตอบผุดขึ้นมาเอง อินเดียนแดงเรียก Vision Quest Quest คือการตั้งคำถาม Vision คือภาพนิมิต คล้ายๆ เหมือนการบวชของอินเดียนแดง ส่งหนุ่มน้อยเข้าไปบวชกับธรรมชาติแล้วกลับมาเล่าให้ฟัง ผู้อาวุโสจะฟัง แล้วช่วยตีความเชิงสัญญลักษณ์ จะรู้เลยว่าเด็กคนนั้นมีหน้าที่อะไร และจะได้ชื่อใหม่ด้วย อันนี้เขาก็เอามาใช้กับที่ผมเรียน”

“เราไปอยู่ทะเลทรายทั้งหมด ๑๐ วัน เตรียมพร้อม ๒-๓ วัน แล้วออกไปอยู่คนเดียว เข้าเงียบ เพื่ออธิฐานที่จะรับบทเรียนจากธรรมชาติ อดอาหาร ๓ วัน จนครบก็กลับออกมา แล้วมาเล่าให้ฟังว่าบทเรียนอะไรที่เราเรียนรู้จากธรรมชาติแล้วคำถามเราได้รับการตอบมั้ย บางทีการตอบคำถามในธรรมชาติอาจจะไม่ใช่ว่าถ้าเป็นอย่างนี้ คุณต้องมีหน้าที่ไปเยียวยาโลก เยียวยาธรรมชาตินะ มันไม่ใช่ แต่จะเป็นแบบว่านกฮัมมิ่งเบิร์ดบินเข้ามา มีแมงมุมมาไต่ขา อาจารย์จะทำหน้าที่สำคัญคือตีความปรากฏการณ์เหล่านี้ เขาเรียกจิตวิทยาเชิงนิเวศ (ecopsychology) เพราะเขาถือว่าไม่ใช่เป็นการบังเอิญ การที่มดเลือกที่จะไต่เข้ามาหาคุณ ณ เวลานั้นที่คุณตั้งคำถามหนึ่งอยู่ในใจ เป็นปัจจุบันขณะ มันสะท้อนอะไร มีนัยยะสำคัญว่าอะไร”

“ประสบการณ์ของผมตอนนั้น ผมไม่เชื่อนะ ผมอาจจะถูกวิทยาศาสตร์ล้างสมอง ผมไม่เชื่อว่าธรรมชาติจะสอนผมได้ และผมก็ไม่โกหกตัวเองด้วย ผมไม่เชื่อ ผมก็บอกว่าไม่เชื่อ เวลาอาจารย์ตั้งคำถามว่าผมตั้งคำถามอะไร ผมบอกว่า ผมตั้งคำถามว่า คำถามอะไรที่เหมาะสมที่ผมควรจะตั้ง อาจารย์บอก เออ..เออ..อันนี้ก็ได้ แล้วออกไปดูแล้วกัน (หัวเราะ) ปรากฏว่า ที่ที่ผมเลือกไปมันอยู่ทางทิศตะวันตก อยู่ใกล้หน้าผา สวยมากเป็นแคนยอน คล้ายวิหารศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติ แต่ตกลงไปตายเลย ทะเลทรายที่นั่นไม่ใช่แบบเป็นทรายนะ เพียงแต่ไม่มีน้ำ มีต้นไม้แบบพุ่มบ้าง อากาศแห้งมาก“

“จุดที่ผมเลือกเป็นทางทิศตะวันตก ไกลออกไปที่สุดเลย ๑ กิโลเมตร ผมมาคิดยังว่าผมคิดผิด อดอาหารไป ๓ วันเดินกลับมาแทบไม่ได้ แล้วมันขึ้นเขาลงเขาด้วย ไปอยู่ตรงนั้นผมทำทุกอย่างเลยเพื่อจะแสวงหาว่าคำตอบนั้นคืออะไร ทั้งตีลังกา แก้ผ้าเดิน ทำหมดเลย ก็ว่าเอ..เราจะได้คำตอบมั้ย เขาไม่ให้ใช้เต้นท์ด้วยให้ใช้ผ้ายางกันน้ำค้าง ไม่ให้เรารู้สึกปลอดภัย แต่ไม่ใช่ให้เราไปเสี่ยงอันตรายนะ แต่เรามีแนวโน้มที่จะสร้างความปลอดภัยให้ตัวเอง หากมีเต้นท์ก็คงไม่ไปไหนอยู่แต่่ในเต้นท์ มีอยู่คืนหนึ่งบนยอดเขา ผมเอาหินมาวางเรียงกันเป็นวงกลม บอกตัวเองว่าคืนนี้จะตรัสรู้ล่ะ แล้วเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้น(หัวเราะ) ก่อนออกไปอยู่วิเวกเขาก็สอนการสร้างพิธีกรรมด้วยตัวเอง การสร้างพิธีกรรมมันช่วยสื่อได้ ให้อธิษฐานเชิญผู้คนที่เราคุ้นเคย รัก ผมก็เชิญพ่อแม่มา ผู้อาวุโสทั้งหลายที่จะให้ภูมิปัญญาเรา ช้าง สิงสาราสัตว์ทั้งหลายเรียกมาให้หมด เหมือนกับเรียกฟ้าเรียกฝน.. ไม่มีเหตุการณ์ประหลาดอะไรเกิดขึ้น แต่วิธีการที่ผมไปตั้งคำถาม ฟังมัน ท้องก็หิวจ้อกๆ วันที่สองผ่านไป เห็นเครื่องบิน บินผ่านก็จินตนาการว่ามีขนมอะไรบนเครื่องบ้างนะ น่าจะหล่นลงมาบ้าง พวกถั่วลิสงอบเนยยิ่งดี”

“อาจารย์เขาตีความว่า ผมเลือกไปทางทิศตะวันตกอันหนึ่งเพราะว่า ตะวันตกในความหมายของอินเดียนแดงคือการตั้งคำถามกับตัวเอง วัยรุ่นจะอยู่ทางทิศตะวันตกเยอะ จะอยู่กับตัวเอง ตัวเองยังไม่เข้าใจตัวเองว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร ทำอะไร ไม่สามารถจะเคลื่อนไปสู่ทิศเหนือได้ ทิศเหนือคือทิศที่พร้อมจะทำงานรับใช้ชุมชน รับใช้ผู้อื่น รับใช้ตนเอง วัฒนธรรมเรา(สังคมสมัยใหม่)ส่วนใหญ่ติดกับทิศตะวันตกและทิศใต้ ทิศใต้เป็นทิศของการเกิด เป็นเด็ก เรื่องกาย เรื่องเซ็กส์ สังคมเราติดเรื่องกายมาก เรื่องเซ็กส์ด้วย ติดอยู่ทิศตะวันตก ความมืด วัยรุ่น และการสับสนในตัวเอง แต่ต้องการเสียงสะท้อนให้ตัวเองมากเพื่อจะรู้ที่ทางว่าจะเคลื่อนไปยังทิศเหนืออย่างไร และจะเคลื่อนไปยังทิศตะวันออกอย่างไร ทิศตะวันออก คือการชื่นชมกับสิ่งที่เราทำ คนที่ปฏิบัติธรรมแล้วพอผ่านระยะหนึ่งจะมาอยู่ทิศนี้ แต่มันจะวน ชีวิตของคนเราจะวน”

“อีกอันหนึ่งที่อาจารย์เขาบอกว่า ผมเลือกไปอยู่ทิศตะวันตกเพราะผมต้องการที่จะเข้าใจเสียงข้างในของตัวเอง เสียงของตัวเองคืออะไร ผมถูกเลี้ยงมาเสียงมันบอด เหมือนเปียโนที่กดไปไม่มีเสียง เขาบอกว่าให้เคลมหรือให้สิทธิ์กับเสียงตัวเอง เคลมความเข้าใจตัวเอง เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าเคลม อ้างอำนาจของพื้นดินให้เป็นพยานว่าพระองค์ตรัสรู้ คือทุกคนมีที่ทางของตัวเอง มีเสียงข้างในของตัวเอง การศึกษาต้องให้เขาได้ยิน รับรู้และเคลมเสียงข้างในของตัวเอง ยิ่งเราเป็นเอเซียต้องทำตามผู้ใหญ่ว่า เราไม่มีเสียงของตัวเอง อย่างน้อยตัวผมเป็นนะ ทีนี้การเปิดหลอดเสียงของตัวเอง ในทางจิตวิญญาณก็มีค่ามาก แทนที่มันจะอยู่เงียบๆ อย่างนั้น”

“วันที่ ๓ มันเริ่มชัด วันที่สองยังทุรนทุรายกับความทรมาน อาจารย์เขาเปรียบเทียบได้ดีว่า การที่เราอดอาหาร หนึ่งมันอยู่ในวิถีปฏิบัติของทุกศาสนา รวมทั้งศาสนาที่ไม่ใช่ศาสนาจัดตั้งด้วย เช่น ศาสนาของชนเผ่าทั้งหลายเขาก็มี มันไม่ใช่แค่การล้างร่างกาย มันยังล้างใจด้วย เหมือนกับระฆังที่เอาสิ่งอุดตันออกให้หมด ถ้าออกหมดจริงๆ พอตีปั๊บระฆังจะกังวาน...ไกลมาก”

“สิ่งที่ชัดในวันที่ ๓ คือ ร่างกายเราช้าลง เราเคลื่อนไหวได้ไม่เร็ว ค่อนข้างเพลียนิดหน่อย อีกอย่างหนึ่งคือระบบบัดดี้(Buddy) คืออยู่ใกล้ๆ กัน แต่ไม่เห็นไม่ได้ยินกัน บัดดี้ต้องหมายที่ไว้สักที่ เอาหินทำเป็นวงกลมไว้แล้วเอาก้อนหินใส่ตรงกลาง คนหนึ่งมาเอาหินออกตอนเช้า อีกคนไปเอาหินเข้าตอนเย็น เพื่อให้รู้ว่ายังปลอดภัย ทุกวันก็ต้องเดินไป แต่ละจังหวะพอร่างกายมันช้าลง การรับรู้มันใหม่ รับรู้ว่าชีวิตที่มันธรรมดามันก็ดี ผมอธิบายไม่ถูก มันมีปีติอะไรบางอย่าง บางทีเราไม่รู้ว่าเราเรียนรู้อะไรบ้างเท่ากับที่เราเรียน แต่มันกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของเราแล้ว”

“อันหนึ่งที่เปลี่ยนคุณลักษณะบางอย่างข้างในผมเมื่อกลับมาสู่สังคมปกติ คือความไม่กลัวบางอย่าง ความไม่กลัวความทุกข์ ความไม่กลัวเปราะบาง อันนี้เป็นอันหนึ่งที่นาโรปะพูดถึงเป็นประจำคือความเปราะบาง เราทุกคนถูกเลี้ยงมาให้พยายามสร้างกำแพงแกร่งเพื่อปกป้องตัวเอง ตัวเราเปราะบางไม่ได้ ต้องมีท่าทาง สร้างภาพลักษณ์ เพื่อให้ตัวจริงไม่โดนทำลาย การกระเทาะสิ่งเหล่านี้ออกไปทำให้เรารู้สึกดิบแต่ไม่เถื่อน เปราะบางได้ จะมีภัยมีอะไรมา ไม่เป็นไร ตรุงปะบอกว่า ความกล้าไม่ใช่สภาวะซึ่งปราศจากความกลัว แต่เป็นสภาวะของจิตใจที่กล้าเผชิญหน้ากับความกลัวอย่างตรงไปตรงมา นั่นคือความไม่กลัว หรือ fearless คือไม่ใช่ว่าปราศจากความกลัว แต่กล้าที่จะเผชิญกับมันตรงๆ เขาบอกว่าเปลือยสิ่งห่อหุ้มของใจออกเสีย วิธีการเอาธรรมะมาพูดแบบที่เขาทำนั้น ผมรู้สึกว่ามันสื่อกับคนอย่างเรา กับคนยุคใหม่ได้”

“และตอนนั้นประเด็นเรื่องความตายก็อยู่ในแวดวงของนาโรปะ มีอาจารย์มาสอนเรื่องความตาย การตายอย่างมีสติ พวกเราทุกคนแม้อายุ ๒๐ กว่าก็เตรียมตัวตายกัน พอพร้อมที่จะตายก็ทำอะไรก็ได้ ดีอย่างที่ไม่ต้องไปเน้นเรื่องศีลธรรม ศีลธรรมของนาโรปะต้องมาจากใจ หมายความว่าบางคนก็กินเหล้า สูบบุหรี่ แต่มันไม่ใช่ประเด็นหลัก เถรวาทอาจไม่เห็นด้วย แต่ผมว่ามันมีคุณค่าอะไรบางอย่างอยู่ ไม่ตัดสินอะไรง่ายๆ ไปพ้นกรอบความคิดเรื่อง เป็นคนอย่างไรถึงจะดี”

“อันนี้เป็นหลักสูตรบังคับของสาขาสิ่งแวดล้อม หรือสาขาจิตวิทยาที่เรียนทุกสำนักไม่เฉพาะพุทธ เรียนเพื่อรับรู้ว่าไอ้การไม่มีตัวตนเป็นอย่างไร การไปอยู่กับธรรมชาติ ธรรมชาติช่วยเราอย่างไร การไปอยู่ในเมือง ไปอยู่กับความทุกข์มันก็ช่วยอย่างหนึ่ง ทุกอย่างเป็นครูได้หมด ครูเป็นแค่คนพาเราไปผ่านประสบการณ์ ช่วยบิดผ้าให้แห้ง บิดจนหยดสุดท้ายออกมา ครูนี่สำคัญ บางทีเขาต้องเก่งพอที่จะบอกว่ามีรอยดำด่างอยู่ตรงนี้ คุณต้องพร้อมเอามันออกเองนะ เราเอาออกให้คุณไม่ได้ บางคนมานาโรปะ ไม่พร้อมจะเปิดตรงนี้ก็มีปัญหา สังคมอเมริกันยังไม่ค่อยเปิดเรื่องอารมณ์ บางทีเราเห็นฝรั่งกอดกันแต่บางทีเรื่องอารมณ์ปิดนะ โดยเฉพาะอารมณ์ที่เปราะบาง ผู้ชายจะมีเกราะมาก ซึ่งอันนี้ครูต้องถลกลงมาให้หมดเลย ถ้าคุณจะเรียนรู้อะไรสักอย่างจะเอาไว้อย่างนี้ไม่ได้ กระบวนการสำคัญมาก เผลอๆ ยิ่งกว่าเนื้อหาอีก คุณไม่เปิดคุณก็เรียนอะไรไม่ได้เลย ไปเรียนที่อื่นเถอะ หลายคนมานาโรปะก็ผิดหวัง”

ไปเรียนหลายอย่างกลับมาเมืองไทยแล้วทำอะไรอยู่
“ผมเรียนได้ ๒ ปีครึ่ง พอดีอาจารย์อิไลแอสชวนผมกลับมาช่วยงาน ธรรมยาตราที่เชียงใหม่** ผมเลยถือโอกาสกลับมา แต่ในช่วงเดินป่าก็มีงานจัดทำแผนที่ลุ่มน้ำ และผมเรียนเรื่องแผนที่มาบ้าง เลยกลับมาทำแผนที่ให้กับปกากะญอ เป็นงานวิจัยด้วยและเป็นวิทยานิพนธ์ด้วยอยู่ ๑ ปี และช่วยจัดธรรมยาตราอีกปี ช่วยจัดทำกระบวนการร่างคำประกาศของปกากะญอเรื่องสิทธิและหน้าที่คนอยู่ป่า ก็เป็น ๓ อันหลักๆ”

็”ทำแผนที่ก็สนุกดี ตอนนี้เรื่องป่าชุมชนกลายเป็นประเด็นที่ชาวบ้านต้องมาแก้ไข ต้องเข้ามามีส่วนร่วมเต็มที่ แผนที่เป็นเครื่องมือทำให้ชาวบ้านที่อยู่กับป่าและรักษาป่าจริงๆ.. ถ้าพวกที่รักษาไม่จริงก็ไม่มีแผนที่ ให้พวกที่รักษาป่าจริงๆ ได้ใช้เป็นเครื่องมือที่จะสื่อสารกับสังคม มันยืนยันได้ว่าความเป็นจริงคืออะไร แผนที่ไม่ใช่การลงรายละเอียดเรื่องราวทางกายภาพอย่างเดียว แต่มันจะมีในส่วนของวัฒนธรรมด้วยว่า เราเชื่อเรื่องป่าอย่างนี้นะ ป่าศักดิ์สิทธิ์ ป่าสะดือ ป่าผี ป่าเรือน และสายน้ำแต่ละสาย ห้วยแต่ละห้วย มีเรื่องราว มีชื่อท้องถิ่น ที่ไม่ปรากฏในแผนที่ทหาร แผนที่ท่องเที่ยวเลย มันมีเรื่องราวอย่างไร ทำแล้วสนุก ผมจดไม่ทันเลย มีแผนที่ผึ้ง แผนที่หมี แผนที่ชายเครายาว และอีกหน่อยเขาจะไปใช้ทำหลักสูตรการศึกษาท้องถิ่นของเขาได้ด้วย แต่ประเด็นที่เขาไปใช้หลักๆ คือเรื่องสิทธิในการที่จะได้อยู่กับป่าอยู่ในที่ที่เขาอยู่มานานแล้ว การโยกย้ายแผนที่ป่า ไร่หมุนเวียน แตกต่างจากไร่เลื่อนลอยอย่างไร เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร ขณะเดียวกันในกระบวนการทำแผนที่ ผมในฐานะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญผมไปสอนเขาทำ ให้คนเฒ่าคนแก่ผู้หญิงผู้ชายมานั่ง และให้คนที่มีความเชื่อมั่นในการขีดเขียนพวกเยาวชนมานั่งฟัง เล่าไปก็ระบายสีไป สนุก เด็กก็ได้เรียนด้วย ใช้ทำในหมู่บ้านเลยไม่ได้เกณฑ์ให้เขาเข้ามาทำในเมืองใหญ่ โดยตัวกระบวนการมันเป็นการเอาข้อมูลความรู้เชิงนิเวศของแต่ละคนมาแบ่งปัน บางคนก็เถียงกันว่า ห้วยนั้นเมื่อก่อนไม่ใช่อย่างนั้นนะ จะได้สร้างความรู้ใหม่ขึ้นมาด้วย ไม่ใช่เป็นการรื้อฟื้นความจำหรือความรู้ที่มีอยู่เท่านั้น ปีหน้าคิดว่าจะจัดทำเพิ่มเติมร่วมกับองค์กรที่ทำงานเรื่องสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ด้วย”

“หลังจากนั้นผมกลับไปอเมริกาไปนำเสนอวิทยานิพนธ์ เขาทำน่ารักนะ เขาจะประกาศไปทั่วว่านักเรียนคนนี้จะมาเสนอวิทยานิพนธ์แล้วนะ มากินข้าว เขาเรียก brown bag lunch คือมานั่งกินข้าวในถุงก๊อบแก๊บสีน้ำตาลกัน แล้วก็มาฟัง คล้ายๆ แบบน้องชายกลับมาไกลมาเล่าให้ฟังว่าไปไหน ทำอะไรมา ไม่ใช่บรรยากาศแบบอาจารย์ใส่สูทรมาจับผิด แต่การต้องแก้ไขก็มีแต่มันไม่ใช่บรรยากาศหลัก”

“เมื่อเสร็จผมก็กลับมาบ้าน ทางบ้านผมเขาไม่มีปัญหาอะไร เขาก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่แต่ก็รู้ว่า.. อย่างน้อยบ้านผมไม่ใช่จีนสุดขั้ว ไม่ใช่ต้องหาเงินอย่างเดียว เขายังเชื่อในความดีอยู่ ตราบใดที่ยังมีความดีอยู่ก็โอเค ไม่ใช่ตัดลูก ไม่ถึงขนาดนั้น เขาส่งเสียให้ผมเรียนในปีแรกที่เหลือผมทำงานเอง อย่างน้อยที่บ้านก็ส่งบ้างแต่ผมได้รับทุนส่วนหนึ่งของนาโรปะ และทำงานดูแลคนแก่ ทำงานร้านอาหาร รดน้ำต้นไม้ ตักหิมะ ถือว่าใช้ทุนน้อยมากถ้าเทียบกับนักเรียนไทยคนอื่นในเมืองเดียวกัน ตอนนั้นพอเงินบาทตก พ่อก็ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว เขาส่งให้ผมเป็นประมาณปีละ ๔ แสนบาท อันนี้น้อยนะ จ่ายเฉพาะค่าเรียน ค่ากินค่าอยู่ผมก็หาเอง ซึ่งก็ประมาณอีก ๔ แสนบาท ค่าใช้จ่ายค่อนข้างแพงถ้าเทียบเป็นเงินไทย หน่วยกิตปริญญาโทประมาณ ๔๐๐ เหรียญต่อหน่วย อยู่ระดับกลางๆ ถ้าเทียบเมืองไทยก็แพง แต่ถ้าเทียบกับมหาวิทยาลัยที่นั่นก็ไม่แพงเท่าไหร่ อีกอย่างพวกที่จบนาโรปะส่วนใหญ่จะบ่นว่า “กูจะไปทำงานอะไรวะ มานั่งภาวนา ๙ หน่วยกิต จะให้ใครว่าจ้างว่า ภาวนามา ๙ หน่วยจะให้งานอะไร” เป็นอีกปัญหาหนึ่งซึ่งเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์หมดเลย เราต้องสร้างงานเอง ผมกลับมาเมืองไทย เขาให้ผมไปสอนที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ให้ผมไปสอนเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ผมไม่เชื่อ ผมจะไปสอนได้อย่างไร พอดีทางสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุขชวนมาช่วยงานวิจัยเป็นงานเรื่องนิเวศวิทยาแนวลึกและได้กลับมาเรียนรู้กับบ้านเกิดเมืองนอนเราด้วยว่าแนวคิดในเชิงเดียวกันมีอยู่แล้วที่ไหนบ้าง ในเผ่าพื้นเมืองก็ดี ในพุทธก็ดี ก็ไม่จำเป็นต้องไปทำงานอะไรที่มันรู้สึกว่าไม่ใช่เรา”

“อีกเรื่องที่ทำคือมาจากผมกับอาวิศิษฐ์ ที่อยู่เชียงรายอยู่แล้วพอผมกลับมาและก็มีคุณมนตรี ทองเพียรอีกคน ก็คิดกันว่าจะทำอะไรดีนะ เลยคิดว่าอยากจะทำงานที่เราถนัด เราชอบงานเขียนงานแปล ช่วงหลังมาทำงานฝึกอบรมมากขึ้น เลยตั้งเป็นองค์กรเล็กๆ ขึ้นมา ขึ้นกับมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป เป็นสถาบันชื่อสถาบันขวัญเมือง แรกความตั้งใจจริงๆ คืออยากจะทำองค์กรธุรกิจเพื่อสังคม อยากจะเลี้ยงตัวเอง เหนื่อยกับการเป็นองค์กรเอกชนแล้วต้องไปง้อทุน ไปหาทุน เราพึ่งตัวเองได้มั้ย อบรมแล้วพึ่งตัวเองได้ด้วย ที่ผ่านมาก็รับเอาปุ๋ยชีวภาพมาขายแต่ไม่เวอร์ก ก็เลิกไป ตอนนี้สงสัยต้องเป็นองค์กรเอกชนแล้ว มันอยู่ไม่ได้ แต่งานฝึกอบรมยังพอไปได้”

“ส่วนงานทางเสมสิกขาลัยขณะนี้จะเริ่มจัดการศึกษาทางเลือกในระดับอุดมศึกษา ผมก็มาดูแลให้ในภาคสิ่งแวดล้อมและนิเวศแนวลึก คิดว่าช่วยสอนให้ด้วยในปีหน้า ๓-๔ วิชา จะกลับมาทำให้เป็นเรื่องเป็นราว คิดหน่วยกิต อ้างอิงเหมือนระบบมหาวิทยาลัยแต่อาจจะไม่เข้าระบบ จนกว่าระบบเห็นว่ามันเวอร์กขอเอาปริญญามาให้ค่อยว่าไป แต่ตอนนี้ต้องทำให้มีหลักสูตรเป็นเรื่องเป็นราวก่อน... นั่นแหละงานที่ทำอยู่”

ทิ้งท้าย…
“ผมเชื่อว่าชีวิตนี้เราได้รับการดูแลจากการทำความดีของเรา พูดอีกนัยคือว่าจักรวาลเขาก็ดูแลเราเอง เดี๋ยวก็มีมาเอง ถ้าเราไม่ต้องการที่จะมีเยอะนะ ถ้าผมต้องการรถ บ้านหลังที่สอง มันก็เป็นอีกเรื่อง มันไม่มีใครมาดูแลหรอก แต่ผมว่าเราจะได้รับการดูแลเอง ความเชื่อในความไม่รู้ ในอนาคตที่ไม่รู้ อันนี้เป็นอันหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากการภาวนาแบบธิเบต องค์ภาวนาคือความไม่รู้ the unknown เราต้องอยู่กับความไม่รู้ให้ได้และต้องเชื่อในปัจจุบัน แล้วชีวิตมันจะดำเนินต่อไปได้เอง”
====

จุดเด่นของนาโรปะในท่ามกลางมหาวิทยาลัยทางเลือก
ณัฐฬส วังวิญญู
“ผมไม่ได้สัมผัสมหาวิทยาลัยที่อื่นมาก มหาวิทยาลัยทางเลือกมีหลากหลายแล้วแต่นิยาม แต่สำหรับนาโรปะมีจุดเด่นทางเรื่องจิตใจชัดเจน คือเห็นว่าอุดมคติ หรือนักศึกษาที่พึงประสงค์คืออะไร คือเป็นบุคคลที่ทำงานเพื่อโลกเพื่อผู้อื่น ไม่ใช่ด้วยเหตุผล ระบบศีลธรรม จริยธรรมใดๆ ทั้งสิ้น แต่ต้องมาจากใจ เพราะจะยั่งยืนกว่า กระบวนการศึกษาของเขาจึงต้องมาเชื่อมสมองกับใจเข้าด้วยกัน เวลาเลือกอาจารย์ก็จะเลือกด้วยมาตรฐานนี้ เพราะนาโรปะถือว่าการศึกษาคือการแปรเปลี่ยนการเติบโตข้างใน Education as Transformation เหมือนคำว่าสิกขา ก็มาจากคำว่า สะ-อิกะ ซึ่งแปลว่า การมองตน มีความหมายที่เหมือนกันเลย ต้องมามองตน เข้าใจ เปลี่ยนแปลงและเติบโตภายใน”

“อันที่สอง การรักษาขนาดของความเล็กไว้ทำให้คุณภาพบางอย่างยังอยู่ ถ้าใหญ่ขึ้นหลักหลายพันหรือเป็นหมื่นคน คุณภาพบางอย่างทำอย่างไรก็ไม่เกิดขึ้น มีคนพยายามขยายมหาวิทยาลัย แต่คณะกรรมการไม่ยินยอม ให้ไปทำใหม่อีกที่หนึ่งแล้วเข้าไปช่วยบริหาร ให้ทำแบบเล็กๆนี่แหละ เล็กๆ แต่งาม เล็กๆ แต่มีคุณภาพบางอย่างที่จะไม่หายไป อย่างที่ชูมากเกอร์มีประโยคเก๋ว่า “Small is beautiful.”

“อันที่สาม พยายามสร้างความเป็นชุมชน นาโรปะถือว่าการเรียนรู้ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเองอย่างเดียวมันต้องมีกัลยาณมิตร นี่ก็กลับมาเรื่องพุทธ ในแต่ละโอกาสเขาพยายามให้เกิดมีกิจกรรมของชุมชนเช่น การภาวนาร่วมกัน วันสิ่งแวดล้อม วันที่สำคัญที่เขาถือว่าสำคัญ และเปิดให้คนข้างนอกเข้ามาด้วย”


มหาวิทยาลัยนาโรปะ
ณัฐฬส วังวิญญู

มหาวิทยาลัยนาโรปะได้รับการก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗ โดย ชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช ซึ่งเป็นอาจารย์ผู้สืบทอดคำสอนของพุทธศาสนาแนวธิเบต นิกายคากิวและนิงมา ตอนที่รัฐบาลจีนทำการยึดประเทศธิเบต ในปี พ.ศ. ๒๕๓๖ ตรุงปะจำต้องลี้ภายออกมาตามแนวเทือกหิมาลัย มายังตอนเหนือของประเทศอินเดีย ถึงแม้กระนั้น ท่านก็ทำการเผยแพร่ธรรมมะอย่างสม่ำเสมอ เช่น เดียวกับสมเด็จองค์ทะไล ลามะ และอาจารย์ฝ่ายธิเบตคนอื่นๆ และในปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ท่านได้รับทุนการศึกษาสปอลดิ้ง ให้ได้เข้าศึกษาด้านศาสนาเชิงเปรียบเทียบ ปรัชญาศึกษา และศิลปกรรมที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ท่านพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษจนแตกฉาน และเข้าใจถึงความต้องการด้านจิตวิญญาณของโลกตะวันตก
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ท่านเริ่มเดินทางไปสอนธรรมมะและเผยแพร่พระพุทธศาสนาในประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเวลาร่วม ๑๗ ปี โดยที่ท่านได้ก่อตั้งสำนักปฏิบัติสมาธิภาวนาหลายแห่งในทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรป ด้วยเหตุที่ท่านมีทั้งความเป็นนักวิชาการ เป็นศิลปิน และอาจารย์สอนสมาธิภาวนา ท่านจึงได้รับการยอมรับว่าเป็นอาจารย์สอนพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดคนหนึ่งในโลกตะวันตก
เมื่อท่านก่อตั้งนาโรปะขึ้นมา โดยมีวิสัยทัศน์ทางการศึกษา คือนาโรปะจะเป็นมหาวิทยาลัยที่หลอมรวมเอาองค์ประกอบของการสอนด้านจิตหรือภาวนา และการศิลปะแขนงต่างๆ รวมทั้งการศึกษาแนวตะวันตก ผนวกไว้ด้วยกัน และในปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ท่านได้ก่อตั้งศูนย์ปฏิบัติธรรมนานาชาติชัมบาลาขึ้นสำหรับฆราวาสผู้มีความสนใจในการปฏิบัติ
ตรุงปะ รินโปเช เสียชีวิตลงเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐ ทิ้งผลงานและเอกลักษณ์ที่เฉพาะตัวของท่านไว้ในความทรงจำของผู้คนและบรรดาสานุษิตย์ มหาวิทยาลัยนาโรปะ และหนังสือที่ท่านนิพนธ์อีกหลายเล่ม เช่น Born in Tibet, Cutting Through Spiritual Materialism, The Myth of Freedom, Shambhala: The Sacred Path of the Warrior เป็นต้น

พันธกิจของนาโรปะ
เป้าหมายทางการศึกษาของมหาวิทยาลัยนาโรปะ
[1]ตั้งอยู่บนปฐมนิมิตเมื่อแรกก่อตั้งและมรดกทางวัฒนธรรมแห่งการภาวนา ซึ่งประกอบไปด้วย องค์ประกอบทั้ง ๖ ได้แก่

๑. ความรู้เท่าทันปัจจุบันขณะ
การบ่มเพาะความรู้เท่าทันในปัจจุบันขณะ เป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาแนวภาวนา การฝึกฝนความรู้เท่าทันนี้หมายถึง การรับรู้ถึงประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นในกระบวนการเรียนรู้ ในแต่ละขณะอย่างละเอียดถี่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็น การเท่าทันกระบวนการทางความคิด การรับรู้ความรู้สึกผ่านผัสสะต่างๆ รวมทั้งห้วงอารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ล้วนได้รับการหลอมรวมอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ในสาขาวิชาต่างๆ เมื่อร่างกายและจิตใจหลอมรวมกันได้โดยผ่านกระบวนการเรียนรู้แบบองค์รวมแล้ว ความสามารถหรือคุณลักษณะด้านต่างๆก็จะก่อเกิดและสำแดงออกมา ได้แก่ ความคิดอ่านมีความแม่นยำและความเข้าใจมีความแจ่มชัดทะลุปรุโปร่ง การสื่อสารเป็นไปด้วยความเปิดกว้างและชัดเจน ตระหนักรู้และชื่นชมโลกได้อย่างเต็มเปี่ยมกว้างขวาง การกระทำการต่างๆก็มีประสิทธิภาพ ความรู้เท่าทันนี้จะได้รับการบ่มเพาะให้แรงกร้าและเต็มเปี่ยมโดยกระบวนวิธีต่างๆ ได้แก่ การเจริญสมาธิภาวนา และการภาวนาตามธรรมเนียมปฏิบัติในแนวทางต่างๆ ทั้งที่มีมาแต่วัฒนธรรมดั้งเดิมและแนวทางสมัยใหม่ต่างๆ ทั้งนี้รวมถึงกระบวนการฝึกฝนทางพุทธิปัญญาและศิลปะในแขนงต่างๆ การฝึกปฏิบัติและวินัยเหล่านี้จะช่วยให้ปัจจุบันขณะเผยตัวในฐานะประสบการณ์ตรง ที่ผู้เรียนสัมผัสได้ด้วยตน รวมถึงการรับรู้ถึงความลังเลสงสัย และแรงต้านภายใน ในการที่จะเข้าถึงและดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ ทั้งนี้ เหล่าคณาจารย์ทั้งหลายจะได้รับการส่งเสริมให้พัฒนาหลักปฏิบัติในการฝึกสติ หรือการตื่นรู้ ให้สอดคล้องกับสาขาวิชาที่ตนสอน การฝึกฝนความรู้เท่าทันนี้ช่วยให้จิตตั้งมั่นและเรียนรู้ในปัจจุบันขณะ ไม่วอกแวกวุ่นวายและไหลเลื่อนไปอย่างไม่มีทิศทาง

๒. สร้างสรรค์ชุมชนแห่งการเรียนรู้
การศึกษาเรียนรู้นั้นไม่ได้เป็นเพียงการแสวงหาความรู้โดยปัจเจกบุคคลเท่านั้น และกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพก็ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องเรียนที่แยกสัดส่วนออกจากสิ่งแวดล้อมโดยสิ้นเชิง หากว่าเกิดจากการปฏิสัมพันธ์และปะทะสังสรรค์ ในความสัมพันธ์ที่เรามีต่อผู้คนและสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวัน ด้วยเหตุนี้ นาโรปะจึงมีความมุ่งมั่นในการก่อให้เกิดบรรยากาศของความเป็นกัลยาณมิตรและชุมชนเรียนรู้ขึ้น เป็นเสมือนพื้นที่ศึกษาทดลองมีชีวิต ที่ท้าทายและทดสอบสติปัญญา องค์ความรู้และการรับรู้ของนักเรียนในโลกที่เป็นจริง เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งๆขึ้นไป ทั้งนี้ เมื่อผู้เรียนมีความเข้าใจในตัวเองมากขึ้น ก็จะสามารถเข้าผู้อื่นและโลกได้มากขึ้นเป็นลำดับ อีกทั้งความเอื้ออาทรและความเมตตาต่อผู้อื่นก็จะงอกงามขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติด้วย บรรยากาศการเรียนรู้เช่นนี้เองที่ผู้เรียนจะค้นพบจิตใจและภูมิปัญญาภายในตน

๓. บ่มเพาะความเปิดกว้าง
กล่าวได้ว่า ผู้มีการศึกษานั้นควรจะมีคุณลักษณะ ๕ ประการด้วยกัน ซึ่งถือเป็นแนวทางฝึกปฏิบัติไปสู่พัฒนาการภายในที่สมดุล และเพื่อการเรียนรู้และการตอบสนองต่อโลกอย่างสร้างสรรค์ ตลอดเส้นทางของการดำรงชีวิต ทั้งนี้ หลักสูตรการเรียนการสอนในสาขาวิชาแขนงต่างๆจะได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยในผู้เรียนได้บ่มเพาะคุณลักษณะเหล่านี้ ได้แก่

ความเปิดใจและความเคารพในประสบการณ์ตรงของผู้เรียนเอง—หมายถึงความตั้งใจที่จะมองให้เห็นประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นต่อตนเองอย่างชัดเจน รับรู้อย่างตรงไปตรงมาและเปิดกว้าง นั่นหมายรวมถึง ความรู้สึกทางผัสสะและอารมณ์ต่างๆ รวมถึงสภาวะจิตที่เป็นไปในแต่ละห้วงของปัจจุบันขณะ ซึ่งถือเป็นพื้นที่ที่กระบวนการเรียนรู้ศึกษาที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ หลายๆคนอาจมีความวิตกกังวล อึดอัดหรือหงุดหงิดในกระบวนการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรงเหล่านี้ และพยายามหลีกเลี่ยง ปฏิเสธ หรือจัดการกับประสบการณ์ตรงที่มีค่าเหล่านี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การฝึกฝนจึงเป็นเรื่องของการที่ผู้เรียนต้องเปิดใจกว้างและสร้างความสัมพันธ์อันดีต่อประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้นภายใน อย่างเปิดเผย เพื่อให้สามารถรับรู้เท่าทันบทเรียนภายในเหล่านี้อย่างถูกต้องชัดเจนตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ที่จำเป็นในการเข้าถึงองค์ความรู้ในระดับที่ลึกซึ้งลงไป ในการดำเนินชีวิต การกระทำใดๆที่จะถึงพร้อมด้วยสติปัญญาและความมั่นใจได้นั้น จะต้องยืนอยู่บนพื้นฐานของการไม่ตัดสินอย่างมีอคติ แต่ดำเนินไปด้วยความรู้เท่าทันที่แจ่มแจ้ง ต่อเนื่องและไม่บิดเบือน และสนใจใคร่รู้ในประสบการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะตนอยู่เสมอ ในแง่หนึ่ง การที่เราสามารถดำรงอยู่และยอมรับในสิ่งที่เราเป็นได้อย่างไม่แปลกแยกนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด

ทักษะการสื่อสารและการสรรสร้างความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์—หมายถึง ความสามารถในการสัมพันธ์และสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเริ่มจากการเรียนรู้ที่จะยอมรับและชื่นชมคุณค่าของประสบการณ์ตรงของผู้อื่น และฝึกฝนทักษะการสื่อสารในทางต่างๆ ได้แก่ ทักษะการอ่านและเขียน การพูดและการฟังที่มีประสิทธิภาพ ตลอดจนถึงวิถีทางของการสื่อสารอื่นๆ นอกเหนือจากการใช้ภาษาพูด เช่น ดนตรี ศิลปะการเคลื่อนไหว ทัศนศิลป์ เป็นต้น คุณสมบัตินี้ครอบคลุมถึงความรับผิดชอบในการช่วยเหลือเกื้อกูล สมดุลภาวะและการเจริญเติบโตด้านในของผู้อื่นด้วย

ฝึกฝนการคิดวิเคราะห์ให้แหลมคมลุ่มลึก—คือความสามารถในการรับรู้และวิเคราะห์โลก มองเห็นลักษณะจำเพาะของปรากฏการณ์ต่างๆได้อย่างเชื่อมโยง คุณสมบัตินี้บ่มเพาะได้ด้วยการทำความเข้าใจในเหตุปัจจัยและฐานแห่งการก่อเกิดและขับเคลื่อนของสังคม ซึ่งรวมถึง โครงสร้างทางสังคม ตรรกะทางความคิดต่างๆ และความสัมพันธ์อันโยงใยทั้งหลาย ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถจับประเด็นต่างๆเพื่อการเข้าใจตัวเองและสังคมโลกที่ตนอยู่ได้อย่างมีวิจารณญาณ และคมชัดพอที่จะนำเสนอออกมาได้ ในรูปแบบต่างๆ เช่น บทวิเคราะห์, บทวิพากษ์ หรือรูปแบบอื่นๆที่สร้างสรรค์ ทั้งนี้ ปัญญานั้น นอกจากเป็นเรื่องของความสามารถคิดวิเคราะห์ได้อย่างแหลมคม ยังหมายรวมถึง ความสามารถเปิดพื้นที่ให้แก่ ความเข้าใจอันกระจ่างชัด ให้ปรากฎขึ้นอย่างฉับพลันและมีความสดใหม่ด้วย

ชื่นชมในความมั่งคั่งรุ่มรวยในภูมิปัญญาของโลก—เรียนรู้และชื่นชนในความหลากหลาย ระบบคุณค่าต่างๆที่อยู่ในสังคมโลก ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดจินตนาการอันสร้างสรรค์และพัฒนาความรอบรู้ของตัวเองให้ขยายขอบเขตไปอย่างไม่มีที่สุด นั่นหมายถึง การพัฒนาความสามารถในการเข้าถึงแหล่งความรู้ต่างๆ เพื่อการนำมาใช้ ทั้งในด้าน พุทธิปัญญา อารมณ์และด้านการปฏิบัติ โดยเพิ่มการรับรู้และการชื่นชมในวิถีแห่งปัญญา การแสดงออกทางปัญญา ประสบการณ์และความสร้างสรรค์ ที่มีอยู่อย่างหลากหลายในโลกนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ ๑) การเข้าใจภูมิปัญญาทั้งหลายที่เกิดขึ้นในบริบทและเงื่อนไขอันจำเพาะ โดยไม่ยัดเยียดกรอบเชิงคุณค่าและความคิดของตนเข้าไป ๒) ตระหนักรู้ว่า เมื่อเราสามารถชื่นชมความหลากหลายที่ดำรงอยู่ในโลกเหล่านี้ได้ ชีวิตของตนก็จะมั่งคั่งรุ่มรวยและ การกระทำต่างๆจะเป็นไปด้วยความรอบรู้นี้

การกระทำที่มีประสิทธิภาพ—คือความสามารถในการนำเอาความรู้หรือความเข้าใจที่ตนได้มา ไปสู่การปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพและสมบูรณ์หมดจด โดยอาศัยคุณลักษณะของความเปิดใจกว้าง ความเข้าใจอันกระจ่างชัด ความสามารถในการสื่อสารและสัมพันธ์ เป็นพื้นฐานการดำเนินชีวิตของตัวเอง สามารถตอบสนองความต้องการที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย รักษาระดับความสนใจไคร่รู้และความมุ่งมั่นในการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ รวมถึงทำกิจกรรมโครงการต่างๆให้สำเร็จลุล่วงจนถึงที่สุด ทั้งนี้ คุณค่าของการศึกษาของนาโรปะนั้น วัดได้ที่ความสามารถของนักศึกษาในการดำเนินชีวิตในสังคมโลกได้อย่างเป็นประโยชน์ สร้างสรรค์และเกื้อกูล

คุณลักษณะอันพึงประสงค์ทั้งหลายเหล่านี้ ได้รับการพัฒนาและบรรจุไว้ในระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัยนาโรปะ ซึ่งจะช่วยให้นักศึกษาสามารถพัฒนาทักษะต่างๆที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบกิจหน้าที่การงาน หากกล่าวโดยรวม คุณลักษณะเหล่านี้เป็นทักษะเชิงคุณภาพภายในของบุคคล มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของเทคนิควิธีการ และการฝึกฝนทางวิชาชีพ เพราะเชื่อว่าการบ่มเพาะคุณลักษณะเหล่านี้เป็นการตระเตรียมนักศึกษาให้มีความพร้อม ที่จะดำรงชีวิตในสังคมสมัยใหม่นี้ ได้อย่างดี เพราะอุปสรรคหรือความทุกข์ร้อนที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตในสังคมทุกวันนี้ มีผลมาจากอุปสรรคในทางจิตวิทยา เช่น ความไม่สมดุลทางอารมณ์ ความสับสน ความไม่สามารถในการสื่อสารและสัมพันธ์กับผู้อื่น ความไม่เข้าใจชีวิตอย่างพอเพียง เป็นต้น เมื่อนักศึกษาเรียนรู้ที่จะจัดการกับอุปสรรคด้านในได้ ก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงความพึงพอใจอย่างลุ่มลึกในชีวิตตนเอง และเป็นผู้ที่มีประสิทธิภาพในหน้าที่การงานทั้งหลายไปด้วยเช่นกัน นอกจากประโยชน์ต่อความสำเร็จในอาชีพการงานแล้ว การพัฒนาคุณลักษณะเหล่านี้จะช่วยให้นักศึกษาได้บ่มเพาะ ความเปิดใจกว้าง ความรู้จักตัวเอง ขันติธรรม ความยืดหยุ่น และความสมดุลทางอารมณ์ ในชีวิตที่ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในสังคมสมัยใหม่ ที่เต็มไปด้วยแรงกดดันนานัปการ ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จะเป็นพื้นฐานสำคัญในการศึกษาต่อ การทำงาน และการดำเนินชีวิตได้อย่างทันการณ์และสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นจริง

๔. มรดกแห่งการศึกษาแนวพุทธ
ระบบการศึกษาแนวพุทธมีที่มาอันยาวนาน นับตั้งแต่พระพุทธศาสนาได้เกิดขึ้นในอินเดีย เมื่อ ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว ระบบการศึกษาแนวพุทธนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานการฝึกปฏิบัติสำคัญ ๓ ประการ ได้แก่ ศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งนำไปสู่การค้นพบความไม่มีตัวตน(egolessness) ซึ่งในทางพุทธปรัชญาหมายถึง ภาวะที่เข้าถึงได้ ผ่านประสบการณ์และความเข้าใจถึงความจริงที่ว่า “ตัวเรา” นั้นหาได้ดำรงอยู่อย่างเอกเทศตายตัวไม่ แต่เป็นกระบวนการของชีวิตที่ดำเนินไปอย่างมีเหตุปัจจัยประกอบอยู่ด้วยเสมอ
การฝึกสมาธิภาวนา หมายถึง การฝึกสติและความรู้เท่าทันให้ถึงพร้อม ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของความเข้าใจตนเองและความกรุณา รวมถึงสำนึกแห่งการช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น การฝึกฝนทางจิตนี้จะเริ่มช่วยให้เราเป็นอิสระจากรูปแบบพฤติกรรมเดิมๆที่ไม่ก่อให้เกิดผลสร้างสรรค์อันใด และเป็นอิสระจากอคติต่างๆ การภาวนาจะช่วยให้เราพัฒนาคุณค่าและความสง่างามของความเป็นมนุษย์ อีกทั้งช่วยฝึกฝนสติปัญญาให้แก่กล้าลุ่มลึกด้วย

ในที่นี้ ศีล มี ๒ มิติ คือ การศึกษาสาขาวิชาความรู้เฉพาะด้าน และความมุ่งมั่นในการเรียนรู้ตลอดชีวิตซึ่งต้องอาศัยทั้งขันติธรรมและอารมณ์ขัน

ประการสุดท้าย คือการฝึกเข้าถึงทางปัญญา ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ขั้นตอน คือ หนึ่ง รับฟังจากคำสอนที่มีมา สอง ตรวจสอบว่าความรู้ที่ได้รับมานั้นเป็นจริงอย่างไร และสุดท้ายคือ การน้อมรับความรู้มาพิจารณาอย่างแยบคาย (โยนิโสมนัสสิการ) ด้วยวิธีการนี้ ความรู้จริงเป็นสิ่งที่สดใหม่ หรือเป็น “ความรู้มือหนึ่ง” ที่ประจักษ์ได้ด้วยตน และสามารถถ่ายทอดผ่านภาษา (วจีกรรม) และการกระทำได้ (กายกรรม)

๕. วิถีแห่งภูมิปัญญาโลก
แนวทางดั้งเดิมของการแสวงหาและเข้าถึงความรู้และภูมิปัญญาต่างๆที่มีอยู่ในโลกนั้นรวมถึง แนวทางของศาสนาหลักดั้งเดิมทั้งหลาย จารีต ธรรมเนียมปฏิบัติ วัฒนธรรมและศาสตร์แห่งความรู้ที่ลี้ลับทั้งหลาย ซึ่งยังคงมีคุณค่าและประโยชน์ต่อสังคมปัจจุบัน โดยสามารถให้ความเข้าใจที่ลุ่มลึกและแนวทางออกที่เหมาะสม การนำวิถีทางและองค์ความรู้เหล่านี้มาหลอมรวมกับระบบการศึกษาสมัยใหม่ จะช่วยให้นักศึกษาคลี่คลายความสำคัญตนผิดและความคิดอันคับแคบลง ดังนั้น จึงถือเป็นการสร้างพื้นที่แห่งการสืบค้นและตรวจสอบพรมแดนความรู้และวิถีแห่งปัญญาของมนุษย์ ที่กว้างใหญ่และหลากหลาย ที่ดำรงอยู่ในวัฒนธรรมร่วมสมัยในโลกปัจจุบัน

๖. การไม่ฝักใฝ่ในลัทธิความเชื่อหรือศาสนาใดๆ และความเปิดกว้าง
ธรรมเนียมปฏิบัติในการฝึกฝนทางจิต การบ่มเพาะการตื่นรู้ และความรู้เท่าทันตัวเองและโลก เป็นหลักปฏิบัติที่มีอยู่ในวัฒนธรรมและศาสนาต่างๆในโลก เป็นสิ่งที่วัฒนธรรมทั้งหลายให้ความสำคัญ ไม่ใช่ในฐานะของหลักปฏิบัติทางศาสนา แต่ในฐานะที่เป็นแนวทางไปสู่การค้นพบตัวเองและความเข้าใจโลกที่ลุ่มลึก ในทางประวัติศาสตร์ ระบบการศึกษาแนวพุทธให้คุณค่าแก่การเรียนรู้ในความคิดเห็นและจารีตทางปัญญาที่หลากหลาย เพื่อเข้าใจถึงสภาวะและประสบการณ์ของความเป็นมนุษย์ ด้วยมรดกตกทอดทางปัญญาที่ได้รับสืบมานี้ มหาวิทยาลัยจึงส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรม ระบบความเชื่อ แนวทางแห่งจิตวิญญาณ และระบบปรัชญาที่แตกต่างหลากหลาย
ในสังคมสมัยใหม่ ดูเหมือนว่า ศิลป์และศาสตร์ทั้งหลายที่ช่วยให้ผู้คนเชื่อมกายและจิตให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ผ่านวิถีทางแห่งสติและความรู้ตัวทั่วพร้อม อย่างที่เห็นความจำเป็นของการไปพ้นความยึดมั่นในตัวตนอันคับแคบนั้น นับวันจะเป็นที่ยอมรับและเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น ในขณะที่ความยึดติดในความคิดอย่างแข็งทื่อ และความยึดถืออุดมคติใดๆอย่างตายตัว จนถึงขนาดที่อาจเป็นภัยต่อสังคมได้นั้น กำลังอ่อนแรงและคลายอำนาจลงไป ท่ามกลางกระแสสำนึกอย่างใหม่ เช่น การเห็นคุณค่าของปฏิสัมพันธ์อันสอดคล้องระหว่างกายและจิตที่มีผลต่อกระบวนการบำบัดเยียวยา การฝึกการรับรู้เท่าทันตัวเองและสิ่งรอบตัวในวิชาชีพแขนงต่างๆ การเห็นบทบาทที่สำคัญของญาณทัศนะ(intuition)ในแวดวงวิทยาศาสตร์และภาคธุรกิจ แนวคิดเชิงนิเวศวิทยาที่พยายามไปพ้นมุมมองของประโยชน์ตน หรือประโยชน์ของธรรมชาติที่มีต่อมนุษย์ ซึ่งก่อให้เกิดจริยศาสตร์เชิงนิเวศน์อย่างใหม่ กระแสสำนึกใหม่นี้ยังเกิดขึ้นในสาขาวิทยาการด้านการจัดการ ที่ให้คุณค่ากับความร่วมไม้ร่วมมือ มากกว่าการแข่งขัน และการตัดสินใจอย่างมีส่วนร่วม ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ระบบการศึกษาพึงสำเนียกและฝึกฝนนักศึกษาให้เป็นบัณฑิตที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์แก่สังคมโลก.

*นาโรปะ
เชอเกียม ตรุงปะ รินโปเช คือลามะธิเบตผู้ก่อตั้งนาโรปะขึ้นในปี ๑๙๗๔ แรกเริ่มเป็นแค่สถาบัน โดยใช้แนวทางของมหาวิทยาลัยนาลันทา แหล่งศึกษาชื่อดังของประเทศอินเดียในศตวรรษที่ ๑๑ จนได้รับการรับรองจาก North Central Association of Colleges and Schools ยกวิทยฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย เปิดสอนหลักสูตรทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และประกาศนียบัตร

สนใจข้อมูลเพิ่มเติม เว็บไซด์ www.naropa.org
**ธรรมยาตราที่เชียงใหม่การเดินทางบนดอยสูง ใช้ชีวิตร่วมกับชาวเขาเพื่อเรียนรู้วิถีความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ โดยมีฐานของการภาวนาเป็นหัวใจ จัดโดยเสมสิกขาลัย
สนใจข้อมูลเพิ่มเติม อีเมล์ ashram@cscoms.com
เว็บไซด์ www.thai.net/ashram, www.siam21.org,www.sulak-sivaraksa.org
====
เงื่อนไขพื้นฐานสำหรับผู้สนใจไปเรียนที่นาโรปะ
๑. ภาษาอังกฤษต้องได้อย่างน้อย ๕๕๐ คะแนน มีความสามารถในการสื่อสารระดับหนึ่ง อ่านหนังสือได้
๒. ทัศนคติที่เป็นบวก พร้อมจะเปิดเผย
การคัดเลือกทำโดยการเขียนเรียงความและสัมภาษณ์ อาจสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์กรณีไม่สะดวกเดินทาง
[1] แปลและเรียบเรียงจาก The Mission of Naropa University, http://www.naropa.edu/, 2546

No comments: