Monday, May 9

สุขภาวะ และนิเวศวิทยา

นิเวศวิทยาแนวลึกและกระบวนทัศน์สุขภาพ

หากจะกล่าวว่า สุขภาวะของมนุษย์นั้นขึ้นอยู่กับสุขภาวะของระบบนิเวศน์ที่มนุษย์อาศัยอยู่ก็คงไม่ผิดนัก ยิ่งในยุคสมัยที่กระแสความคิดแนวธรรมชาตินิยม หรือแนวคิดสีเขียวเริ่มเป็นที่แพร่หลายกันมากขึ้น ท่ามกลางความเจริญสุดโต่งทางวัตถุของยุคอุตสาหกรรมนิยม พร้อมกับผลพวงมลพิษต่างๆ และโรคภัยไข้เจ็บสมัยใหม่ที่ตามมา ทำให้เกิดกระแสความตื่นตัวเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากร ควบคุมมลพิษและกระแสการดูแลรักษาสุขภาพตัวเอง แม้ว่าทั้งสองกระแสยังไม่เกิดการเชื่อมโยงกันอย่างเห็นได้ชัด ความเข้าใจในความสัมพันธ์ที่โยงใยอันซับซ้อนระหว่างมนุษย์กับธรรมชาตินี้เป็นสิ่งที่มักเข้าถึงได้เพียงทางพุทธิปัญญา หรือความเข้าใจเชิงเหตุผลเท่านั้น การแก้ไขก็มุ่งเน้นไปในทางเทคนิคกลไก แทนที่จะเป็นเรื่องของการปรับเปลี่ยนวิธีคิดอย่างมีพลวัตปัจจัยพอที่จะแปรเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดและพฤติกรรมของผู้คนไปสู่วิถีชีวิตทางเลือกที่เอื้อต่อสุขภาวะของตัวเองและระบบนิเวศ

หากจะใช้มาตรฐานของนิเวศวิทยาแนวลึกที่เอาธรรมชาติหรือระบบนิเวศซึ่งมีฐาะเป็นบ้านหลักใหญ่ของทุกชีวิตเป็นศูนย์กลางแทนมนุษย์ด้วย กระแสความคิดและขบวนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทั้งหลายมุ่งเป้าประโยชน์เพียงเพื่อมนุษย์เอง คงต้องเผชิญกับโจทย์คำถามใหญ่ให้ได้ขบคิดเกี่ยวกับสมมติฐานทางปรัชญาและคุณค่าพื้นฐานเกี่ยวกับทิศทางความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ ความชอบธรรมของโครงสร้างเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนถึงทิศทางการพัฒนาตามกระแสทุนนิยมโลกาภิวัฒน์และระเบียบโลกที่ถูกจัดวางไว้เพื่อประโยชน์ทางการค้าและอุตสาหกรรมของคนเพียงจำนวนน้อย

แม้ว่า วิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโยลีทำให้เราเข้าใจการทำงานของธรรมชาติ โลกและจักรวาลอย่างเป็นระบบมากขึ้น จนเริ่มให้ความสำคัญต่อการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม การควบคุมและลดปริมาณมลพิษในอากาศ รวมถึงก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ที่ถูกปล่อยขึ้นไปทำลายชั้นบรรยากาศของโลกต่างๆนานา แต่ถึงกระนั้นเราก็ยังคงรู้สึกว่า”สิ่งแวดล้อม”เป็น”สิ่ง”ที่แยกส่วนออกไปจากร่างกายของเรา มายาภาพนี้จอห์น สีด(นักนิเวศวิทยาแนวลึกชาวออสเตรเลีย) แนะนำให้เราลองกลั้นลมหายใจสักครู่ ในขณะเดียวกันให้พูดคำว่า “บรรยากาศโลก” หรือ “สิ่งแวดล้อม” เราก็จะพบว่า จริงๆแล้วไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “สิ่งนั้น” หรือ “สิ่งนี้” ที่ถูกตัดขาดอยู่นอกตัวเราอย่างสิ้นเชิง ทุกครั้งที่เราหายใจเข้าและออก ล้วนหมายถึงการแลกเปลี่ยนถ่ายเทสสารและพลังงานระหว่างเราและโลกอย่างต่อเนื่อง
สุขภาพกระบวนทัศน์ใหม่

ในปาฐกถา เสม พริ้งพวงแก้ว ครั้งที่ ๗ ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ เรื่อง คืนสุนทรียภาพให้สุขภาพ กระบวนทัศน์สุขภาพใหม่ จิตวิญญาณ สุนทรีภาพ และความเป็นมนุษย์ คุณหมอโกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ได้อธิบายความหมายคำว่า สุขภาพ ตามคำจำกัดความขององค์การอนามัยโลกว่า “สุขภาพ คือภาวะอันเป็นพลวัตของความสุขที่สมบูรณ์พร้อม ทั้งทางกาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ สุขภาวะทางกายอาจหมายถึง การปราศจากโรค หรือทุพพลภาพ สุขภาวะทางใจหมายถึง การมีความสบายใจ มีความร่าเริงแจ่มใส ไม่เครียดหรือทุกข์ร้อนใจ ส่วนสุขภาวะทางสังคมหมายถึง การปลอดพ้นจากความบีบคั้นทางสังคม เช่น ความไม่เป็นธรรมทางสังคม การกดขี่ขูดรีด การดูถูกเหยียดหยาม หรือความรุนแรงอื่นๆ ส่วนสุขภาวะทางจิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ยากที่จะให้คำจำกัดความ เพราะการมีความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณนั้นสัมพันธ์กับการให้คุณค่าและความหมายของชีวิต คือสัมพันธ์กับคำถามที่ว่าเป็นหมายสูงสุดของชีวิตคืออะไร
[1]

จะเห็นว่า สุขภาพ กินความกว้างขวางนอกเหนือจากสภาวะของร่างกายซึ่งเป็นปัจจัยทางกายภาพ เพราะนอกจากนี้ยังมีสภาวะของจิตใจที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน เรื่องนี้ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ หากถามใครๆก็คงตอบว่ากายใจคือองค์รวมแห่งสุขภาพ หากแต่มีการให้ความสำคัญในด้านนี้น้อยนักในแพทย์ศาสตร์แผนปัจจุบัน(หรือในกระบวนทัศน์เดิม) อาจเป็นเพราะเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์วัดค่าและควบคุมไม่ได้ แต่เป็นความรับผิดชอบของผู้ป่วยที่ต้องทำงานเอง ส่วนด้านสังคมนั้น ผมตีความว่าหมายรวมถึงระบบนิเวศด้วย ซึ่งถือได้เป็นสิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อสุขภาวะของบุคคลทั้งด้านกายและจิต ทั้งนี้ สังคมและระบบนิเวศนั้นมีการไหลเลื่อนเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ราวกับมีชีวิตเป็นของตัวเอง และมีปฏิสัมพันธ์กับชีวิตของปัจเจกอย่างแยกกันไม่ออก

ส่วนสุขภาวะในด้านจิตวิญญาณนั้นนพ.โกมาตรตีความว่าคือมิติของความดี(จริยธรรม) และความงาม (สุนทรียภาพ) ความดีเป็นปัจจัยของสุขภาพได้อย่างไร? ในสังคมสมัยใหม่ที่ซับซ้อนมากขึ้น การกระทำใดๆที่เคยเพียงพอและเรียกว่า ความดี ในสังคมที่เคยเรียบง่าย อาจกลายเป็นความดีไม่พอในสังคมสมัยใหม่นี้ก็เป็นได้ ซึ่งในเรื่องจริยศาสตร์นี้เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่สามารถเป็นข้อถกเถียงทางปรัชญาที่ไม่จบสิ้นได้ แต่ในที่นี้ ความดีน่าจะหมายถึง ความไม่เบียดเบียน ไม่สร้างทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ส่วนในระดับสังคม สังคมที่ดี หมายถึง สังคมที่ปราศจากการกดขี่และภาวะบีบคั้น หรือเป็นสังคมที่ช่วยให้คนในสังคมรู้เท่าทันตัวเอง และผลอันเกิดจากการกระทำของตัวเองที่มีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม แทนที่จะเป็นสังคมที่หล่อเลี้ยงความอยากความใคร่ ความเครียด และความฟุ้งเฟ้ออย่างไม่มีที่สิ้นสุด “สุขภาพเป็นผลลัพธ์ของชีวิตที่ดุลยภาพ และมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องระหว่างกันในชุมชน เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และไม่เบียดเบียนธรรมชาติ”

ส่วนความงาม หรือสุนทรียภาพ ที่แสดงออกในรูปของศิลปะแขนงต่างๆ รวมทั้งที่แฝงอยู่ในวิถีชีวิต เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ความละเอียดอ่อนในการดำเนินชีวิตที่เชื่อมโยงสอดคล้องสัมพันธ์กับธรรมชาติและจักรวาล มองเห็นความงดงามและความมหัศจรรย์ของชีวิตและธรรมชาติอย่างฉงนฉงายและอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งจะช่วยขัดเกลาชีวิตให้มีความสุขุมประณีตและเป็นสุข จึงจะเห็นว่า มิติทางจิตใจ และจิตวิญญาณ มีส่วนสำคัญต่อสุขภาพ หากความคิดด้านสุขภาพของสังคมได้รับผลกระทบมาจากความคิดเชิงแยกส่วนแบบวิทยาศาสตร์กลไกฉบับนิวตัน เพราะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช่วยให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ รอดพ้นจากความเจ็บป่วยและความตายไปได้ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่จะดำรงอยู่อย่างมีความหมายหรือมีคุณค่าหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ทางจิตวิญญาณหรือทางศาสนามากกว่า

กระบวนทัศน์ใหม่ในเรื่องสุขภาพตามความหมายของนพ.วิธาน ฐานะวุฒน์ ในหนังสือ “หัวใจใหม่ ชีวิตใหม่”เล่มโตแต่ขายดีนั้น เป็นการมองสุขภาพอย่างเป็นองค์รวม มองร่างกายและจิตใจว่าเป็นสิ่งที่แยกออกจากกันไม่ได้ เน้นความสำคัญของการมองภาพรวมในการแก้ปัญหา ขบวนการเชื่อมรวมร่างกายและจิตใจ และให้ความสำคัญกับจิตวิญญาณ มองว่าความผิดปกติของส่วนใดส่วนหนึ่งจะมีผลกระทบต่อระบบทั้งหมด หนังสือของคุณหมอวิธานเป็นแผนที่เดินทางในการดูแลสุขภาพอย่างเป็นองค์รวม โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนทัศนะคติให้เข้าใจถึงกรอบคิดเดิม หรือกระบวนทัศน์เดิม มาเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ และมีตัวอย่างของแนวทางปฏิบัติที่สามารถนำไปใช้และเห็นผลได้เลย

หากมองภาพรวมๆ ระบบการแพทย์นั้นถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบสุขภาพ และไม่ได้ปฏิเสธการแพทย์แผนปัจจุบัน เนื่องจากยังเป็นประโยชน์อยู่อย่างมิอาจปฏิเสธได้ แม้เราจะเห็นถึงข้อจำกัดในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บมากมาย หากต้องนำการแพทย์แผนปัจจุบันนี้มาใช้ควบคู่กับมุมมองหรือกระบวนทัศน์ใหม่ โดยไม่เหวี่ยงไปให้ความสำคัญกับการแพทย์ทางเลือกอย่างไม่ลืมหูลืมตา มุมมองนี้ยังหมายถึง การตระหนักรู้ถึงหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลตัวเองของผู้ป่วยและผู้ที่ยังไม่ป่วย ดังที่คุณหมอเขียนไว้ว่า “ในมุมมองใหม่หรือที่เราเรียกว่าเป็นการแพทย์แบบองค์รวมนั้น เราต้องถอยออกมาจากการติดยึดกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งของสุขภาพ ที่ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์สมัยใหม่ หรือการแพทย์ทางเลือกก็ตาม ต้องถอยออกมาดูแลตัวเอง ดูแลสุขภาพตัวเองให้มากขึ้นอย่างตื่นตัว ไม่ใช่เป็นฝ่ายรอรับหรือมอบอำนาจการดูแลสุขภาพของตัวเองให้กับแพทย์ หรือที่น่ากลัวกว่าและเลวร้ายกว่าเดิมก็คือการมอบอำนาจการรักษาเหล่านี้ไปให้กับผู้ที่ไม่ใช่แพทย์ด้วยซ้ำ ผู้ที่ควรจะมีอำนาจสูงสุดในการดูแลสุภาพของคุณก็คือตัวคุณเอง” จะเห็นว่าในแง่นี้ มุมมองใหม่หมายถึงการจัดความสัมพันธ์เชิงอำนาจใหม่ให้มีความเท่าเทียมกันมากขึ้นระหว่างผู้ป่วยกับแพทย์ ผู้ป่วยมีความรู้เกี่ยวกับตัวเองที่มีความสำคัญต่อการดูแลรักษาตัวเองได้

ฟริตจ๊อป คาปรา นักฟิสิกส์กระบวนทัศน์ใหม่ ได้ชี้ให้เห็นว่าแนวคิดเรื่อง การแพทย์หรือสุขภาพองค์รวมนั้นมีผลสืบเนื่องมาจากการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในฟิสิกส์ใหม่ และชีววิทยาใหม่ ซึ่งทำให้พื้นฐานความเข้าใจ หรือความเชื่อเกี่ยวกับหน่วยชีวิต (Organism) เปลี่ยนแปลงไปอย่างถอนรากถอนโคน เขาเรียกมุมมองใหม่นี้ว่าเป็น ทัศนะแบบกระบวนระบบ (system view of life) ซึ่งมองคุณลักษณะที่เป็นองค์รวมของหน่วยชีวิต ความสัมพันธ์โยงไยและความพึ่งพิงต่อกันของหน่วยชีวิตซึ่งเป็นความเข้าใจที่ตรงกับทัศนะเกี่ยวกับชีวิตของตะวันออก และวัฒนธรรมดั้งเดิมต่างๆอย่างน่าทึ่ง

แนวคิดที่เป็นแกนกลางของทัศนะทางด้านสุขภาพของชาวจีนก็คือเรื่องความสมดุล ตำราโบราณชี้ว่า โรคแสดงตัวเมื่อร่างกายหันเหจากภาวะสมดุลและชี่ไม่ไหลเวียนอย่างถูกต้อง ความเจ็บป่วยไม่ถือว่าเป็นการรุกราน แต่เป็นผลมาจากสาเหตุที่ก่อให้เกิดความไม่บรรสานสอดคล้องและเสียสมดุล อย่างไรก็ตารม ธรรมชาติของสรรพสิ่งรวมทั้งมนุษย์มีแนวโน้มที่จะคืนสู่ภาวะสมดุลซึ่งเคลื่อนไหวอยู่เสมอ การเข้าและออกจากจุดสมดุลนั้นถือว่าเป็นกระบวนการธรรมชาติที่เกิดขึ้น ไม่หยุดตลอดวัฏจักรชีวิต ในตำราจีนจึงไม่มีเส้นแบ่งชัดเจนระหว่างการมีสุขภาพดีกับการเจ็บป่วย เนื่องจากความเจ็บป่วยนั้นเมื่อถึงจุดหนึ่งแล้วเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับชีวิตที่ยังดำเนินอยู่ สุขภาพที่สมบูรณ์เต็มที่จึงมิใช่เป้าหมายสูงสุด ไม่ว่าของผู้ป่วยหรือหมอ เป้าหมายของการแพทย์จีนคือการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมโดยรวมของแต่ละบุคคลอย่างดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ดังนั้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวผู้ป่วยจึงมีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพและการฟื้นฟูรักษาตัวเองในยามที่เกิดการเสียสมดุล และมองว่าพลังแห่งการบำบัดรักษาแฝงอยู่ในทุกหน่วยชีวิต เมื่อถูกรบกวนหน่วยชีวิตมีความโน้มเอียงโดยธรรมชาติที่จะกำกับตนให้เคลื่อนไปสู่ภาวะสมดุลดั้งเดิม
[2]

นอกจากนี้คาปร้ายังเห็นว่า การปฏิรูปสุขภาพของสังคมนั้นจะต้องคำนึงถึงการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างเป็นระบบและอย่างจริงจังอีกด้วย ดังที่เขากล่าวว่า “วิธีการแบบองค์รวมที่แท้จริงจะตระหนักว่าสิ่งแวดล้อมที่ก่อกำเนิดขึ้นจากระบบเศรษฐกิจและสังคมของเรา ซึ่งมีโลกทัศน์แบบแยกส่วนและลดทอนตามแนวเดส์คาตส์เป็นพื้นฐานนั้น เป็นภัยต่อสุขภาพของเราอย่างสำคัญ แนวทางเสริมสร้างสุขภาพที่คำนึงถึงสมดลทางนิเวศวิทยา จะมีความหมายก็ต่อเมื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานทางด้านเทคโนโลยี และทางโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจ
[3]” ทัศนะทางด้านสุขภาพแบบองค์รวมเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของสถาบันสังคม ซึ่งเป็นจุดเน้นย้ำที่สำคัญที่สอดคล้องกับหลักการของนิเวศวิทยาแนวลึก

แม้เราจะพอเข้าในได้ว่า สุขภาวะของปัจเจกนั้นเกี่ยวข้องกับสุขภาวะของสังคมและระบบนิเวศ เช่นเดียวกับที่เราพอเข้าใจว่ากายและใจนั้นสัมพันธ์กันอยู่ แต่ผมเกรงว่าความเข้าใจนี้อาจจะไม่ลึกพอที่จะเน้นย้ำรุกเร้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตัวเองและความพยายามให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสร้างสรรค์สังคมอย่างถึงรากถีงโคนได้ และเพื่อให้เข้าใจถึงความเกี่ยวเนื่องกันของสุขภาวะในระดับปัจเจก สังคมและนิเวศ ผมจะขอยกข้อคิดเห็นที่คาปร้าเขียนไว้ได้อย่างชัดเจนว่า “ทัศนะแบบกระบวนระบบมอง สุขภาพ ในแง่ที่เป็นกระบวนการอันต่อเนื่อง ในขณะที่คำนิยามส่วนใหญ่รวมทั้งที่เสนอโดยผู้ประกอบเวชปฏิบัติแนวองค์รวมเมื่อเร็วๆนี้ต่างกล่าวถึงสุขภาพว่า เป็นภาวะปกติสุขสมบูรณ์ที่หยุดนิ่ง ทัศนะแบบกระบวนระบบมุ่งไปที่การทำงานและการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ชี้ให้เห็นการตอบสนองที่สร้างสรรค์ของหน่วยชีวิตต่อการท้าทายของธรรมชาติ เนื่องจากสภาพของบุคคลจะขึ้นอยู่กับสิ่งแวด้อมทางธรรมชาติและทางสังคมเป็นสำคัญเสมอ ดังนั้นจึงไม่มีสุขภาพระดับใดที่เป็นอิสระจากสิ่งแวดล้อมดังกล่าวได้ การเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องของหน่วยชีวิตในคนๆหนึ่ง สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม…ทัศนะแบบกระบวนระบบในเรื่องสุขภาพ มีทัศนะแบบกระบวนระบบในเรื่องชีวิตเป็นพื้นฐาน เราได้เห็นแล้วว่า หน่วยชีวิตเป็นระบบที่จัดการตัวเองอย่างมีเสถียรภาพยิ่ง เสถียรภาพนี้จะเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอันเป็นผลจากปัจจัยหลากหลายที่แปรผันขึ้นลงตลอดเวลา และเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน ดังนั้นเพื่อที่จะมีสุขภาพดี ระบบจะต้องมีความยืดหยุ่นและมีทางเลือกมากในการมีปฏิกิริยาสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม ความยืดหยุ่นของระบบหนึ่งๆขึ้นอยู่ว่า มีตัวแปรมากน้อยเพียงใดที่แปรผันขึ้นลงอย่างสม่ำเสมอระหว่างขีดสูงสุดและขีดต่ำสุด หน่วยชีวิตมีการเคลื่อนไหวมากเท่าไรก็จะมีความยืดหยุ่นมากเท่านั้น ไม่ว่าความยืดหยุ่นจะเป็นแง่ใด ทางกาย จิตใจ สังคม เทคโนโลยีหรือเศรษฐกิจ ก็ล้วนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับระบบในการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง การสูญเสียความยืดหยุ่นหมายถึงการเสื่อมสุขภาพ…สุขภาพจึงเป็นความปกติสุขที่เกิดจากความสมดุลที่เคลื่อนไหว ซึ่งครอบคลุมไปถึงสภาพทางกายและจิตใจของหน่วยชีวิต ตลอดจนการมีปฏิกิริยาสัมพันธ์กับธรรมชาติและสังคมแวดล้อม…การมีสุขภาพดีจึงหมายถึงการประสานกลมกลืนตัวเองทั้งทางกายและใจ ตลอดจนกับโลกแวดล้อม”
[4]

ทีนี้ลองมาดูการนิยามคำว่า สุขภาพ จากกลุ่มคนระดับท้องถิ่นหรือรากหญ้าของสังคมไทยเราบ้าง เผื่อจะให้ความกระจ่างแก่ความเข้าใจในเรื่องสุขภาพได้ดีขึ้น ในกระบวนทัศน์ของประชาคมคนจน ว่าด้วยสุขภาพแบบองค์รวม
[5] (โครงการเวทีสุขภาพคนจน) ได้นิยามคำว่า สุขภาพ หรือ สุขภาวะ คือ “ภาวะแห่งสุข ภาวะแห่งความเป็นปกติของชีวิต ทั้งด้านกาย จิตใจ จิตวิญญาณ ตั้งแต่เกิด ดำรงอยู่ เจ็บป่วย และตาย ทั้งในฐานะปัจเจกบุคคลและสังคม การดูแลสุขภาพ คือการดูแลทั้งด้านวิถีชีวิตละวิธีคิด ให้เกิดความมั่นคงด้านสุขภาพและรวมถึงการไม่ให้เจ็บป่วย ล้มตาย สูญเสีย ทุกข์ทรมาน หรือมีความเสี่ยงต่อสิ่งเหล่านี้โดยไม่จำเป็น ชีวิตที่มีสุขภาพ ดำรงอยู่ได้โดยขึ้นกับสรรพสิ่งทั้งมวล ทั้งรูปธรรมและนามธรรมที่ดำรงอยู่อย่างเป็นปฏิสัมพันธ์ ดังนั้นความเจ็บไข้ได้ป่วย จึงเป็นอาการที่บ่งบอกถึงความเบี่ยงเบนหรือพยาธิสภาพของสังคมที่แวดล้อมชีวิต

เพื่อให้มีสุขภาพ คนจนจำเป็นต้องมีชีวิตแห่งการเรียนรู้ มีอิสระทางความคิด มีอิสระในการคัดสรร วิพากษ์และให้คุณค่าแก่สิ่งต่างๆ โดยไม่ถูกกำหนดหรือครอบงำโดยอำนาจใดๆ มีความตระหนักรู้ในการเชื่อมโยงแห่งสรรพสิ่งว่าส่งผลกระทบต่อชีวิต มีจิตสำนึกสาธารณะและตื่นตัวในการเคลื่อนไหวให้เกิดการเปลี่ยนแปลง อันจะก่อให้เกิดปัจจัยที่เหมาะสมต่อความมั่นคงด้านสุขภาพ

คนจนจำเป็นต้องมีอิสระในการดำรงชีพ โดยมีปัจจัยเพียงพอและเหมาะสม สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่มีคุณภาพ อีกทั้งสามารถดำรงรักษาและใช้ประโยชน์จากฐานสนับสนุนชีวิต ไม่ว่าจะเป็นฐานความรู้ ฐานวัฒนธรรม ฐานทรัพยากร ฐานนิเวศ ฐานเศรษฐกิจ สามารถสืบทอดองค์ความรู้ ภูมิปัญญา ศาสนาและวัฒนธรรมประเพณีของตนโดยได้รับการยอมรับในความแตกต่างหลากหลายและได้รับความเคารพในฐานะมนุษย์ มีศักยภาพและสิทธิในการร่วมเลือกสรรการเปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนาใดๆ โดยได้รับข้อมูลความรู้อย่างรอบด้าน และเพียงพอ

คนจนจำต้องตระหนักว่าชีวิตของตนขึ้นอยู่กับและส่งอิทธิพลต่อชีวิตอื่นในลักษณะข่ายใยที่เชื่อมโยงกันและกัน รวมขึ้นเป็นชุมชนและสังคม ดังนั้นจำเป็นต้องมีการเรียนรู้จากกันและกัน เคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเสมอหน้ากัน และเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน

คนจนต้องมีสิทธิในการจัดการดูแลสุขภาพของตน มีสิทธิในการสืบทอดองค์ความรู้ด้านสุขภาพของตน ในขณะเดียวกัน ต้องสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่มีหลากหลายรูปแบบและรอบด้าน ทั้งการส่งเสริม ป้องกัน บำบัดรักษา และการฟื้นฟูสุขภาพ คนจนต้องได้รับการบริการอย่างเสมอภาค ด้วยเมตตาธรรม และที่คำนึงถึงมนุษยธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ ฐานะทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศาสนา เชื้อชาติเผ่าพันธ์ หรืออื่นๆ ที่นำมาซึ่งการแบ่งแยก นอกจากนั้น การบริการทางสุขภาพต้องเป็นการบริการแก่สาธารณชนด้วยราคาที่เป็นธรรม และต้องไม่นำไปหากำไรทางการพาณิชย์โดยเด็ดขาด”

หากมองจากมุมมองของนิเวศวิทยาแนวลึก จะเห็นว่าระบบคุณค่าในนิยามดังกล่าวนี้สอดคล้องกับหลักการของความเป็นองค์รวมของชีวิต ที่ประกอบไปด้วยกายและจิต สังคมและนิเวศในฐานะที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้เกิดสุขภาวะ ไม่ได้แยกออกจากกันเป็นส่วนๆ “ภาวะแห่งความเป็นปกติของชีวิตทั้งด้านกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ” นั้นแสดงให้เห็นว่าสุขภาวะของปัจเจกนั้นขึ้นต่อสุขภาวะของข่ายใยแห่งความสัมพันธ์ที่มนุษย์มีต่อสังคมและนิเวศวิทยา ไม่จำเพาะในด้านกายเท่านั้น แต่ในด้านจิตใจและจิตวิญญาณ ซึ่งในที่นี้ผมตีความว่าหมายถึงความคิดที่ไปพ้นอัตตาตัวตนอันคับแคบ เป็นสำนึกที่แยกตัวเองออกจากองค์รวมของชีวิต (สังคมและธรรมชาติ) ที่น่าสนใจก็คือ การเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการดำรงอยู่ในสุขภาวะ ดังนั้นข่ายใยชีวิตจึงมีความเคลื่อนไหว ถ่ายเท แลกเปลี่ยน เรียนรู้และปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดำรงอยู่ร่วมกันอย่างมีสมดุล น่าสนใจว่า สมมติฐานนี้หากเป็นที่ปรารถนาของผู้คนในสังคมจริงๆแล้ว เราจะต้องทำอย่างไรกับระบบเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นอยู่ ที่มีเป้าหมายอยู่ที่การผลิตและแข่งขันอย่างไม่มีขีดจำกัด

และที่บอกว่า “ความเจ็บไข้ได้ป่วยจึงเป็นอาการที่บ่งบอกถึงความเบี่ยงเบนหรือพยาธิสภาพของสังคมที่แวดล้อมชีวิต” นี้ ผมรู้สึกว่าเป็นถ้อยความที่สะท้อนให้เห็นถึงวิธีคิดเชิงระบบที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นเสียงจากกลุ่มคนจำนวนมากของสังคม ที่รับรู้และสัมผัสถึงผลกระทบในเรื่องของสุขภาพได้ชัดเจน เพราะเป็นกลุ่มที่อยู่ในบริเวณชายขอบของสังคม หมายถึงมีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองน้อย มีช่องทางในการแสดงออกและส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางของสังคมอย่างจำกัด ความคิดเชิงระบบหรืออาจเรียกได้ว่าเป็นความคิดเชิงนิเวศนี้ไม่จำเป็นต้องมาจากนักวิชาการที่ทำงานกับความคิดอ่านที่ซับซ้อนแต่เพียงอย่างเดียว จำคำพูดของอ.สุลักษณ์ได้ว่า หลังฟองสบู่แตก กลุ่มคนที่เรียนรู้มากและปรับเปลี่ยนวิธีคิดได้มากคือคนจน ผมคิดว่าสิ่งที่ผมได้ยินจากถ้อยความนี้ก็คือ สุขภาวะของคนคนหนึ่งสามารถเป็นกระจกเงาสะท้อนภาพให้เห็นถึงสุขภาวะของสังคมและนิเวศได้อย่างดี เนื่องจากเป็นสิ่งที่ขึ้นต่อกันอย่างแยกกันไม่ออก เหมือนกับแนวคิดในเรื่อง โฮโลแกรม (Hologram)

อีกอย่าง คือการยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรมและภูมิปัญญา คุณค่าของความเป็นมนุษย์ ที่ล้วนมีคุณค่าในตัวเอง คือเคารพและยอมรับจริงโดยไม่ต้องไปมองต่อว่าความหลากหลายไม่ว่าจะเป็นเชิงชีวภาพที่จะนำไปใช้ผลิตยา หรือเชิงวัฒนธรรมนี้เป็น “ทรัพยากร” หรือ “ทุน” หรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการมองและให้คุณค่าสิ่งเหล่านี้ในด้านประโยชน์ใช้สอย เป็นวัตถุ ก็ลงร่องหรือตกอยู่ภายใต้กรอบความคิดเดิม ผมไม่ได้ปฏิเสธการนำคำว่า “ทุน” มาใช้ในการสร้างวาทกรรมใหม่ให้กว้างขวาง ครอบคลุม เช่น ทุนทางสังคม หรือ ทุนทางวัฒนธรรม หากเกรงว่าความคิดเหล่านี้จะนำไปสู่กรอบคิดเชิงอรรถประโยชน์และเป้าหมายเชิงการผลิตของสังคมเพียงอย่างเดียวดังที่เป็นมา

ดังนั้น ปัญหาเรื่องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมนั้นเชื่อมโยงกันอย่างแยกไม่ออก ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะโยงสองสิ่งนี้อย่างไร และมองเห็นความเชื่อมโยงกันของเหตุปัจจัยระหว่างสังคมมนุษย์ ระบบเศรษฐกิจ นิเวศน์วิทยาและสุขภาวะของสาธารณชนอย่างไร

อันที่จริงกระบวนทัศน์ที่มองสรรพสิ่งอย่างเชื่อมโยงนั้นมีมาแต่เดิมแล้วในวิธีคิด จักรวาลวิทยา และนิเวศวิทยาของชุมชนดั้งเดิม หรือกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมต่างๆ เพียงแต่ว่าองค์ความรู้เหล่านี้ถูกจัดสรรให้อยู่ตาม”ชายขอบ” และไม่ได้เข้ามาอยู่ในระบบความคิดกระแสหลัก ตัวอย่างความคิดดังกล่าวนี้ได้แก่ ปรัชญาความเชื่อของชาวปกาเกอะญอที่เชื่อว่าคนเรานั้นมีขวัญทั้งหมด 37 ขวัญ อยู่กับตัว 5 ขวัญ และอยู่กับธรรมชาติแวดล้อมอีก 32 ขวัญ ในพิธีกรรมที่สำคัญหลายๆพิธีก็จะมีการเรียกขวัญทั้งสามสิบเจ็ดให้กลับมาหาเจ้าของขวัญ เพื่อให้อยู่อย่างเป็นสุขและเป็นสิริมงคลอีกด้วย ดังที่โดโลเรส ลาชาเปเล่ (Dolores LaChapelle) นักนิเวศวิทยาแนวลึกชาวอเมริกันได้กล่าวว่า ชุมชนดั้งเดิมโดยมากในโลกนี้มีความเหมือนกันอยู่ 3 อย่างคือ หนึ่ง การมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นผูกพันกับผืนแผ่นดินที่เขาอยู่ สอง มีวัฒนธรรมที่ดำรงอยู่เป็นของตัวเองอย่างยาวนานเป็นเวลาหลายพันปี สาม มีพิธีกรรมต่างๆที่ประกอบขึ้นร่วมกันโดยถือเป็นส่วนสำคัญของการดำรงอยู่

ในระบบวัฒนธรรมอุตสาหกรรมนิยมและบริโภคนิยม วิถีชีวิตของผู้คนถูกลดทอนเหลือเพียงวิถีชีวิตเพื่อการผลิตและบริโภค และการเลื่อนสถานะทางสังคม เป็นวิถีชีวิตที่ถูกตัดขาดจากธรรมชาติและชุมชน ทำให้เกิดภาวะของความแปลกแยก ทั้งกับผู้อื่นและกับตัวเองใน”สิ่งแวดล้อมใหม่” การขยายตัวของเขตชานเมืองของเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ และเชียงใหม่ เป็นตัวอย่างของ”ความเจริญ”แบบกระจัดกระจาย ไร้ทิศทางและไม่มีมิติของความเป็นชุมชนอีกต่อไป จะเรียกว่าเติบโตอย่าง”ขาดสุขภาวะ”ได้หรือไม่นั้น ยังคงต้องศึกษาวิเคราะห์กันต่อไป

ในวิถีชีวิตใหม่นี้เอง ถึงแม้ว่าสังคมจะร่ำรวยด้วยข้อมูลข่าวสาร ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีทันสมัย ผู้คนสามารถก้าวตามวิทยาการและความเป็นไปของโลกอย่างทันท่วงที แต่ในขณะเดียวกันก็มีช่องว่างและความแปลกแยกกับธรรมชาติมากขึ้น และเมื่อแปลกแยก ก็ไม่เกิดการอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล ความคิดที่ว่าต้องดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีนั้น อาจเป็นความคิดส่วนหนึ่งของความคิดเชิงกลไกที่ยังเอามนุษย์เป็นศูนย์กลางอยู่นั่นเอง การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมก็เป็นแก้ปัญหาในระดับกายภาพ โดยมีวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีเป็นคำตอบ และยังถือเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ หรือหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง และในบางเรื่องรัฐเองก็ไม่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนในระดับรากหญ้ามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางการจัดการระบบนิเวศน์ตามภูมิปัญญาดั้งเดิมอย่างเท่าเทียม

ความซับซ้อนของปัญหาที่มาพร้อมกับความทันสมัยและโยงใยอยู่กับปัญหานิเวศวิทยาและปัญหาสุขภาพได้แก่ ทิศทางของเกษตรกรรมเชิงเดี่ยวและการใช้สารเคมี การปรับเปลี่ยนชีวพันธุกรรม(GMOs) ความหลากหลายทางชีวภาพ(biodiversity) ความหลากหลายทางวัฒนธรรมหรือชาติพันธุ์(culture diversity) ความสมดุลระหว่างสิทธิและคุณค่าชายหญิง ล้วนท้าทายสติปัญญาของสังคมไทยว่าจะสามารถรับรู้เท่าทันและหาทางออกได้อย่างถูกต้องและทันการณ์หรือไม่

กล่าวเฉพาะในสังคมไทย การเคลื่อนตัวของขบวนการนิเวศแนวลึกเริ่มมีมากขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่ของชุมชนที่อยู่ป่าเขา จุดที่มีความเด่นชัดและมีความต่อเนื่อง คือ การเคลื่อนเรื่อง พรบ.ป่าชุมชน ความหลากหลายทางชีวภาพ ขณะที่กลไกรัฐทางกฎหมายไม่ได้เอื้อแต่กลับทำลายความเป็นชุมชนที่อยู่กับผืนป่ามานานหลายชั่วอายุคน การศึกษาทำความเข้าใจความสัมพันธ์คนกับป่าจึงเป็นโจทย์ที่มีการเคลื่อนมาโดยตลอด ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวในทัศนะเชิงโลกทัศน์ให้เข้าใจบริบทเชิงนิเวศแนวลึกให้กับสังคม อีกส่วนหนึ่งมีการเคลื่อนไหวในระดับชีวทัศน์เพื่อการทำความเข้าใจโดยการเข้าไปสัมผัสกับธรรมชาติ ซึ่งมักเป็นคนที่อยู่นอกชุมชน ในรูปของขบวนธรรมยาตรา แม้จะมีไม่มาก แต่ก็ดำเนินการมาในช่วง 6 – 7 ปีมานี้ เป็นขบวนการที่ต้องการให้เห็นความเชื่อมโยงมนุษย์กับธรรมชาติ ด้วยความรัก ความเมตตา การเกื้อกูลต่อกันของสรรพสิ่ง และยังมีอีกส่วนหนึ่งของคนที่แสวงหารากฐานของชีวิต โดยใช้ชีวิตอยู่สัมพันธ์กับธรรมชาติ ซึ่งเป็นคนชนชั้นกลางหรือปัญญาชนขณะนี้อย่างน้อยที่มีการพบปะเป็นเครือข่ายมีประมาณ 40 คนที่เรียกตนเองว่า ชุมชนคนสวน

[1] นพ.ดร. โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ คืนสุนทรียภาพให้สุขภาพ กระบวนทัศน์ใหม่ จิตวิญญาณ สุนทรียภาพ และความเป็นมนุษย์ ปาฐกถา เสม พริ้งพวงแก้ว ครั้งที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๔๔ หน้า ๔๒–๔๓
[2] ฟริตจ็อป คาปร้า จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษ เล่ม ๓ สำนักพิมพ์โกมล คีมทอง พ.ศ. ๒๕๒๙ หน้า ๗๖–๗๙
[3] อ้างแล้ว หน้า ๘๒
[4] อ้างแล้ว หน้า ๘๔–๘๕
[5] นพ.ดร. โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ คืนสุนทรียภาพให้สุขภาพ กระบวนทัศน์ใหม่ จิตวิญญาณ สุนทรียภาพ และความเป็นมนุษย์ ปาฐกถา เสม พริ้งพวงแก้ว ครั้งที่ ๗ พ.ศ. ๒๕๔๔

No comments: