Wednesday, December 17

ไป Quest ครั้งแรก




มีครูท่านหนึ่งซึ่งเป็นแรงบันดาลใจของฉัน ท่านมักจะบอกกับบรรดาเหล่าศิษย์เสมอว่า “คำถามสำคัญกว่าคำตอบ”

การไป Quest ครั้งแรกของฉัน ไม่มีคำถาม เพราะฉันไม่รู้ว่า ตัวเองไปหาอะไรกันแน่ ฉันแค่ต้องการเดินท่องไปในโลกด้านในของตนเอง กลับสู่ธรรมชาติด้านใน รื้อฟื้นสายสัมพันธ์ของตนเองกับโลกใหม่อีกครั้งด้วยสัญชาตญาน ไม่ใช่ด้วยความคิดที่มากมายของตนเอง

พี่ณัฐ ครูอีกคนของฉันพาพวกเรา ได้แก่ ฉัน และ น้องสาวอีกคน ไป Quest หรือไปวิเวก ตอนที่เฮียพาไปถึงหมู่บ้านแสนน่ารักในเวียงป่าเป้านั้นเป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว

ดูครูมีความลังเลที่จะปล่อยพวกเราเข้าป่าไปในตอนนั้น แต่ที่สุด ด้วยความไว้วางใจ พวกเราก็ได้เดินเท้าขึ้นภูเขาเข้าป่าสมใจ ฝีเท้าเราที่ก้าวขึ้นภูแต่ละก้าวสวนกันกับดวงตะวันที่กำลังเคลื่อนลงต่ำ

ฉันเปลี่ยนเส้นทางครั้งแรกเมื่อเห็นทางแยก ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นทางขึ้นหรือทางลงด้วยซ้ำ เดินไปพักหนึ่งแล้ว ฉันก็ตัดสินใจเดินกลับ เพราะคิดว่ามันน่าจะพาฉันกลับไปสู่หมู่บ้าน ไม่ได้กลับสู่ป่า ที่ฉันใฝ่หา ...ระหว่างเดินทางกลับ รู้สึกว่าไกล กว่าตอนไป และแอบรู้สึกเสียดาย เวลา ที่ออกแรงไปเล็กน้อย...อดถามตัวเองในตอนนั้นไม่ได้ว่า เส้นทางชีวิตที่ฉันเดินอยู่ตอนนี้จะเหมือนทางเส้นนี้ไหมนะ ที่สุดแล้ว ฉันอาจพบว่าไม่ใช่ แล้วก็ตัดสินใจเดินกลับ

หลังจากเข้าสู่ทางหลัก ทักทายผู้ผ่านทาง ฉันเดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆด้วยใจทะยาน เปล่า...ไม่ได้ต้องไปให้ไกลกว่าใครไหน ไม่ใช่ต้องการความภาคภูมิใจอะไร แค่อยากไป อยากรู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อยากทานกำลังตนเองว่าจะไปได้สักแค่ไหน ตั้งใจว่า ต่อให้มืดค่ำ ด้วยไฟฉายกระบอกน้อยที่มีอยู่ในมือนั้น ฉันจะลองเดินฝ่าความมืดไป

ฉันเดินไปเรื่อยๆ แสงเริ่มลดน้อยลง ฉันพบที่งามแห่งหนึ่ง เห็นครั้งแรกถูกใจ จินตนาการเกิดภาพในใจว่าที่นั้น คือ บ้าน ลังเลใจเล็กน้อยว่าจะหยุดพักดีไหม แต่ก็ตัดสินใจเดินผ่านไป เพราะฉันต้องการไปต่อ แม้ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหนก็ตาม

เมื่อฉันเดินขึ้นภูไปต่อได้สักระยะหนึ่ง มีแมลงเล็กๆสีดำบินมาห้อมล้อมหน้าตา บดบังรบกวนการมองทาง ฉันทนฝ่าแมลงฝูงนั้นรู้สึกรำคาญจนทนไม่ไหว นึกถึงคำพูดของครูพี่ณัฐว่าให้สดับสัญญานของป่าด้วย ฉันถามไปในป่าว่าจะให้ฉันไปต่อไหม เมื่อฉันลองหันหลังเดินลงไป กองกำลังแมลงนั้นก็ไม่ติดตามลงมา ฉันยืนลังเลอยู่ที่ทางขึ้น มองขึ้นไป แล้วก็ตัดสินใจเดินขึ้นอีกรอบ ต้องทดสอบ ทดลอง อีกครั้ง...จะให้ล่าถอยง่ายๆ เช่นนั้นหรือ?

แล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม ฉันถูกกองกำลังเดิมเข้าโจมตี นึกถึงคำพูดของครูพี่ณัฐแล้วฉันก็ยินยอมที่จะเคารพป่า ไม่ให้ไปก็ไม่ไป ถ้าพี่ณัฐไม่เตือนไว้ ฉันคงเอาผ้าปิดหน้าตาให้มากที่สุดแล้วก็จะดันทุรังฝ่าไป เพราะจริตนิสัยฉันมันเป็นเช่นนั้น

ฉันกลับมายังพื้นที่งามแห่งนั้น เริ่มก่อไฟ และล้มตัวลงบนผืนดิน
...ฉันได้กลับบ้านแล้ว...



ฉันรู้สึกเช่นนั้น อบอุ่น เคยคุ้นเสียเหลือเกิน นอนมองเงาไม้ในแสงสลัวของดวงจันทร์ ฉันรู้สึกเหมือนตนเองถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขนมารดา

แม้เมื่อกองไฟดับลง ฉันวางใจ ไม่ปรารถนาความอบอุ่นใดมาเพิ่มเติม

ไม่มีความคิดฝัน ไม่มีโลกอันจินตนาการสร้างเสก มีแต่ฉัน ในภาวะปัจจุบันกับธรรมชาติรอบตัว หิ่งห้อยตัวหนึ่งเดินทางมาทักทาย ฉันนึกถึงภูติน้อยในเทพนิยายวัยเยาว์ บางทีอาจจะเป็นเขานั้นเอง...ภูติเรืองแสงตนนั้น เรากล่าวทักทายกันในใจ


คืนนั้น ฉันหลับสนิท หลับลึกด้วยความวางใจ เป็นการหลับสนิทคืนแรกหลังถูกสั่นคลอนด้วยคำถาม หลังจากถูกสั่นคลอนหัวใจก่อนเดินทางมาเชียงราย


กลับจากไปวิเวก หรือ Quest มีผู้ถามว่าได้เจออะไรบ้าง ฉันตอบว่าเจอตัวเอง เห็นวิธีการเดินของตนเอง เห็นถึงความทะยานอยากและอหังการ์ของตน ฉันไม่ใส่ใจในรายละเอียดระหว่างทาง แม้เจอจุดที่น่าพัก ฉันก็ยังให้จุดหมายที่มองไม่เห็นลากพาตนเองไป..ต่อไป

เมื่อถามว่าฉันได้อะไรบ้าง ฉันคิดว่า ฉันได้กลับบ้านแล้วนะ ได้ฟื้นคืนความรู้สึกเชื่อมโยงของตนเองกับโลกใบนี้ผ่านธรรมชาติ ได้กลับมาไว้วางใจในโลกใบนี้อีกครั้ง ฉันไม่เหงา ไม่กลัว ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวแม้อยู่คนเดียวในป่า
เพราะว่า แท้จริงแล้ว ฉันไม่เคยอยู่คนเดียว.

เขียนโดย นารีแดง ผู้หญิงผู้ชอบทำตัวเป็นแม่มด เสกทุกอย่างขึ้นจากจินตนาการ
กำลังเรียนรู้โลกด้านในที่ไม่ต้องปรุงแต่ง โลกที่ไม่ต้องการมนต์คาถาใดๆ
พบว่าอัศจรรย์เกิดใหม่ขึ้นทุกวัน เพียงแค่ใช้ใจที่ใคร่ครวญ

Sunday, December 14

สยามแจม


ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงาน “สยามแจม” (Siam Jam)
วันที่ 20-24 พฤษภาคม พ.ศ.2552 ณ บ้านหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย

ยุคนี้ เราเรียนกันเยอะ ทำงานกันมาก ประชุมกันก็บ่อย สัมมนาและเวิร์คชอปอีกมากมาย แต่บางครั้ง เราก็อยากได้พบกันในรูปแบบสบายๆ บ้าง ได้พูด ได้ฟัง และรับรู้เรื่องราวของกันและกันอย่างไม่ต้องหาข้อสรุปใดๆ ไม่ต้องเขียนรายงานหรือทำการบ้านส่งหัวหน้า...ก็น่าจะดี

การมาพบกันอาจทำให้ขวัญของเราอยากร่ำร้อง เริงระบำ เปล่งพลังและสีสันชีวิตออกมา แล้วปล่อยให้ใจเราได้หล่อเลี้ยงพลังชีวิตตัวเองด้วยมิตรภาพในหมู่ผู้คนที่แสวงหาชีวิตที่ดีงาม สร้างสรรค์วิถีทางแห่งความรักและเข้าใจในสังคม การได้มีโอกาสแบ่งปันเรื่องราวชีวิตการเดินทางของตัวเองและอุปสรรคที่อาจเผชิญอยู่ช่วยทำให้เกิดพลังแห่งการอยู่ร่วมและการอยู่อย่างมีความหมายได้อย่างดี งานแจมในลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วในรูปแบบคล้ายๆกัน

ในงาน World Jam ปี ค.ศ.2004 ณ เมืองราศีเกศ ประเทศอินเดีย มีคนรุ่นใหม่ราว 30 กว่าคนจากทั่วทุกมุมโลกได้มาพบเจอกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนรุ่นใหม่ที่รับใช้สังคมและสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้เกิดขึ้น บ้างก็มาจากทิเบต ผู้ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยประเทศของตนจากการครอบครองของจีน บ้างเป็นชาวเมารีจากนิวซีแลนด์ ผู้มีเป้าหมายชีวิตในการที่จะฟื้นฟูจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของเผ่าตน มีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นนักข่าวชาวปาเลสไตน์ เธอมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสงคราม เสียงปืน และการทำลายล้าง จนรู้สึกว่าสันติภาพอาจเป็นเพียงเรื่องโกหก บางคนก็เป็นนักอนุรักษ์จากป่าเขตร้อนแถบเม็กซิโก ที่ทำงานอนุรักษ์พันธุ์เสือจากัวร์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ บางคนมาจากแผ่นดินอัฟริกาที่ผู้คนจำนวนมากกำลังล้มตายด้วยโรคเอดส์ หรือแม้แต่นักแต่งเพลงแรพ ที่ใช้บทเพลงของเขาในการทำให้วัยรุ่นข้างถนนเข้าถึงวิญญาณกวี...นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทเรียนชีวิตที่แตกต่างหลากหลายที่เคยได้ถูกถ่ายทอดแก่คนหนุ่มสาวผ่านเวที World Jam

สำหรับคนรุ่นใหม่ชาวไทยที่มีความคิดความฝันและทำงานทางสังคมและจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะรูปแบบใด เราอยากเชิญชวนให้มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตด้วยกัน ได้มีช่วงเวลาที่เราได้ใคร่ครวญตนเอง พัฒนาชีวิตด้านใน แบ่งปันบทเรียน และเก็บเกี่ยวเรื่องราวดีๆ และแรงบันดาลใจกลับไปหล่อเลี้ยงชีวิตของตนเอง ในงาน “สยามแจม” ที่กำลังจะเกิดขึ้นใน 20-24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ณ อุทยานแห่งชาติดอยหลวง อ.พาน จ.เชียงราย มาร่วมร้องรำทำเพลงบรรเลงชีวิตในยุคที่สังคมต้องการการหันหน้าเข้าหากันอย่างสร้างสรรค์เถิด

วัตถุประสงค์ของสยามแจม
• เพื่อให้เกิดการพบปะสังสรรค์ในหมู่คนรุ่นใหม่ที่สนใจในการพัฒนาตนเองไปพร้อมๆ กับการสร้างสรรค์สังคมให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีงาม
• เพื่อแลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจและเรียนรู้บทเรียนชีวิตและการทำงานจากกันและกัน

เชื้อเชิญ...เชิญชวน...บอกต่อ
คนรุ่นใหม่ที่แสวงหาคุณค่าชีวิตและหนทางแห่งการเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่ความดีงาม
อายุไม่เกิน 40 ปี จำนวน 30 คน

กิจกรรมในงานสยามแจม
• แจมเรื่องเล่าประสบการณ์ชีวิตและการทำงานด้านใน
• กิจกรรมนิเวศภาวนา
• เรียนรู้กระบวนการ Dialogue กับการสร้างพื้นที่ของการเชื่อมสัมพันธ์
• และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

สิ่งที่ควรเตรียมในการเข้าร่วม
เสื้อกันหนาว ผ้าเช็ดตัว ไฟฉาย ยากันยุง/กันแมลง ยาประจำตัว
(สำหรับเต็นท์ ถุงนอน เบาะรองนอน และผ้าพลาสติกรองนั่ง ทางทีมงานสยามแจมได้จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว)


กระบวนกรผู้ดูแลกระบวนการเรียนรู้ในงาน
• ณัฐฬส วังวิญญู (ณัฐ)
จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนาโรปะ ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันทำงานเป็นกระบวนกรของทรานส์ฟอรั่ม มีความเชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยาเชิงลึก และมีประสบการณ์การพัฒนาด้านใน ในมิติของกระบวนทัศน์ใหม่ และเป็นตัวแทนเยาวชนไทยที่เคยได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมงาน World Jam ปัจจุบันเป็นกรรมการงาน World Jam
• ธนัญธร เปรมใจชื่น (แม่มดน้อง)
กระบวนกรของ The Present และเป็นกระบวนอิสระ มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบกระบวนการพัฒนาด้านในผ่านศิลปะ กระบวนการละคร และนำพาการเรียนรู้ในวิถีแห่งพลัง พิธีกรรม และจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์

ค่าลงทะเบียนเข้าร่วม
5,000 บาท ต่อคน
ค่าลงทะเบียนนี้เป็นค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าอุปกรณ์ และค่าเดินทางรับส่งในเชียงราย ไม่รวมค่าเดินทางจากพื้นที่อื่นมาเชียงราย
*หากประสงค์ที่จะสนับสนุนทุนแก่ผู้เข้าร่วม กรุณาติดต่อที่ siamjam.th@gmail.com

ดูข้อมูลเพิ่มเติมและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ siamjam.blogspot.com

Saturday, December 13

กลับสู่บ้าน



Education as a Spiritual Journey Part 1

"กลับสู่บ้าน"
โดย ฟางหอม

กลิ่นอายของป่า ดิน โชยมา ตั้งแต่พี่ชายของฉันพูดว่าเราจะไปวิเวกกัน
ที่ป่าแห่งหนึ่งของหมู่บ้านปกากยอ สัมภาระที่ใส่ในเป้ใบโต ถูกแบกไว้เหนือหลัง
เพื่อมุ่งหน้าสู่ดินแดนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
เส้นทางที่เปี่ยมไปด้วยธรรมชาติ ความจริง ที่ง่ายงามของสรรพสิ่ง ทำให้ฉันเหมือนหลุดลงไปอีกโลกหนึ่ง
ก่อนออกเดินทางพี่ได้ให้ผ้าพันขอ และ ภาวนาให้ฉันเดินทางอย่างปลอดภัย

เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น ฉันสิโรราบให้กับความทะเยอทยาน ความกลัว และตัวตน
จากนั้นก็ย่ำก้าวลงไป บ่ายหน้า เดินทางกลับบ้าน
..
ทางนี้เป็นเส้นทางสายเปลี่ยว เพียงเสียงใบไม้ตกกระทบ ยังสร้างความหวาดกลัว
ฉันเดินต่อไป เรื่อยๆ
หาพื้นที่ ที่เชื่อมโยง และเหมาะสมกับฉัน
ฉันพบมันแล้ว
มองลงไปข้างๆที่ฉันยืนเป็นหน้าผาสูง มีที่ราบบางส่วนที่พอจะนอนได้
ฉันนั่งลง ก่อไฟ และจัดที่นอน
อากาศเย็นเริ่มปะทะตัว

ความมืดเริ่มย่างกรายเข้ามาไกล้ทุกที
ฉันควานหาปากกา ก่อนที่จะให้ความรู้สึกและข้อความบางอย่าง ไหลลงไปในสมุดจด


" ใครบ้างที่จะฉุดรั้งดวงตะวัน
ในขณะที่ฉันพยายามก่อไฟ "


ความมืดทำให้ไฟที่ก่อแลดูลุกโชติช่วง มีเพียงเสียงไฟเผาไหม้ไม้ฟืนดังแปะๆ
ความเงียบงัน เล่าเรื่องราวมากมาย

ฉันรู้จัก "สิ่งนั้น" มากขึ้น โดยไม่ปรุงแต่ง
หูที่เงี่ยฟังอย่างตั้งใจ ทำให้รู้ว่าเป็นเพียงเสียงต้นไม้ปลิดใบไม่ใช่สัตว์ร้าย
ไม้ฟืนเริ่มมอด และ ดับ
ฉันหงายตัวนอน ขนานกับแสงจันทร์ เบื้องหน้ามีกิ่งไม้รำไร พริ้วไหวไปตามลม


ทุกอย่างก็ปลอดภัยดี ฉันคิด
ร่างกายที่เกร็ง เริ่มผ่อนคลาย
พลางขยับปากร้อง เพลงโปรด you'r have got a friend
เหมือนฉันร้องให้เพื่อนของฉัน เหมือนฉันจะบอกทุกๆสิ่งที่สถิตอยู่ ณ ที่นี้
ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน พึ่งพิง และโอบรับกันและกัน
เพลงต่อมา คือ นกสีเหลือง และต่อมาคือ แสงดาวแห่งศรัทธา เพลงที่แม่ร้องไห้ฟังตั้งแต่เด็ก
" ขอเยาะเย้ย ทุกข์ยากขวากหนามลำเข็ญ คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย แม้ผืนฟ้ามืดดับเดือนลับมลาย..
ร้องยังไม่ทันจบท่อน แสงสีขาวเล็กๆกระพริบได้ เข้ามาไกล้ และบินวน


หิ่งห้อย..
หิ่งห้อย ตัวน้อย หนึ่งตัว


ฉันร้องเพลงต่อ น้ำตาแห่งความปิติบางอย่างล้นออกมา




และขอน้อมรับปรากฎการณ์ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น

นิเวศภาวนา


ภาวนาภาคมอมแมม
Eco-quest

จาริกสู่ต้นธารชีวิต
อารยธรรมแห่งความเรียบง่ายและบรรสาน

วันที่ ๔-๘ ก.พ. ๕๒
สถานที่ ป่าต้นน้ำเชียงราย อ.เวียงป่าเป้า

ในทุกๆวัฒนธรรม จะมีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหนึ่งที่เรียกว่าการจาริก เป็นการเดินทางที่มีเป้าหมายทางจิตวิญญาณ เป็นพิธีกรรมในตัวมันเอง ทุกวันนี้คนไทยก็ยังเดินทางเช่นนี้ เช่นการไปกราบไหว้บูชา นมัสการสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต การเดินทางของพวกเราเผ่าพันธุ์จิตตปัญญาก็เช่นกัน มีความเป็นพิธีกรรมในตัวมันเอง โดยเป็นการจาริกสู่ขุนเขาและนิเวศต้นน้ำอันเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตน้อยใหญ่ รวมทั้งชาวปกาเกอญอผู้พิทักษ์ เพื่อได้ภาวนา เรียนรู้ร่วมกัน และสร้างหลักหมายแห่งการแปรเปลี่ยนในชีวิตของพวกเราแต่ละคน นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่เราจะได้สัมผัสชีวิตแบบชนเผ่าที่ยังคงดำรงความดั้งเดิม เรียบง่ายและคุณค่า เผื่อว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้สืบสานความเป็นชนเผ่าของมนุษย์ไว้ในชีวิตเมืองยุคนี้

ในฐานะที่จะเป็นผู้นำทาง ผมอยากบอกเล่าว่าผมมองอย่างไร สำหรับการเดินทางครั้งนี้ อย่างแรกผมดีใจมากที่จะได้พาทุกคนให้ไปรู้จักกับผู้เฒ่าผู้แก่(Elders) และชุมชนที่เป็นดังครูทางจิตวิญญาณของผมอีกแห่งหนึ่ง นอกจากเชียงรายและขวัญเมืองแล้ว ชุมชนชาวปกาเกอญอเป็นขุมพลังชีวิตของความ “ปกติ” ที่อ่อนน้อม อ่อนโยน และกรุณาอย่างไม่ต้องใช้ความพยายาม บางคนที่เคยมาที่นี่แล้วคงจำได้นะครับว่าความรู้สึกที่ได้พบเจอ ความอ่อนโยนและปกติที่ผมว่านั้นเป็นอย่างไร วิถีชีวิตของการไม่ทำร้ายไม่ทำลายและพึ่งพาธรรมชาตินั้นอาจเป็นคำตอบเชิงรูปธรรมอันหนึ่งต่อวิกฤตจิตวิญญาณพลังงานและระบบนิเวศของโลก

อีกอย่างหนึ่ง ผมคิดว่านี่เป็น การเดินทางของเรา ผมหมายความว่า เราแต่ละคนจะเป็นผู้บอกเองว่าการเดินทางครั้งนี้น่าจะมีความหมายอย่างไรกับชีวิตเรา นี่เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การเดินทางครั้งนี้เป็นการจาริก เราคือผู้ให้ความหมาย ให้คุณค่า ให้ความศักดิ์สิทธิ์แก่การเดินทางของเรา

Vision Quest หรือ Wilderness Quest (นิเวศภาวนา) เป็นการแสวงหาทางจิตวิญญาณที่ถือเป็นพิธีกรรมแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิต (Rite of Passage) อย่างหนึ่งที่กระทำกันในหลายๆวัฒนธรรม โดยเฉพาะทางชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกา หรือที่เรามักเรียกกันติดปากว่า อินเดียนแดง ซึ่งจะมีการทำพิธีส่งตัวเยาวชนที่กำลังเติบโตย่างเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ให้ออกไปอยู่กับธรรมชาติเพื่อค้นพบศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง เป็นการค้นหาปัญญา และพรที่แต่ละคนได้รับจากสวรรค์ แผ่นดิน พระเจ้า หรือธรรมชาติจากการที่ได้เกิดมา เขาถือว่าทุกคนเกิดมาอย่างมีเป้าประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์ เกิดมาเพื่อรับใช้ชีวิต ชุมชน สังคมและโลกตามวิถีทางต่างๆ ตามพรหรือของขวัญที่ได้รับ บุตรธิดาทั้งหลายเมื่อถึงเวลาก็ต้องกลับไปดำรงอยู่ร่วมกับพระแม่ธรณีและผืนฟ้าพสุธากว้าง ผ่านความยากลำบากทางกาย บางคนอดอาหารและน้ำหลายวันเพื่อให้จิตวิญญาณเติบโตและแก่กล้า รับพลังจากธรรมชาติ แล้วกลับคืนสู่ชุมชน ผมแปลคำว่า vision คือ การมองเห็น นิมิต การหยั่งรู้ หรือปัญญาญาณที่เห็นชีวิตตัวเองและโลกสัมพันธ์สอดประสานกันอย่างเป็นเอกภาพ ทุกชีวิตมีความหมายและมีส่วนในการจรรโลงชีวิต และหล่อเลี้ยงจักรวาลทั้งหมด เมื่อได้กลับเข้ามาแล้ว ชุมชนก็จะทำการต้อนรับและยืนยันความแปรเปลี่ยนอย่างสมเกียรติ ดังนั้น การเดินทางของเราแต่ละคน แม้ดูว่าเป็นส่วนเสี้ยวที่เล็กน้อย แต่ก็ต้องถือว่า ปฏิบัติการนี้เป็นไปเพื่อมนุษยชาติและธรรมชาติทั้งมวล ความยากลำบากทางกายหรือใจภายในตัวเราทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นล้วนหมายถึงโอกาสแห่งวิวัฒนาการทางจิตของมนุษยชาติด้วย

หากเปรียบเทียบกับบ้านเราก็คือการออกบวชของผู้ชาย ยังมีความเชื่อที่ว่าคนที่ยังไม่ได้บวชเป็นคนดิบอยู่ เพราะยังไม่ได้ไปผ่านพิธีกรรมแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิตที่ดำรงอยู่ในวัฒนธรรมไทย หรือพิธีกรรมอื่นๆที่เป็นการสื่อสารและยืนยันการแปรเปลี่ยนสถานะ เช่น งานเลี้ยงวันเกิด การรับปริญญา การแต่งงาน พิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย เป็นต้น

เหล่านี้เป็นกระบวนการที่สังคมให้การยอมรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต ผมคิดว่าเยาวชนยุคนี้โหยหาการยอมรับ ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง ได้รับเกียรติจากสังคม น่าเสียดายที่ระบบโรงเรียนสมัยใหม่เป็นทางผ่านที่ทุกคนต้องมาผ่านกระบวนทดสอบเฉพาะทางความคิดว่าใครจะผ่านชีวิตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ได้ดีอย่างไร หาได้มีมิติของการแปรเปลี่ยนทางจิต พวกเรียนไม่เก่งก็อาจรู้สึกว่าไม่มีที่ทางที่ตัวเองจะยืนหยัดได้อย่างสง่าผ่าเผยหรือด้วยความภาคภูมิใจเลย

บิลล์ มอยเยอร์ นักคิดและนักโทรทัศน์ร่วมสมัย กล่าวว่าสังคมยุคใหม่นี้ปราศจากพิธีกรรมที่จะช่วยทำให้เยาวชนหรือคนรุ่นใหม่รู้สึกว่าตัวเป็นส่วนหนึ่งที่มีค่าต่อเผ่าพันธุ์และชุมชน เยาวชนทุกคนต้องการการเกิดอีกครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อจะตระหนักรู้และยอมรับหน้าที่แห่งความเป็นมนุษย์ของตนเอง และละทิ้งชีวิตอันเยาว์วัยไว้เบื้องหลัง

พิธีกรรมแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิตสามารถทำได้ตามวาระต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต เพื่อให้เกิดการเยียวยา เติบโต และชีวิตใหม่ทางจิตวิญญาณ เช่น การยอมรับความชราภาพ ความเป็นอนิจจังของสังขาร ความเจ็บป่วยของร่างกายตัวเองหรือคนรัก ในขณะเดียวกันก็น้อมรับบทบาทแห่งการเป็นผู้เฒ่าหรือผู้นำทางจิตวิญญาณหรือปัญญาของเผ่าพันธุ์ หรือวาระแห่งการหย่าร้างเลิกรากับความสัมพันธ์ในอดีต หรือสำหรับผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน สามารถใช้เป็นพิธีแห่งการละทิ้งความสามารถในการมีบุตร เพื่อเข้าสู่ช่วงชีวิตแห่งการแสวงหาด้านในและการให้กำเนิดทางปัญญา หรือวาระอื่นๆที่ช่วยสร้างหมายเหตุที่สำคัญๆไว้ โดยย้ำเตือนถึงการแปรเปลี่ยนแต่ละครั้งที่มีความหมายต่อตนเอง

ดังนั้น นิเวศภาวนา เป็นกรรมพิธีที่สร้างโอกาสในการที่เราจะสร้างหลักหมาย หรือหมายเหตุให้กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต
หลายคนใช้เป็นโอกาสในการใคร่ครวญและยอมรับความทุกข์ยาก ความไม่สมบูรณ์ หรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต หรือยอมรับการจากไปของคนรัก เช่น ความตาย เป็นต้น การยอมรับตัวเองและชีวิตอย่างที่เป็นมาสามารถสร้างพลังให้กับชีวิตได้อย่างมหาศาลทีเดียว

นอกจากนี้ยังเป็นการฟื้นคืนพลังชีวิต ที่ผุดออกมาจากความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างเรากับจิตอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ผืนแผ่นดิน และจักรวาล หากเราต้องการแสวงหาความเข้าใจอันลึกซึ้งลงไปในการดำรงชีวิตอยู่ ญาณทัศนะ ทิศทางชีวิตจากธรรมชาติ นี่ก็จะเป็นโอกาสที่เหมาะสมทีเดียว และความงอกงามที่เกิดขึ้นจากการภาวนายังสามารถอุทิศให้กับชีวิตอื่นๆ อีกด้วย

ธีโอดอร์ โรสแสก (Theodore Roszak)นักเนิศปรัชญาได้กล่าวไว้ ในหนังสือ The Voice of the Earth, 1992. ว่า

“ณ กาลครั้งหนึ่ง จิตวิทยาทุกแขนงมีความเป็นจิตวิทยาเชิงนิเวศ หลายคนที่แสวงหาแนวทางของการเยียวยาทางจิตอาจละเลยความจริงที่ว่า มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งธรรมชาติที่ประกอบไปด้วยสัตว์ พืช แร่ธาตุและพลังทั้งหลายที่เรามองไม่เห็นในจักรวาล ในขณะที่ศาสตร์ทางการแพทย์ในอดีตมีความเป็น “องค์รวม” ที่ใส่ใจกับการเยียวยาร่างกาย ความคิดและจิตใจไปพร้อมๆกัน และไม่จำต้องระบุไว้ด้วยซ้ำว่าเป็นองค์รวม จิตบำบัดก็ได้รับความเข้าใจว่าเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงกับจักรวาลทั้งหมดเช่นกัน จะมีก็แต่จิตเวชศาสต์แบบตะวันตกยุคใหม่นี้ที่ได้แยก ชีวิต “ด้านใน” จากชีวิตหรือโลก “ด้านนอก” ราวกับว่าอะไรก็ตามที่ดำรงอยู่ภายในตัวเราไม่ได้ดำรงอยู่ในจักรวาลที่ถือว่าเป็นอะไรที่จริงแท้ มีความเป็นเหตุและผลสืบกัน และไม่สามารถออกจากการศึกษาโลกธรรมชาติของเราได้”

สนใจเดินทางร่วมกัน ติดต่อ

ณัฐฬส วังวิญญู
สถาบันขวัญแผ่นดิน, เชียงราย
ค่าลงทะเบียน ๔,๙๐๐ บาทต่อคน

Email: Nutt2000@loxinfo.co.th
Tel. 089-755-7812

สำหรับคนที่ตกลงใจที่จะเดินทางร่วมกัน ผมอยากให้เรามีเวลาใคร่ครวญดูว่า วาระปัจจุบันของชีวิตพวกเราแต่ละคนคืออะไร อะไรที่เราอยากสร้างหมายเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงไว้ ในการรับรู้และความความกรุณาของชุมชนปกาเกอญอธรรมชาติ สายน้ำและขุนเขาอันศักดิ์สิทธิ์ ในการเดินทางครั้งนี้ เราจะละทิ้งความสะดวกสบายของชีวิตเมืองมาด้วยความตั้งใจอะไร? เป็นการเตรียมใจที่มีความหมาย

เตรียมกาย

การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ต้องการให้มาทดสอบทางกาย อย่างไรก็ตาม การเตรียมความแข็งแรงของร่างกายเพื่อให้ได้เดินในธรรมชาติ ขึ้นเขาลงห้วย ไว้สักเล็กน้อยก็จะดีครับ ที่แน่ๆขอให้เตรียมกายมามอมแมม คลุกเคล้าลมเหนือ ฝุ่นดินหอม กลิ่นเหงื่อกายา หริ่งหรีดรติกาล แสงดาวกล่อมนิทรา

เตรียมเรื่องราว

ชาวสบลานชอบนิทานมากกว่าของฝาก เพราะจดจำบอกเล่าสืบต่อได้ไม่จบสิ้น ดังนั้นขอให้พวกเราเตรียมนิทานมาฝากเด็กและพ่อเฒ่าแม่แก่ด้วย


เตรียมสิ่งของ

อะไรบ้างที่จะเดินทางร่วมกับเรา อยู่บนหลังเรา ล้วนมีความหมายและสะท้อนความเป็นเราทั้งสิ้น สิ่งของถือเป็นภาพสะท้อนตัวเราได้อย่างดี เฝ้าดูตัวเองเวลาตระเตรียมสิ่งของไว้ด้วยนะครับ (สังเกตแนวโน้มแบบต่างๆ เช่น เผื่อเหลือเผื่อขาด เยอะๆไว้ก่อน หรือ เอาไปน้อยชิ้นไว้ก่อน) ต่อไปนี้คือข้อเสนอแนะสำหรับการเตรียมสิ่งของ

o เสื้อผ้า อากาศโดยทั่วไป กลางวันร้อน กลางคืนเย็น เตรียมรับมือกับลมหนาวแบบฉับพลัน ถุงเท้า ถุงมือ หมวกอุ่นที่สวมปิดหูได้ ผ้าพันคอช่วยได้เยอะเลย ไม่ต้องเตรียมชุดมาใส่ครบวันครบสีนะครับ มันจะหนักมาก พอถึงเวลาจริงๆ หลายคนใช้เพียงไม่กี่ชุดเอง อะไรที่ใส่สบาย และซ้อนได้หลายชั้นหลายชิ้นเวลาอากาศหนาวก็ดี วันสุดท้ายมีการรับขวัญและเฉลิมฉลอง บางคนอาจอยากเตรียมชุดสวยหรือชุดหล่อสะอาดสะอ้านไว้
o ผ้าเช็ดตัว และชุดอาบน้ำ อาบน้ำได้ทั้งห้องน้ำและลำธาร แต่อาบลำธารได้บรรยากาศกว่าเยอะเลย ดังนั้นชายหญิงทั้งหลายเตรียมชุดเล่นน้ำหรืออาบน้ำไว้ด้วยจ้ะ
o เป้ เราต้องเดินทางเอง แบกเป้เอง ควรหาเป้ขนาดที่เหมาะกับเรา เป้ที่ดีควรมีเข็มขัดรัดเอวเพื่อให้น้ำหนักของสัมภาระไปตกที่สะโพกมากกว่าไหล่และหลังของเรา ดังนั้นควรมีขนาดเหมาะกับเรา ใครอยากได้เป้ดีราคาไม่แพง ขอแนะนำเป้มือสองแถวถนนข้าวสารหรือหลังวัดชนะสงครามเด้อ
o กระติกน้ำ อย่างน้อยน่าจะจุได้สัก ๑ ลิตร เวลาเดินป่าหรือออกวิเวกจะได้มีน้ำดื่มเพียงพอ
o ธูป เทียนไข ไฟฉาย ไฟแช้ค
o แก้วน้ำทนความร้อน (เผื่อชงชากินกัน) ช้อนส้อม ชามใส่ข้าวและน้ำซุปได้ด้วย มีดพกเผื่อใช้ปอกผลไม้
o เข็มเย็บผ้า และด้าย เมื่อปะชุนเสื้อผ้าขาด หรือใช้บ่งเสี้ยนหนามออก อย่าดูถูกเสี้ยนปักแม้น้อยนิดเป็นอันขาด แม้ดูเล็กแต่ทรมานนัก จะบอกให้
o ผ้ายางรองนั่งหรือปูนอน
o เต้นท์ เบาะรองนอน(ไม่ต้องหนามาก) ผ้าปูกันชื้น แผ่นผ้ากันน้ำค้าง(Fly sheet) หมอนเป่าลมได้ (หมอนข้างไม่ต้องมั้ง)
o ถุงนอน คุณภาพปานกลางเตรียมรับมือลมหนาว ไม่ควรบางเกินไป หากเป็นอย่างดีน้ำหนักเบาแต่อบอุ่นพอ
o อุปกรณ์ดนตรีที่ชอบเล่น หรืออยากลองเล่น เราจะมีช่วงที่ใช้เสียงเพลงขับกล่อมชีวิตแห่งชนเผ่า
o สบู่ แชมพู แปรงฟัน ยาสีฟัน
o ยาประจำตัว และแก้แพ้ต่างๆ รวมทั้งยากันยุ่งหรือแมลง ยาหม่อง ครีมกันแดด
o ถุงพลาสติกใส่ขยะส่วนตัว ขยะที่ไม่ย่อยสลายที่เราพกติดตัวมาจากเมือง ก็ขอเอากลับเมืองด้วย ไม่ฝากไว้ให้เป็นภาระของป่าต้นน้ำ
o สมุดบันทึก ดินสอ ปากกา สี หรืออุปกรณ์ศิลปะที่อยากให้ติดตัวมาเป็นเพื่อน
o ภาพคนที่เรารักหรือผูกพัน สิ่งของแทนตัว ที่สำคัญหรือมีความหมายสำหรับเรา หรือเป็นเครื่องระลึกถึงคนที่เรารัก บรรพชนของเรา หรือลูกหลานพ่อแม่ของเรา
o หนังสือ กวี คู่มือสวดมนต์ ไม่สนับสนุนการอ่านหนังสือมาก เพราะอยากให้มีเวลาอยู่กับหนังสือธรรมชาติมากกว่า แต่หากเป็นส่วนหนึ่งของการทำพิธีกรรม อาจช่วยเติมความหมายให้นิเวศภาวนามากขึ้น อาจเป็นกวีหรือโศลก หรืออะไรที่จะช่วยให้เราได้อยู่กับปัจจุบันและความงามมากขึ้น มากกว่าการหนีหลบไปอยู่กับการอ่าน
o รองเท้า ลุยน้ำได้ เดินป่าก็ได้ ไม่ใหม่เอี่ยมจนกัดเท้า บางคนใส่ผ้าใบที่ช่วยห้มส้น แล้วพกฟองน้ำเบามาด้วยอีกคู่ก็ได้ เวลาอยู่หมู่บ้านถอดขึ้นลงบ้านบ่อย
o นาฬิกา อาจต้องมีการนัดหมายกันเป็นช่วงๆนะครับ

Sunday, December 7

ความเงียบงัน

ในรักใหม่คือความตาย
หนทางของเธอเริ่มต้นจากอีกด้านหนึ่งต่างหากล่ะ
จงกลายเป็นท้องฟ้าสิ
สับขวานทะลายกำแพงคุกเสีย
แล้วแหกหนีไป
เดินออกมาเหมือนกับคนที่เพิ่งเกิดมาเป็นสีสัน
ทำตอนนี้แหล่ะ
เธอถูกปกคลุมไปด้วยเมฆทะมึน
ไถลไปด้านข้างแล้วตายซะ
เงียบเสียด้วย
ความเงียบเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุด
ว่าเธอได้ตายแล้ว
ชีวิตเดิมๆของเธอมันเหมือนกับการวิ่งหนีความเงียบอย่างบ้าคลั่ง

พระจันทร์ดวงเต็มปรากฎกายอย่างไร้ถ้อยคำ

Rumi


Quietness

Inside this new love, die.
Your way begins on the other side.
Become the sky.
Take an axe to the prison wall.
Escape.
Walk out like someone suddenly born into color.
Do it now.
You’re covered with thick cloud.
Slide out the side. Die,
And be quiet. Quietness is the surest sign
That you’ve died.
Your old life was a frantic running
From silence.
The speechless full moon
Comes out now.

Tuesday, December 2

เร่งรีบ...รับรู้





(อา) เก่ง.. ปิยพงศ์ ดาวรุ่ง เขียน

ในปัจจุบัน โดยเฉพาะสังคมเมือง วิถีชีวิตของเราต่างอยู่ในกระแสแห่งความเร่งรีบ ตื่นแต่เช้า รีบทำธุระส่วนตัว รีบรับประทานอาหาร รีบไปทำงาน รีบเร่งรัดงานให้เสร็จตามกำหนด รีบ..... รีบ...... รีบกลับบ้าน รีบเข้านอน จะมีสักช่วงหนึ่งไหม ที่เราจะมีเวลาสบายๆ ที่ไม่ต้องทำอะไร อยู่กับตัวเอง รับรู้ ความเป็นไปที่อยู่รอบกาย ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่เปลี่ยนแปลง สีหน้าท่าทางผู้คนที่อยู่รายรอบ และอื่นๆ ฯลฯ รับรู้ความรู้สึกของตัวเอง เศร้าใจ ดีใจ โกรธ เกลียด หงุดหงิด หรือกระทั่งรับรู้ความเป็นไปของร่างกาย อาการตึง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตามส่วนต่างๆ ความรู้สึกเหล่านี้ เคยมีโอกาสรับรู้ไหม ถ้าไม่ถึงขั้นเจ็บป่วยซะก่อน น้อยคนนักที่จะรับรู้


ผมเองก็เคยมีวิถีชีวิตแบบนั้น ปัจจุบันก็เป็นอยู่บ้าง ในภาวะที่ใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ ทำให้ไม่ได้ยินเสียงคนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งเสียงจากหัวใจและร่างกายของตนเอง และผลของความเจ็บป่วยนั้นยังคงอยู่จนมาถึงทุกวันนี้ ยามใดที่เผลอไผล ไม่ใส่ใจ ก็จะส่งสัญญาณเตือนทุกครั้งไป เราจำเป็นต้องเจ็บป่วยก่อนหรือ ถึงกลับมาให้ความสนใจ กับสิ่งเหล่านี้

“ความเจ็บป่วย” เมื่อได้ยินคำนี้เรามักจะนึกถึง ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นเฉพาะทางกายภาพ ในที่นี้อยากให้รวมไปถึง ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นทางใจไปด้วย เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อความเจ็บป่วยเกิดขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่งของ กาย ใจ และจิต ย่อมส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน เช่น เมื่อทำงานหนักจนร่างกายรับไม่ไหวต้องเข้าโรงพยาบาล ความกลัว ความวิตกกังวล ในเรื่องงานที่ยังคั้งค้างจะไม่เสร็จก็เข้ามาเยือนในหัวใจ ความหงุดหงิด ความอึดอัดที่ร่างกายไม่สามารถทำได้อย่างที่คิด เมื่อทนไม่ไหว ก็พาลระเบิดอารมณ์ไปกับคนรอบข้าง ส่งความไม่สบายใจไปให้เขาโดยไม่รู้ตัว มองย้อนกลับไป เมื่อกายเหนื่อยล้าย่อมส่งสัญญาณบอกเรา เพียงแต่เรานำพาตนเองออกจากกระแสแห่งความเร่งรีบชั่วขณะ โดยการอยู่นิ่งๆสักพัก เราก็จะรับรู้ สัญญาณที่กายส่งมา หรือแม้กระทั่งรับรู้ถึง อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ณ ขณะนั้น

การเปลี่ยนจากสภาวะเร่งรีบ มาสู่สภาวะแห่งการรับรู้สามารถทำได้ โดยทำกิจวัตรให้ช้าลง อืม.. ผมเริ่มได้ยินเสียงแย้งในใจ เช่น คนกำลังรีบมีงานด่วนจะให้ช้าได้ยังไง และอีกต่างๆอีกมากมาย ขอให้อดทนอ่านต่อไปอีกนิดนะครับ คำว่า “ช้าลง” ไม่ได้หมายถึงต้องทำอะไรช้าตลอดเวลานะครับ เราอาจใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีในช่วงเช้าก่อนเริ่มกิจวัตรประจำวันใดๆ โดยการนั่งในท่วงท่าที่ผ่อนคลาย พยายามจัดสถานที่ให้ อากาศถ่ายเท ดูแล้วสบายตา หรืออาจเปิดเพลงบรรเลง ช่วยสร้างบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย จะมีเครื่องดื่มร้อนๆไว้ด้วยก็ยิ่งดีใหญ่ ระหว่างสิบห้านาทีนี้ปล่อยให้ใจเรามารับรู้กับบรรยากาศรอบข้างที่เราได้ตระเตรียมไว้แล้ว เสียงเพลงเพราะๆ อากาศสดชื่น บรรยากาศที่มองแล้วสบายตา สัมผัสอันอบอุ่นผ่านถ้วยเครื่องดื่ม รสชาติที่แสนรัญจวนใจ พูดสั้นๆง่ายๆ ก็ สัมผัสทั้ง ๕ นั่นหล่ะครับ วางความคิดเรื่องงานไว้ก่อน ทำเพียงเท่านี้หล่ะครับ เราก็พร้อมที่จะรับมือกับความเร่งรีบที่รออยู่ตรงหน้าแล้ว

สภาวะแห่งการรับรู้ก็เปรียบเหมือนแบตเตอรี่ใช้ไปย่อมมีวันหมด การชาร์จแบตเตอรี่ก็คือการทำซ้ำๆอย่างสม่ำเสมอ บางคราทำครั้งเดียวในช่วงเช้าไม่พอ ด้วยภาวะงานที่รุมเร้า แบตเตอรี่ที่มีอยู่ถูกใช้หมดไปอย่างน่าใจหาย การชาร์จระหว่างวันก็มีส่วนสำคัญที่จะรักษาสภาวะแห่งการรับรู้ได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเหมือนช่วงเช้า เพียงใช้เวลาสั้นๆ ในช่วงเปลี่ยนอิริยาบท หรือเว้นว่างจากงาน ปล่อยวางความคิดเรื่องงานกลับมารับรู้สัมผัสทั้ง๕อีกครั้ง เท่านี้ก็เพียงพอจะรักษาสภาวะการรับรู้ได้ตลอดวันกระมัง ถ้ายังไม่พอ คงต้องชวนคนรอบข้างอีกสักสองสามคนมาทำร่วมกัน มีอยู่ครั้งนึงที่ผมมัวแต่ครุ่นคิดอยู่กับงานที่ทำ กัลญาณมิตรคนนึงก็เข้ามาทักว่า “วันนี้คุณหายใจหรือยัง?” เมื่อถูกทักอย่างนี้ก็นิ่งไปชั่วขณะ แล้วก็หัวเราะครู่ใหญ่ ขำให้กับความจมจ่อมของตนเองทำงานจนไม่รับรู้ว่าตนกำลังหายใจอยู่ นี่แหล่ะครับมีเพื่อนก็ต้องช่วยกันอย่างนี้

วิถีชีวิตที่คุ้นเคยมานาน การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งถ้ามากเกินไปอาจทำไม่ได้นาน ปรับเปลี่ยนทีละเล็กน้อย แล้วทำอยู่เป็นประจำจนคุ้นชินให้เป็นหนึ่งกับวิถีที่เป็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนจึงก่อเกิด การกลับมารับรู้เป็นพื้นฐานแรกๆของชีวิต ที่จะทำให้เราค้นพบศักยภาพอันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในตัวตนของเรา เป็นศักยภาพที่ไร้ขอบเขตและอัศจรรย์ใจยามได้พบ


ขอเชิญชวนพวกเราร่วมเปิดผัสสะแห่งการรับรู้ และเรียนรู้ศักยภาพในตัวตนไปด้วยกัน เดินคนเดียวมันเหงาครับร่วมกันเดินก็จะได้แบ่งปันประสบการณ์ที่แต่ละคนเผชิญมา เมื่อเราเตรียมฐานไว้ดีแล้ว คราวหน้าก็จะเริ่มสำรวจดินแดนแห่งศักยภาพอันไร้ขอบเขตของเรากันหล่ะ

ปล.
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อบอกกล่าวกับตนเอง ซึ่งไร้วินัยถึงขีดสุดเช่นกัน มนุษย์ก็อย่างนี้หล่ะครับสอนเค้าไปทั่ว แต่ตนเองทำไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องสร้างเครือข่ายไว้เป็นเหมือนกระจกสะท้อนตนไงครับ

แนะนำผู้เขียน
เก่งเป็นหนึ่งในกระบวนกรของสถาบันขวัญเมือง เชียงราย ชีวิตแปรผันจากร้านทองสู่เส้นทางแห่งการค้นหา สร้างสรรค์พื้นที่แห่งมิตรภาพและการเรียนรู้ตลอดชีวิต

Posted by Picasa

Monday, December 1

ชีวิตผลิบาน

 



ชีวิตผลิบาน

วันก่อนเพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าได้ไปเข้ากระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับ “การเตรียมตัวตายอย่างมีสติ” ที่จัดขึ้นโดยเสมสิกาลัย โดยมี พระไพศาล วิศาโล เป็นพระอาจารย์ ที่นำพาให้เกิดการตระหนักรู้ถึงความเปราะบางของชีวิต และธรรมชาติแห่งการเปลี่ยนแปลงของชีวิตนั้นว่ามีพลังอย่างยิ่ง ในยุคที่วิทยาศาสตร์และวงการแพทย์เริ่มยอมรับวาระแห่งความตายว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมากขึ้น โดยที่ไม่มีใครสามารถหยุดรั้งชีวิตที่จะพลัดร่วงจากไปในวาระที่เหมาะสมได้ การเผชิญหน้ากับความตายอย่างมีสติ กำลังเป็นประเด็นสำคัญต่อการเรียนรู้ของสังคม ในการปรับท่าทีในการดำรงอยู่กับความทุกข์ และส่งเสริมให้เกิดความสง่างาม ความหมายและสันติภาพในการจากไปของผู้คนดูจะเป็นวิถีทางที่เราจะตื่นรู้ได้อีกทางหนึ่งในการยอมรับ “ธรรมชาติของชีวิต”

ถ้าเปรียบการตายคือการผลัดใบ การเกิดก็อาจเปรียบได้ดังการผลิบานของชีวิต ในช่วงที่ผ่านมา ผมเองก็ได้มีประสบการณ์ในกับกระบวนการเกิดของลูกสาวคนแรก ซึ่งตอนแรกผมเองก็ไม่ได้คิดว่า การได้เป็นประจักษ์พยานการเกิดจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับการรับรู้ชีวิตของผมได้มากถึงเพียงนี้ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคนอื่นๆที่ได้รับรู้ประสบการณ์ของการเกิดจะได้รู้สึกหรือนึกคิดคล้ายกันหรือไม่ เพราะแต่ละคนย่อมมีการตีความประสบการณ์ที่ตนได้รับต่างกันไปเป็นธรรมดา

“ไม่น่าเชื่อ” “อึ้ง” “มันออกมาได้ไงเนี่ย” “...” นี่คือเสียงที่อยู่ในหัว แต่หากถามความรู้สึกตอนที่ลูกสาวคลอดออกมานั้นเต็มไปด้วยสีสันที่หลากหลายยากที่จะพรรณนาเป็นคำพูดได้ มีทั้งตื้นตัน ประหลาดใจ ดีใจ ปลื้มปีติ แปลกใจ ที่เห็นเขาออกมาจากการเบ่งลมของผู้เป็นแม่ ที่ทุ่มพลังที่มีทั้งชีวิตในการให้กำเนิดชีวิตน้อยๆตัวแดงๆผมดำๆ เพียงแค่เห็นเขาออกมาได้และมาซบที่อกแม่แบบหอบแฮกๆ เหมือนกำลังหาที่ซุกซ่อนในที่ปลอดภัย แม่ก็ปลอบใจให้ลูกน้อยรู้สึกว่า “แม่อยู่ที่นี่นะลูก” ลูกร้องไห้แค่แอะเดียวเท่านั้น แล้วก็สงบซบอกแม่ที่เหงื่อสะพรั่ง แต่ดูมีความสุขเหลือหลาย ลมหายใจยังคงเป็นหนึ่งเดียวกัน หัวใจที่กล้าหาญที่เผชิญวิกฤตการณ์ชีวิตที่เปราะบางและหมิ่นเหม่อย่างร่วมไม้ร่วมมือของทั้งสองชีวิตทำให้ผมอดกลั้นน้ำตาไม่ได้ เลยปล่อยโฮใหญ่ออกมายังกับเด็ก ที่ไม่เคยเห็นอะไรที่มีพลังและความงามที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ตอนนั้นรู้สึกว่าหัวใจสั่นสะท้านในอาการอึ้ง ต่อมน้ำตาที่แตกออกอาจเป็นวิธีเดียวที่จะใช้ระบายประสบการณ์อันท่วมท้นนี้ออกมาจากหัวอกของพ่อผู้เฝ้ามองที่คอยลุ้นและติดตามอย่างไม่ให้คลาดสายตาแม้เพียงลมหายใจเดียวก็เป็นได้

คุณหมอที่ช่วยทำคลอดคือ นพ.พิษณุ ขันติพงษ์ รพ. เชียงรายประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย คุณหมอทั้งให้กำลังใจและมีอารมณ์ขันแบบไร้ขีดจำกัด และมักพูดติดตลกว่า “เขาจะมาตามหาความหมายชีวิต” รวมทั้งบรรดาพยาบาลห้องคลอดก็ช่วยเหลือให้กำลังใจ โอบประคองถึงความรู้สึกของผู้หญิงให้คลอดได้อย่างอบอุ่น จนผมรู้สึกว่านางฟ้าเหล่านี้ได้ช่วยเหลือให้ครอบครัวของพวกเราได้ผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านชีวิตที่สำคัญยิ่ง หมอก็เหมือนเทวดาที่ให้การดูแลกระบวนการของธรรมชาติและช่วยเหลือด้วยความรู้ทางการแพทย์ตามความเหมาะสมโดยยังคงให้ “ธรรมชาติ”ของแม่และเด็กกระทำภารกิจของชีวิตตัวเองเป็นสำคัญ

ผมถือว่า การเกิดนี้เป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่ยากจะหาได้ และได้ช่วยปรับเปลี่ยนมุมมองที่ผมมีต่อชีวิต ต่อการเกิด ต่อผู้หญิงและความเป็นแม่ไปอย่างมาก เมื่อก่อนมันก็เป็นความเข้าใจเชิงทฤษฎี ซึ่งตอนนี้ผมจะไม่เรียกว่าความเข้าใจอีกต่อไป เรียกได้เพียงว่า ความเข้าหัว ไม่ใช่เข้าใจ เพราะตราบใดที่ยังไม่ได้ประสบด้วยตัวเอง มันอยากยิ่งนักที่จะสัมผัสถึงพลังของชีวิตและการเกิด ถึงแม้ว่าผมจะเคยศึกษาบทบาทของสามีในการให้ความช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้กับภรรยา จะนวดตรงไหน บีบตรงไหน แต่พอเอาเข้าจริงๆก็จับผิดจับถูก บางทีนวดก็แรงเกินไป รู้สึกเสื่อมสมรรถภาพทางการนวดไปเลยก็มีเป็นบางขณะ ในตะวันตกหลายประเทศเขากำหนดเป็นเงื่อนไขให้การคลอดนั้นต้องมีสามีผู้ร่วมก่อเหตุไว้อยู่ดูแลกระบวนการคลอดด้วย เรียกว่ารับผิดชอบร่วมกัน สามีบางคนไม่ค่อยได้เห็นเลือด (เหมือนที่ผู้หญิงมีประจำเดือนทั้งหลายได้เห็นเป็นเรื่องปกติ) พอเห็นเลือดและกลิ่นคาวๆเข้าไปถึงกับหน้ามืด เวียนหัว และหมอพยาบาลต้องหันมาให้การพยาบาลกับผู้ชายก็มี

ผู้ชายส่วนใหญ่อาจมีประสบการณ์ตรงกับการเกิดน้อยมาก จึงไม่มีโอกาสได้เห็นความเจ็บปวดของการเกิด เพราะการเกิดของเราเองก็นานมาแล้ว จำไม่ได้แล้ว ไม่รู้หรอกว่าเจ็บปวดอย่างไร ต้องต่อสู้มากเพียงใด ผมคิดว่าการรับรู้ในเรื่องนี้จะช่วยทำให้จิตใจน้อมลงไม่น้อย เป็นโอกาสการเรียนรู้ที่น่าฉวยไว้ให้ชีวิต เพื่อให้เกิดการมองเห็นตรงๆและเกิดการประจักษ์แจ้งด้วยตนเองว่านี่แหล่ะชีวิต มันมากเกินกว่าจะคิดเอาเองด้วยคำอธิบายใดๆ การรับรู้ผ่านประสบการณ์ตรงช่วยให้เกิดความรู้ที่ไม่ต้องผ่านการคิดคาดคะเน เป็นทางลัดสู่การยอมรับความยิ่งใหญ่ของชีวิต เพื่อลดความอหังการห์ของเรา และความรู้ทั้งหลายที่เรามีนั้นเสียได้

ผมรู้สึกถึงคุณค่าของเด็กทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ การเกิดของโมโม่ (ลูกสาว) สะท้อนถึงการเกิดของเด็กคนอื่นๆที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ที่เกิดมาด้วยความยากลำบาก และความเจ็บปวด เรื่องนี้ต้องขอยกนิ้วให้กับบรรดาแม่ๆทั้งหลายที่ผ่านวิกฤติเหล่านี้มาได้ อีกทั้งบรรดาผู้หญิงที่เกื้อหนุนกันและกันในช่วงคลอด แม้แต่พยาบาลที่ยังไม่มีลูกของตัวเองก็ดูเหมือนจะสามารถเข้าถึงและเข้าใจความเจ็บปวดของหญิงออกลูกได้ดีทีเดียว ผมสัมผัสได้ถึงหัวใจของความเป็นแม่ร่วมกันที่ผู้หญิงเหล่านี้แสดงออกมาในการช่วยเหลือเกื้อกูน อันนี้ถือเป็นเรื่องลี้ลับและน่าทึ่งสำหรับผมทีเดียว ยังคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่น่ามหัศจรรย์เกี่ยวกับการเป็นมนุษย์จริงๆ

แม้ผมเองไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นชาวคริสต์ แต่ก็นับถือในพระพร และพลังของดวงจิตอันยิ่งใหญ่ ที่มีคำเรียกว่า พระเจ้า ผมเคยคิดว่าผมจะได้มาเข้าเฝ้าพระเจ้าก็ในห้องคลอด และแล้วก็รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ห้องนี้คือพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ที่มีการเสียเลือดเนื้อ น้ำตา มีการเอาชีวิตเข้าแลก เป็นห้องที่แม่ออกรบเพื่อต่อสู้กับความเจ็บปวดของการเกิด เพื่อให้กำเนิดลูกน้อยของตน ผมขอให้คุณพระช่วยคุ้มครองลูกน้อยและแม่ทุกคนให้แคล้วรอดปลอดภัยจากภยันอันตราย เพื่อค้นพบความเป็นมนุษย์และวิถีทางแห่งความรักด้วยกันทุกคนเทอญ

Posted by Picasa

Friday, November 14

Momo

 


ผลิบานพร้อมลมหนาว
น้ากชถ่ายภาพยามหลับไหล



Momo was born exactly on the due day: Friday 17th Oct 2008, Oor woke me up around 5 am and told me that we needed to go to the hospital as she believed that her womb is moving and the liquid is running (sorry for my non-technical term). So we got to the hospital. I called my dad to let him and my mom know that we were heading to the delivery room. Actually a day before there was a contracting signal and Oor went to get a test at the hospital and we got a brief coaching from the labor room staff how to attend birth. Normally a couple who is willing to have a natural birth session is required to take 4 training courses before birth, but in my case, I didn’t have much time to be in Chiangrai, and so I got to use my privilege as a son of a former head nurse and learn real quick about what to do to give Oor support she need during labor.



Actually on the same day, our house is having a house blessing ceremony in which monks and relatives were invited in the late morning to come and have lunch. So here we are, a house party without a house owners and 30 guests were having fun. Of course my uncle, Na Yat, took care of the ritual fine. At the same time the inscents was burnt, candle was lit, the baby was born and the monk started to chant and bless the house. The real owner was born.



We use the natural birth room designed for people to give birth through natural process. There were a few nurses who got proper training to support this process. However, most nurses there seems to know what to do and how to give a woman emotional as well as clinical support. I hoped it was not just because I was a son of their former big sister there. Anyway, I think it’s their genuine spirit from which the support flew.



Dr. Pitsanu who was in charged of the birth and had been my mother’s long time work colleague, was very very helpful as well as being funny. He help talking through the whole process. We loved him even though he doesn’t hear us much. When the baby faced upward, he helped the baby to turn around. Oor pushes on the bed with me behind her for 5 rounds of strong push. It was very exciting. My mom was there with other nurses to support. One of our Thai friends who gave birth there with Oor’s support in the same room , was there also. When she came out, they put her to lay face down on Oor’s chest and get breast fed. She seems scared and then felt save with her mom’s warm and loving embrace. She cried very little and got peaceful resting on the chest while the nurses help cleaning. This is one of the most beautiful and sweetest moment in my life to see an amazing process of life, a mother and child in harmonic cooperation. I can’t hold myself back from really crying out of the great joy and overwhelmed. I was very happy for her to come out safe and alive. She was my little daughter, I realized with tears.



Oor almost gave up before the cervix was fully opened many times. But she made it. At 9.49 am the baby was born, 3250 grams 51 cm. length, red like plum. So we got her name later after coming home as ‘Momo’ , in Japanese means plum. And it’s the name of a book Oor really love and she gave me one when we first started dating.



Now we are back at home, you got to love our new home. It’s very comfortable with two stories and two bedroom, one office and one small tv room, with big living room and nice kitchen. It’s a new house we decided to buy for the baby with Oor’s mother’s support.

Oor has short nipples (I didn’t notice them when we first dated) and found hard to breast feed Momo and got stressed out for the first 3 days, then we decided to go see the doctor and received proper training on breast feeding. Now we are back and the last 2 days has been full with milk!



I’m taking time off work for at least a month and then go periodically to workshop in BKK. But now I’m very happy even though I barely get a chance to rest or take a nap and had to wake up to help Oor breastfeeding almost every two hours. Without being a father, no book can help me realize such a fulfillment as a human being. Nothing perfect, but I feel life is already so wonderful, so wonderful.







Posted by Picasa
 


She was born at the same time the new house was blessed by chanting of monks,
and the house became home with our warm family gathering on a beautiful morning.
A home of Momo.
Posted by Picasa

sleeping beauty

 

ปากนิดจมูกหน่อย
ค่อยๆกิน
นอนเยอะเยอะ
โตไวไว
ในเตียงอุ่นๆ
Posted by Picasa

นางฟ้ากล่อมนอน

 

แม้แม่จะอดหลับขับตานอน
กล่อมลูกน้อยให้ผลอยหลับ
ได้เฝ้ามองเขาสุขสันต์ยิ่งกว่าได้นอนเอง
แต่ก็จะนอนบ้างเหมือนกันนะ
แม่คนดีที่หนึ่งเลย
Posted by Picasa

ตีนน้อยหน้าบาน

 

บ้านนี้มีเพิ่มมาอีกสองขา
นุ่มยิ่งว่าหน้าพ่อเสียอีก!
Posted by Picasa

Momo sparkling eyes

 
Posted by Picasa


there is no other eyes but yours,
reflecting the purity of the universe and life.

Wednesday, November 12

ประกายดารา

 



ผมเคยคิดว่า ลูกนี่แหล่ะจะทำให้เราได้เข้าเฝ้าพระเจ้า
เข้าเฝ้าจักรวาล เวลาโมโม่มอง โลกทั้งใบเปิดออก ไม่มีอะไรขวางกั้น
สายตาแห่งความฉงนฉงาย
ดังว่าชีวิตนี้มันน่าสนใจจริง น่าทึ่ง น่าอัศจรรย์ใจ
เป็นสายตาที่ไร้ความกลัว ไร้มลทิน ไร้ความเจ็บปวด
สุกใสเป็นประกายระยิบระยับ
ทำให้พ่อ(ผมเอง)ได้ร้องเพลงกล่อมที่คุณปู่เคยกล่อมตอนพ่อยังเด็กๆ

นอน...ในอ้อมกอดพ่อ
ขวัญชีวิตพ่อเอย
นอน..เนื้อละมุนในอ้อมประคอง
คุ้มกันภัยให้แทนเกราะทอง
ให้น้องนิทราอย่าหมองเลย

เนตรน้องมีประกายดารา
น้องจงนิทรา อย่าลืมตาน้องเลย
หลับเถิดหนา น้องอย่าเผยดวงตาเลย
เพราะตาทรามเชย
จะเย้ยแสงดาวนภาอับไป

ซ่อนแสงเก็บไว้ให้พ่อ
ตื่นนี้ พ่อจะชมชื่นใจ
Posted by Picasa

Momo

 
Posted by Picasa


"โมโม่" ลูกสาวครับ เกิด ๑๗ ต.ค. ๒๕๕๑
ตอนเกิดออกมา หนัก ๓๒๕๐ กรัม ยาว ๕๑ เซนติเมตร (บอกสัดส่วนเรียบร้อย)
ตัวแดง หน้าแดง แก้มตุ่ยเหมือนลูกท้อเลย
หาชื่อกันตั้งนาน แม่อ้อคุยกับอานอย เลยได้ชื่อ โมโม่ ที่เป็นภาษาญี่ปุ่น แปลว่า ลูกท้อ
แล้วก็ได้ชื่อจริงจาก หนังสือตั้งชื่อเล่มใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน)
ว่า "โมนะ" แปลว่า สงบ เพราะเธอสงบตั้งแต่อยู่ในท้องแล้ว ไม่ค่อยถีบ ไม่ค่อยดิ้น
ออกมาแล้ว ก็ไม่ค่อยร้องงองแงมากเลย เลี้ยงง่ายมาก

Thursday, October 9

เรียนรู้เปลี่ยนแปลง

การเรียนรู้และเปลี่ยนแปลง...เป็นเรื่องเดียวกัน

มนุษย์จะเรียนรู้อย่างไรให้อยู่รอดจากการทำร้ายล้างผลาญกันเองและจากมหันตภัยของระบบนิเวศน์ นี่ดูจะเป็นโจทย์สำคัญในยุคปัจจุบัน เราจะอยู่ร่วมกันอย่างไรในความแตกต่างและหลากหลาย กิจกรรมการเรียนรู้อะไรที่จะสามารถช่วยยกระดับจิตสำนึกจากการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง มาสู่การมองเห็นคุณค่าของคนอื่นๆ และธรรมชาติ

ในยุคที่สังคมมีความมั่งคั่งทางวัตถุเทคโนโลยีและความสะดวกสบายของชีวิต จิตวิญญาณของมนุษย์ดูกลับจะโดดเดี่ยว เหี่ยวเฉา หรือไม่ก็บ้าคลั่ง พลังกระจัดกระจาย ไร้ทิศทาง ดูเหมือนว่าสังคมไทยกำลังต้องการการเรียนรู้ทางจิตใจ ในยุคที่คำว่า จิตวิญญาณ กำลังเป็นที่นิยม ที่ไม่ได้หมายความถึงภูตผีปีศาจ แต่หมายถึงขวัญและพลังชีวิตของคน แต่น่าเสียดายที่ทั้งวัดและโรงเรียนที่มีหน้าที่ให้การศึกษาแก่เยาวชนเพื่อเข้าถึงความเป็นมนุษย์ของตนเอง กลับไม่สามารถกระทำภารกิจที่สำคัญยิ่งนี้ได้ดีนัก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม เพราะความรุนแรง ความเกลียดและกลัวแพร่ขยายอยู่ในสังคม อัตราการฆ่าตัวตายในหมู่เยาวชนสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย ยิ่งโรงเรียนบังคับให้นักเรียนไหว้พระสวดมนต์และท่องหลักศีลธรรมก็ยิ่งกลับทำให้เยาวชนห่างไกลจากศีลธรรมบนฐานของหัวใจที่กรุณาอย่างจริงแท้เข้าไปทุกที

กระบวนการเรียนรู้ที่หนังสือเล่มนี้นำเสนอ เป็นความรู้เชิงกระบวนการชุดหนึ่งที่ช่วยเปิดโอกาสการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการมองเห็นตัวตนและเปลี่ยนแปลงแบบแผนความคิด ทัศนคติและพฤติกรรม รวมทั้งการดูแลความสัมพันธ์ที่ตนเองมีต่อผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม ดังที่ตอนนี้การเรียนรู้ในแนวนี้เริ่มเป็นที่สนใจและมีพัฒนาการที่หลากหลายทั้งในต่างประเทศและในสังคมไทย มีชื่อเรียกต่างๆ เช่น การเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง (Transformative Learning) จิตตปัญญาศึกษา(Contemplative Education) สุนทรียสนทนา(Dialogue) การศึกษาบนฐานของจิตวิญญาณ (Spiritual Education) เป็นต้น

ทั้งนี้ การเรียนรู้เป็นธรรมชาติของชีวิต แต่ชีวิตเรียนรู้อย่างไรเป็นสิ่งที่จำต้องทำความเข้าใจ ไม่เช่นนั้น เราจะยัดเยียดการเรียนรู้หรือไม่ก็ปล่อยปละละเลยโดยอ้างว่าเอานักเรียนเป็นศูนย์กลางไปเสียอย่างนั้น
ประการแรก ธรรมชาติอันหนึ่งที่ชีวิตมีนั่นคือ ชีวิตเรียนรู้ตลอดเวลาอย่างเป็นองค์กรจัดการตัวเอง โดยจะเลือกเรียนตามที่สนใจหรือไม่ก็เพื่อความอยู่รอด การบังคับและการตั้งเงื่อนไขของการลงโทษหรือให้รางวัล ทำให้ผู้เรียนเรียนรู้เพียงเพื่อ “ผ่าน” แต่ยังไม่ได้เรียนรู้จากความรักหรือผูกพันของตัวเอง ทำอย่างไรที่การเรียนการสอนจะเป็นการเชื้อเชิญและเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ทดลอง และค้นหาแรงบันดาลใจ ให้ความสำคัญกับสภาวะจิตใจของผู้เรียนไปพร้อมกับเนื้อหาหรือเรื่องราวที่กำลังเรียน รวมถึงความรักที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่สนใจด้วย

ประการที่สอง ชีวิตดำรงอยู่ในความสัมพันธ์เสมอ เราไม่เคยสามารถแยกตัวเองจากคนอื่นหรือสิ่งอื่นได้ ดังนั้นความรู้จึงเป็นสิ่งที่เกิดจากการที่มีสัมพันธ์กับสิ่งที่เราเรียนรู้ การสร้างความรู้สึกปลอดภัยและไว้วางใจจึงเป็นสิ่งที่สำคัญต่อกระบวนการเรียนรู้ในเชิงลึกเช่นนี้
ประการที่สาม มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างความหมาย ตีความ ให้เรื่องราวหรือคำอธิบายต่อโลกหรือสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ความเข้าใจในเรื่องใดๆก็ตามจะดำรงอยู่ก็ในความหมาย บทสนทนา การพูดคุย ความคิดของผู้คน ซึ่งล้วนเป็นเสมือนโลกภายในของแต่ละคนที่มีความแตกต่างหลากหลาย การเรียนรู้เชิงลึกจะเมื่อผู้คนเข้าไปเห็นโลกภายใจของตัวเอง และรับรู้เรื่องราวหรือการตีความของกันและกัน

ประการที่สี่ การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่ก่อให้เกิดประสบการณ์ตรง ที่ต่างจากความรู้เชิงแนวคิด ทฤษฎี และประสบการณ์ตรงนี้เองที่มั่งคั่งร่ำรวยในเนื้อหาสาระที่มิอาจถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือแนวคิดได้ทั้งหมด ดังนั้น เราจำต้องสังวรณ์เสมอว่าความรู้จำนวนมากดำรงอยู่ในประสบการณ์ตรงของผู้เรียนมากกว่าอยู่ในหนังสือหรือคำบอกเล่า เมื่อเป็นเช่นนี้เราจะให้คุณค่าทั้งความรู้ที่เผยปรากฎในคำอธิบาย (explicit knowledge) และความรู้ที่แฝงเร้นในจิตไร้สำนึก (tacit knowledge) ในการสนทนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เราจะให้คุณค่าทั้งตัวผู้เรียนร ความรู้สึก อารมณ์ ความคิด สิ่งที่แสดงออกผ่านการพูดและผ่านใบหน้าท่าทาง สิ่งที่สื่อสารออกมาไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ล้วนเป็นความรู้ในความหมายนี้ทั้งสิ้น

ประการที่ห้า พาร์คเกอร์ พาล์เมอร์ เป็นนักการศึกษาชาวอเมริกัน เขาเขียนหนังสือชื่อ The Courage to Teach (กล้าสอน) สิ่งที่สำคัญในการสอน ไม่ใช่เทคนิค วิธีการ หรือความรู้ แต่คือตัวตนของผู้สอน(Identity) และความจริงแท้ต่อตัวเอง(Integrity) ความจริงแท้ต่อตนเองต่างจากความถูกถูกต้องสมบูรณ์แบบ(ที่ไม่มีอยู่จริง) เพราะความจริงแท้นั้นคือการยอมรับตัวเองทั้งด้านบวกและลบ ซึ่งก่อให้เกิดการเชื่อมสัมพันธ์ที่เรียนรู้ ที่ไม่ปกป้องตัวเองหรือการเสแสร้งสร้างภาพ เพื่อให้ดูดี ถูกต้อง เหมาะสม สมบูรณ์ มีค่า (ที่เราต่างชำนาญ) ในฐานะครู หรือคนที่ทำหน้าที่ก่อการเรียนรู้นั้น มันไม่สำคัญว่าเราสามารถทำอะไร ด้วยเทคนิควิธีการอย่างไร แต่อยู่ในว่าเราทำด้วยหัวใจหรือภาวะในตนเช่นไร ยิ่งในสมัยนี้ที่เครื่องไม้เครื่องมือในการสอนและเรียนรู้มีมากมาย จนบางทีเราลืมไปว่าใครเป็นผู้ใช้เครื่องมือเหล่านี้ต่างหาก

ประการที่หก การเรียนสามารถเลื่อนไหลผ่านการเล่น ความสุขและความผ่อนคลาย โดยไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียด หนักหัว เพราะเมื่อผู้เรียนสามารถผ่อนคลาย การเรียนรู้จะเกิดขึ้นในระดับจิตใต้สำนึก สามารถสืบค้นเข้าไปสู่พรมแดนของความไม่รู้ หรือพรมแดนของความรู้ใหม่ มากกว่ากรอบแนวคิดเดิมๆที่เก่าและมาจากอดีตเท่านั้น นอกจากนี้แม้ในอารมณ์อื่นๆ เช่น เหงา เศร้า โกรธ อึดอัด หรืออารมณ์ที่ดูจะลบๆทั้งหลาย การเรียนรู้ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเฝ้ามองดูตัวเองของผู้เรียนเป็นสำคัญ

ประการสุดท้าย ผมคิดว่ากระบวนการเรียนรู้ที่จะช่วยให้จิตวิญญาณมนุษย์งอกงามนั้นจะเกิดขึ้นมาอีกมากมายและหลากหลาย โดยหนังสือเล่มนี้ ที่ผู้จัดทำ คือธนัญธร เปรมใจชื่นและทีมงาน เป็นผู้มีความชำนาญในการจัดกระบวนการเรียนรู้แนวลึกเช่นนี้ด้วยแล้ว น่าจะช่วยจุดประกายจิตคุรุทั้งหลายที่ปรารถนาที่จะสร้างสรรค์ระบบการศึกษาของสังคมไทยให้มีอิสระจากแนวคิดทางวัตถุนิยม การแก่งแย่งแข่งขันและความรุนแรงในทางจิตใจยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

Friday, July 18

ชีวิตที่แปรเปลี่ยน รพ.ดอนพุด


วันแห่งการเดินทาง บนถนนมิตรภาพ จุดหมายที่จังหวัดสระบุรี

เล่าโดย Steave Lexington


เราได้นัดเจอกันในร้านกาแฟ black canyon ท่ามกลางความวุ่นวายในเมืองหลวง เพื่อจะเดินทางพร้อมกัน การเดินทางครั้งนี้ ผมมีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กๆเท่านั้น เราออกเดินทางตอนสี่โมงเย็น โดยมีณัฐชายหนุ่มร่างใหญ่เสียงเพราะเป็นผู้นำทีม น้องผู้หญิงที่ดูอบอุ่นเป็นคนต้อนรับ และเก่งชายหนุ่มมาดสุขุมเนิบๆเป็นคนคอยดูแลความสะดวกให้กับทุกคนใน ทริปนี้ ผมได้เจอพวกเขาพร้อมกันตอนขึ้นรถ น้องก็ได้ถามผมก่อนเลยว่า “กระเป๋าเสื้อผ้าพี่ตู่อยู่ไหนคะ” ผมก็ยกกระติกน้ำแข็งให้น้องดู และก็บอกว่า “นี่ไง เสื้อผ้าพี่อยู่ในนี้ครับ” หลังจากพูดจบ ผมเห็นน้องแอบหัวเราะนิดหน่อย

ขณะที่เราเดินทางไปบนรถ สู่ถนนมิตรภาพ เรายังไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ เพราะต่างคนก็ต่างพักผ่อน พักสายตากัน ส่วนผมนั่งอยู่ท้ายรถ เฝ้ามองดูทุกคน ในสมองผมก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมาว่า “หลับเถอะเพื่อนรัก ฉันจะคอยดูแลเธอเอง ในยามที่เพื่อนหลับตา เพื่อนจะปลอดภัยจากทุกอย่าง เพียงแค่ใว้วางใจ ฉันจะเอาหัวใจและความรักทั้งหมดที่ฉันมี เป็นกรอบป้องกันเธอจากภัยอันตรายทั้งปวง” พอผมพูดกับความรู้สึกในตัวเอง ในไม่ช้าผมก็หลับตามเพื่อนทุกคน ด้วยความวางใจในตัวเพื่อนเช่นเดียวกัน นี่อาจเป็นสันดาน เอ้ย สัญญาณอย่างหนึ่งของการเป็นขบวนกร

ถึงที่พักประมาณหกโมงเย็น ท่ามกลายสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก เราผู้ชายสามคนพักด้วยกันเป็นบ้านแฝด ผมนอนกับเก่ง ส่วนณัฐนอนคนเดียวในห้อง ด้วยเหตุผลที่บอกว่า “ไม่รู้ว่าคืนนี้ ผมอาจจะมีเพื่อนแสนสวยมานอนด้วย พี่ตู่นอนกับเก่งนะครับ” น้องนอนบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ติดๆกัน ทุกอย่างเราได้การต้อนรับเป็นอย่างดี จากทีมงามของ โรงพยาบาลดอนพุด ชื่อ คุณศรัณญา เป็นคนจัดงานการทำ workshop ครั้งนี้ พอเราเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ก็ไปที่ห้องอาหารกินข้าวเย็นด้วยกัน ผมรู้สึกตื่นเต้นกับอาหารบนโต๊ะมาก มีกับข้าวอยู่เต็มโต๊ะแทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้วางจานข้าว

เราใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการกินข้าวมื้อนั้น เพราะเวลาที่ผมจะตักกับข้าวแต่ละครั้งต้องใช้เวลาคิดดูก่อนว่า ผมต้องการอะไร แกงส้มชะอมทอด น้ำพริกกะปิ ผักสด หน่อไม่ฝรั่งใส่กุ้ง หมูมะนาว ยำมะเขือเผา ปลาทู อย่างว่านะครับ ชีวิตผู้ชายอย่างผมมันคุ้นชินกับอาหารจานเดียวตลอดมา เมื่อมาเจอแบบนี้ก็อดตื่นเต้นไม่ได้

ค่ำคืนแรกเรานั่งคุยกันที่ โต๊ะรับแขกข้างหน้า ด้วยการดื่มวิสกี้และ การพันบุหรี่สูบของณัฐ ที่เป็นบุหรี่ที่ดีที่สุด ผมได้แต่นั่งฟังเรื่องราวที่พวกเขาได้ไปทำกันมาในแต่ละที่ และหน้าที่ของแต่ละคน เป็นเพราะผมไม่ค่อยได้ไปกับพวกเขา เลยไม่มีเรื่องให้เล่าเท่าไหร่ แต่ก็มีบุคคลหนึ่งที่น่าสนใจ ในลักษณะการทำงานของเขา คือตั้ม ชายหนุ่มนักภาวนา เราเคยเจอกันแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นการทำงาน และเราก็ยังไม่เคยได้คุยกันเรื่องความคิดจริงๆ ได้ยินเสียงกลองตี บอกว่าห้าทุ่มแล้ว พวกเราก็จัดแจงแยกกันไปนอน เพื่อเก็บแรงเอาไว้ทำงานพรุ่งนี้ แต่กว่าจะนอนได้ผมเห็นณัฐ มันคุยกับท่อนเหล็กที่อยู่ในมือนานที่เดียวกว่าจะเข้านอนได้ ส่วนผมก็หลับไปกับเสียงของน้ำตกที่อยู่ข้างหลังห้อง และเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มันนอนดิ้นไปดิ้นมาบนผ้าห่มค่อกแค่กๆทั้งคืน ไม่รู้มันจะดิ้นหาอะไร

เจ็ดโมงเช้า พวกเราก็ตื่นขึ้นมาเพื่อไปทานอาหารเช้าพร้อมกัน โดยชีวิตปกติของผม เป็นคนตื่นสาย และก็ไม่เคยต้องทำอะไรพร้อมๆกัน แต่การมาอยู่ร่วมกันนั้น เวลาจะกำหนดให้เราต้องทำทุกอย่างไปพร้อมกันเสมอ หลังจากนั้นเราก็ไปช่วยกันเตรียมห้องประชุม จัดเครื่องเสียง แส่งไฟ เวที อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการสอน ฉาก แม้กระทั่งที่นั่งของผู้เข้าร่วม แค่ปูผ้าขาวลงกับพื้น ยกโต๊ะเก้าอี้ออกก็เป็นอันเสร็จ

เก้าโมงเช้า ทุกคนก็มาพร้อมกันที่ห้อง เป็นพนักงานในโรงพยาบาล ดอนพุด ทั้งหมดสี่สิบคน มีตั้งแต่หมอ พยาบาล ผู้ช่วย คนทำความสะอาด คนเฝ้ายามที่ไม่เคยเหงา เพราะมีทีวีเป็นเพื่อน คนจูงเปล พนักงานขับรถ ฝ่ายการเงิน ส่วนผู้ป่วยนั้นมันอยู่ในทุกคน แล้วเราจะทำหน้าที่ดูแลพวกเขาเอง ด้วยความรัก เมตตา และชื่นชม ในความหมายของ สุนทรียสนทนา

เราเริ่มแนะนำตัวกันที่ละคน โดยมีณัฐเป็นคนเริ่มต้นก่อน ได้พูดถึงความหมายของ การอบรมครั้งนี้ และความหมายของคำว่า สุนทรียสนทนา ให้ทุกคนเข้าใจ โดยคร่าวๆ หลังจากนั้นก็จะเป็นน้อง ซึ่งก็บอกเกี่ยวกับกิจกรรม ที่เราจะมีขึ้น อีกคนหนึ่งคือเก่งน้องเล็กของเรา ก็จะพูดถึงความรู้สึกยินดีที่ได้มาพบทุกคนที่นี่ ส่วนผมนั้นตอนแรกก็ยังไม่รู้จะแนะนำตัวเองอย่างไรดี แต่พอณัฐแนะนำผมขึ้นมาก็ทิ้งคำใว้ว่า “พี่ตู่เป็นนักแต่งเพลง และนักเดินทางแห่งชีวิต ที่มีเรื่องราวต่างๆน่าสนใจ เชิญพี่ตู่ครับ”

ผมเลยแนะนำตัวต่อจากประโยคของณัฐทันที โดยการเล่าเรื่องการเดินทางในอเมริกา และได้พบความเจ็บป่วย และเจ็บปวดจนเกือบตาย แล้ววันหนึ่งผมก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับชีวิตใหม่อีกครั้ง ด้วยมิตรภาพและความรักจากผู้คน ทั้งหมอ พยาบาล และเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อณัฐ ที่คอยให้กำลังใจ ความเป็นห่วง ความหวัง ทุกๆอย่าง จนผมกลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง” นี่เป็นประโยคแรกที่ผมได้แนะนำตัวเอง กับผู้คน และผมก็รับรู้ได้ทันทีว่า ทุกคนก็ต้อนรับผมเข้าไปในหัวใจของพวกเขา

ในช่วงเช้าณัฐสอนเกี่ยวกับบันไดห้าขั้น สู่ความสำเร็จในการทำงาน ตอนบ่ายก็เริ่มด้วย การนอนพักผ่อนปล่อยวางทุกอย่างให้อิสระ โดยการขับกล่อมด้วยเสียงเพลงเบาๆประกอบกับ เสียงของเก่งที่จะบอกให้ทุกคนล่องลอยไปในห้วงแห่งการพักผ่อนครั้งนี้ หลังจากนั้นณัฐก็จะสอนพวกเขาเกี่ยวกับเรื่อง สี่ทิศ มีอินทรี กระทิง หนู หมี เพื่อทำความเข้าใจว่า แต่ละคนจะมีบุคลิกอย่างไร และควรจะทำความเข้าใจอย่างไร ถ้าเราต้องเจอ กับทิศที่แตกต่างกัน ก่อนจะจบในช่วงบ่ายณัฐก็ให้ทุกคนที่เป็นทิศเดียวกัน และต่างทิศกัน จับกลุ่มคุยกันเพื่อทำความเข้าใจ และนี่แหละทำให้ทุกคนเริ่มรู้จักการฟังซึ่งกันได้อย่างดีขึ้น

เราทานอาหารเย็นพร้อมกัน ด้วยอาหารที่เต็มโต๊ะเหมือนเดิม และน้ำพริกปลาย่าง ผมยังคงตื่นเต้นกับอาหารเหมือนเดิม จนไม่รู้จะกินอะไรก่อนดี เรากลับไปเจอกันอีกครั้งตอนทุ่มหนึ่ง น้องก็ได้เป็นคนบอกให้ทุกคนได้แบ่งกลุ่มคุยกัน โดยเฉพาะกับคนที่เราไม่ค่อยได้คุยด้วย และให้พูดถึงชีวิต ความรู้สึกอะไรก็ได้ เปรียบเหมือนการได้เปลือยตัวเองออกมา และการรับฟังอย่างให้เกียรติกัน โดยสร้างบรรยากาศด้วยเสียงเพลงเบาๆ กับแสงเทียน บรรยากาศเป็นไปได้ดีมาก จะสังเกตุเห็นได้จากน้ำตาจากทุกๆคน จนชิชชู่ที่ใช้เช็ดน้ำตานั้นหมด เก่งเลยไปเอาชิชชู่เช็ดก้นเป็นม้วน มาให้กับทุกคนแทน

ผมนั่งดูอยู่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ไอ้ห่า งานอะไรวะชอบทำให้คนร้องให้ และได้เงิน พวกเรามันซาดิสม์หรือเปล่าวะเนี่ย จนถึงประมาณสามทุ่มก็จัดการแยกย้ายกันไปที่พัก แต่ก็ยังมีอาหารอีกหนึ่งมื้อ คือ กระเพาะปลาอีกคนละชาม พออิ่มแล้วพวกเราคุยกันอีก วิสกี้ขวดเดิม แต่คืนนี้กระเป๋าเสื้อผ้าผมก็กลายเป็นกระติกน้ำแข็งให้กับทุกคน เราคุยกันเกี่ยวกับการทำงานในวันนี้ และวางเรื่องราวในวันพรุ่งนี้ต่อไป เสียงกลองดังขึ้นบอกเวลาเที่ยงคืน เราก็แยกย้ายกันนอน ณัฐก็ยังคุยกับท่อนเหล็กในมือก่อนนอนเช่นเคย
เจ็ดโมงเช้า เก่งได้ออกไปสอนพวกเขาให้รำมวย บริหารร่างกาย ที่เรียกว่า ไทชิ

แปดโมงเราทานอาหารเช้าพร้อมกัน ส่วนตัวผมแค่ตื่นเช้าก็แย่แล้ว และยังต้องทานอาหารเช้าด้วย ท้องไส้มันป่วนๆยังไงไม่รู้ พอกินเข้าไปไม่เท่าไหร่ต้องรีบวิ่งกลับมาที่ห้องแทบไม่ทัน ไขประตูห้องด้วยอาการขาสั่นพับๆ ขี้ไหลครับ พอเสร็จธุระแล้วก็เดินกลับไปผ่านห้องอาหาร รู้สึกอยากกลับเข้าไปกิน กาแฟ ใข่ดาวอีกสักหน่อยก็คงดี แต่คูปองเสือกไม่มีแล้ว เฮ้ย เก็บท้องใว้กินอาหารกลางวันเลยดีกว่า

เช้าวันนี้น้องสอนให้เดินทำสมาธิ เดินไปรอบๆห้อง ทุกคนก็เดินไปรอบๆห้องกัน แต่ลักษณะการเดิน เหมือนเดินแข่งร้อยเมตร แล้วมันจะเกิดสติ สมาธิได้ไง สักพักน้องก็สั่งใหม่ ให้เดินช้าๆลง คราวนี้ก็ดีขึ้น ต่อจากนั้นน้องก็ให้เริ่มเล่นเกม walk together เกมที่ต้องสามัคคีกันเป็นสำคัญในการก้าวสู่เส้นชัย ช่วงนี้เกิดการสับสนกับคำสั่งระหว่างขบวนกรกับผู้เล่น คือ ตอนแรกให้ก้าวเท้าเข้าสู่เส้นชัยพร้อมกันทุกคน โดยเท้าข้างเดียวแต่ตอนหลังให้เปลี่ยนเป็นก้าวสองเท้าพร้อมกันทุกคน โดยไม่ให้เท้าแยกจากกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะเป้าหมายคือให้ทุกคนร่วมใจเดินไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งทุกคนก็ทำผ่านไปได้ดี

พักเที่ยงเราก็ไปกินข้าวพร้อมกัน ด้วยอาหารที่มากมายเช่นเดิม กับน้ำพริกอ่อง รวมกับข้าวอีกประมาณห้าอย่าง ผมยังคงตื้นเต้นกับอาหารตามเดิม

ตอนบ่ายก็เริ่มด้วย การ body scan กับเสียงเพลง Infinity และการกล่อมด้วยเสียงการเล่านิทาน โมโม่ ภาคพิศดาร หลังจากนั้น ณัฐการเริ่มสอนเกี่ยวกับทฤษฎีตัวยู การตกสะท้อน การรับฟัง มีเงื่อนไขด้วยกันสามประการคือ สถานที่ เวลา และตัวบุคคล(อารมณ์) มักมีผลต่อการฟัง และการขัดแย้ง ต่อจากนั้นณัฐก็ให้ทุกคนแบ่งกลุ่มอีกครั้งหนึ่ง โดยตั้งหัวข้อว่า “ให้พูดถึงวัยเด็ก” พอแบ่งกลุ่มเสร็จก็มีคนตะโกนถามอาจารย์ณัฐว่า “อาจารย์ครับ เอาตอนกี่ขวบดีครับ” ผมเนี่ยถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ แล้วณัฐก็ตอบว่า “ตอนเด็กช่วงเวลาที่รู้สึกประทับใจที่สุด ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขก็ได้ครับ”
พอถึงสี่โมงเย็นก็แยกย้ายกันกลับไปที่พักอีกครั้งหนึ่ง

มื้อเย็นกับอาหารมากมายเช่นเดิม น้ำพริกเปลี่ยนเป็นโต้เจี๊ยวหลน ผักสดยังคงเดิม ผมคงตื่นเต้นกับอาหารเช่นเดิม

หนึ่งทุ่มกลับมาพบกัน จัดให้เป็นวงกลมวงใหญ่ ให้ทุกคนได้พูดให้กันฟังอีกครั้ง อย่างนี้ละที่เรียกว่า สุนทรียสนทนา ทุกคนเริ่มเปลือยตัวเอง และเป็นการฟังให้เกียรติผู้พูดได้อย่างมากขึ้น แต่ละคนก็จะพูดเกี่ยวกับความรักของพ่อ แม่ ครอบครัว เป็นส่วนใหญ่ น้ำตามาอีกครั้งในค่ำคืนนี้ พอสี่ทุ่มเสียงกลองดังขึ้น น้องก็ให้ทุกคนได้ไปผักผ่อน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเวลาที่น้องรอคอยอยู่เหมือนกัน

อาหารอีกหนึ่งมื้อ แต่เป็นเพียงเกี๊ยวน้ำชามเล็กๆ คนละชามเท่านั้น

คืนนี้เรานั่งคุยกันไม่มาก เพราะข้างนอกเข้ามีดนตรีกัน เป็นงานของกลุ่มอื่นที่เขามาสัมมานา หรือสัมมาเลเทเมาก็คงไม่ต่างกัน เสียงดังมาก บนเวทีมีแต่ผู้หญิงสามคน ตะโกนใส่ไมค์แข่งกัน และทำท่าเต้นเหมือนสาวอโกโก้ ปลุกตัณหา เฮ้ยตัณเหียนล่างของอาจารย์ชาณเดชเสียมากกว่า คืนนี้ไม่ได้ยินเสียงกลอง แต่เข้านอนก่อน


เช้าวันนี้เก่งตื่นไปสอนรำมวยสาย มันนัดเขาเจ็ดโมงเช้า แต่ดันตื่นเจ็ดโมงครึ่ง คิดดูแล้วกัน มันจะเป็นอย่างไร มันเริ่มใส่เสื้อผ้าทันทีและหายใจแรงๆพร้อมกับพูดว่า “อุ้ยตื่นสาย ทำยังไงดีเนี่ย เขาจะรอไหม ทำยังไงดี ตื่นสาย” พูดซ้ำๆ แต่ก็รีบออกไปน่าเห็นใจจริงๆ

กินอาหารเช้าวันนี้ ท้องผมเริ่มรับได้ดีขึ้น ผมเดินเข้าห้องอาหาร เริ่มมีผู้คนทักทายมากขึ้น โดยเฉพาะการขอเบอร์โทรศัพท์ และอีเมล์ ผมยังไม่กล้าให้ใคร เพราะกลัวว่าจะผิดระเบียบการเป็นขบวนกร ต้องรอถามณัฐก่อน วันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนจะปิด workshop ในตอนเที่ยง ผมรู้สึกคุ้นเคยกับทุกคนเป็นอย่างดีแล้ว

แปดโมงครึ่งก็พร้อมในห้องประชุม ณัฐกับน้องได้ทบทวนทุกอย่างที่สอนใว้ เช่น การใว้วางใจ การฟัง การรู้จักผู้อื่น และยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ต่อจากนั้นก็ให้ทุกคนเขียนจดหมายรักของแต่ละคน ประมาณครึ่งชั่งโมง พอเสร็จแล้วก็ให้ทุกคนกลับมานั่งเป็นวงกลมแล้วอ่านให้กับทุกคนฟัง พอเริ่มไปสักสองคน น้ำตาก็เริ่มไหลกันทั่วหน้า แต่ผมก็ต้องอดกลั้นไว้เหมือนกัน เพราะเป็นขบวนกรจะต้องทำตัวให้เข้มแข๊งกว่าคนอื่นหน่อย แต่ก็ตั้งใจว่าสักคนที่สิบถ้าจะร้องให้ก็จะปล่อยมัน แต่พอผ่านไปได้สักระยะหนึ่งถึงตอน พนักงานขับรถลุกขึ้นมาอ่าน ผมทนความรู้สึกตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ผมจะเล่าเนื้อความจดหมายโดยคร่าวๆ เขาลุกขึ้นพร้อมกับน้ำตาและเสียงสะอื้นตลอดเวลา

เขาเป็นผู้ชายที่ดูซื่อๆคนหนึ่ง “ณ.ศุภลัยปราลัย พาร์ค รีสอรท์ สุดที่รักของพี่ ขอบคุณมากที่อนุญาติให้พี่มาครั้งนี้ พี่เป็นห่วงจุ๋มดังดวงใจแม่สุดที่รัก…. ในขณะที่อ่านไปก็ร้องให้ ทั้งที่ตลอดเวลาก็จะมีเสียงหัวเราะอยู่ ก็ไม่สามารถทำลายสมาธิเขาได้เลย มันเป็นจดหมายที่เศร้าและก็ตลกในท่าทีการอ่านของเขา พอตอนจบเขาก็ยังมี ป.ล. ลงท้ายอีกว่า “จุ๋มสุดที่รัก พี่จะรีบกลับ ให้จุ๋มเตรียมแก้มตุ่ยๆของน้องเข้าใว้ พี่จะไปหอมแก้มตุ่ยๆของน้อง สุดที่รักของพี่” มันเป็นจดหมายที่น่ารักและซื่อตรงอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และมันก็ตลกมากในท่าทีการอ่าน มันเป็นความสุขและความเศร้าที่มาพร้อมกัน แต่ขอบอกว่า ทุกๆคน ล้วนทั้งร้องให้และหัวเราะกันอย่างยั้งไว้ไม่ได้ ส่วนผมวิ่งไปห้องเครื่องเสียงหลังห้อง แล้วก็หัวเราะอย่างเอาไม่อยู่จริงๆครับ ณัฐก็หัวเราะนอนกลิ้งอยู่ข้างเวที ทุกคนครับ ขอเน้นว่าทุกคนจริงๆ ผมเขียนอาจจะไม่ตลก เพราะมันต้องได้ยิน ได้เห็นพร้อมๆกัน นี่คงเป็นเหตุการณ์ที่ผมจะจดจำใว้ไม่ลืมอีกครั้งหนึ่ง พอทุกคนได้อ่านจดหมายจนครบทุกคนแล้ว ณัฐก็ให้ทุกคนได้ชื่นชมซึ่งกันและกัน ด้วยการเดินไปหากันกล่าวคำขอโทษ และชื่นชม

พอถึงเวลาที่พวกเราจะกล่าวอะไรบางอย่างกับพวกเขาบ้าง

ผมได้ลุกขึ้นพูด “ในเวลาของชีวิต ผมมักจะกับความทุกข์ ความสุขก็จะหายไป เมื่อความสุขมา ความทุกข์ก็จะหายไป มันไม่เคยมาพร้อมกัน แต่วันนี้ผมพึ่งเคยเจอความสุขและความทุกข์มันได้มาพร้อมกันได้จริงๆ วันเวลา และโลกไม่เคยเปลี่ยนแต่เราต่างหากที่เปลี่ยนไป เราสามารถเปลี่ยนอะไรก็ได้ในโลกใบนี้ แต่ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนที่ตัวเองก่อน ทุกข์ หรือสุขมันอยู่ที่ตัวคุณ และภายในจิตใจของพวกคุณ รักและเคารพอย่างกรุณา ความงดงามก็จะเกิดขึ้นทุกที่ ที่คุณเป็น ที่คุณอยู่ ขอให้พวกคุณมีความสุขกับทุกสิ่งในชีวิต” นี่คือคำร่ำลาสุดท้ายจากผม จากนั้น เก่ง และน้องก็พูดต่อ ณัฐคือคนปิดการแสดงทั้งหมดอย่างสมบูรณ์.

การอำลาโดยการถ่ายรูปร่วมกัน กอดกัน อย่างมีความสุข แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมไม่ได้ให้พวกเขาคือ เบอร์โทรศัพท์หรือ อีเมล์ เพราะณัฐไม่ตอบอนุญาติสำหรับผม.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากจบงานนี้เราก็ได้พักผ่อนกันหนึ่งวัน ก่อนที่จะทำ workshop ชุดต่อไป กินอาหารมื้อเที่ยง ที่มีน้ำพริกกะปิ และกับข้าวมากมาย ผมยังตื่นเต้นกับอาหารตามเดิม พอกินเสร็จก็ไปเล่นสนุ๊กเกอร์กันสี่คน ผมเล่นเก่งที่สุด ประมาณสามโมงเย็นเราก็แยกย้ายกันไป ณัฐ น้อง และผมเขียนหนังสือ ส่วนเก่งก็จัดแจงซักเสื้อผ้า นอนหลับกันสักพัก ตอนทุ่มหนึ่ง ก็ไปกินข้าวพร้อมกัน อาหารยังมากเหมือนเดิม น้ำพริกเริ่มวนกลับมาเหมือน เดิมอีกครั้ง แต่ผมก็ยังตื่นเต้น คืนนี้เราจัดโต๊ะริมสระน้ำ นั่งคุยและเล่นไพ่กันสี่คน อยากขอโทษทุกคนด้วยนะครับ ที่ผมเล่นเก่งที่สุดอีกแล้ว คืนนี้เราสนุกกับการเกทับกันในเกมส์อย่างสนุก ถือว่าเรากำลังดูแลขบวนกรซึ่งกันและกัน ร่ำลากับน้องเพราะพรุ่งนี้น้องต้องกลับตั้งแต่หกโมงเช้า

เช้าวันนี้เราต่างคน ต่างแยกกันทำธุระของตัวเอง ผมอ่านหนังสืออย่างมีความสุข อากาศดีๆในเวลาเช้า สดชื่นที่สุด ตอนเที่ยงก็ทานข้าวอีกแล้ว แต่เรากินกันสามหนุ่ม น้ำพริกย้อนกลับเหมือนเดิม กับข้าวมากมาย แต่ผมเริ่มคิดถึงก๊วยเตี๋ยวแล้วละครับวันนี้ ประมาณบ่ายโมงอาจารย์ชาณเดชก็มาถึง ใส่เสื้อยืดสีเหลือง กางเกงสแล๊คสีดำ ผมดูไม่คุ้นเท่าไหร่กับการแต่งตัวแบบนี้ เพราะผมมักจะเห็นอาจารย์ใส่เสื้อในสีขาว และเสื้อคลุมแบบจีน กางเกงขาก๊วย สะพายดาบเต้นรำในตอนเช้าเสมอ

ช่วงบ่ายเรานั่งคุยกันในบ้าน รู้สึกบรรยากาศเริ่มมีพลังมากขึ้น สนุกในการได้พูดคุยกันมาก พอทุ่มหนึ่งกินข้าวอีกแล้วครับ ผมเริ่มไม่สนใจแล้วว่าน้ำพริกได้เปลี่ยนไปหรือเปล่า กับข้าวคงมากมาย คืนนี้เราให้เขาจัดโต๊ะริมสระน้ำ นั่งคุยกันกับวิสกี้
เรื่องราวการคุยในคืนนี้ ก็เป็นการตั้งคำถามกันเอง และการเปลี่ยนแปลงไปของแต่ละคน พวกเราคุยกันได้สนุกจนผมรู้สึกมึนวิสกี้เหมือนกัน แยกกันไปนอนเกือบตีสอง

การทำงานเริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกสนุกมากตั้งแต่วันแรก เพราะพวกเราต่างชัดเจนในหน้าที่ตำแหน่ง ได้ชัดเจน และยังสนับสนุนกันได้ดีทีเดียว ผมเชื่อว่าสามวันสองคืนกับการทำงานร่วมกันครั้งนี้ได้ผ่านไปด้วยสมบูรณ์ และทุกคนก็มีความสุข
เราทำทุกอย่างเป็นทีมมาก ถ้าคนหนึ่งนำ พวกเราก็จะคอยสนับสนุนตลอดเวลา เป็นอย่างนี้ตลอดจนจบงาน เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น แต่ชัดที่สุดคือ วิถีแห่งความสุข และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเขาต่อไป

เนื้อเรื่องการสอนก็แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ แต่การสื่อและการสอนที่เปลี่ยนไปบ้าง เช่น เราสอนสี่ทิศโดยการเล่นละคร ณัฐจะพยายามชี้ไปที่จุดปัญหาของแต่ละคน ผมจะดูแลเรื่องของอารมณ์ ทั้งเปิดอารมณ์รับและกล้าถ่ายทอดออกมา
อาจารย์ชาณเดชก็จะสรุปเรื่องได้อย่างเด็ดขาด เก่งจะสนับสนุนพวกเราทุกอย่าง ณัฐสรุปทั้งหมดอีกครั้งเพื่อความเข้าใจทั้งหมด

ในสองวันหลัง ผมเริ่มไม่ค่อยสนใจอาหารเท่าไหร่แล้ว น้ำพริกอะไรกินก็ยังไม่รู้ เริ่มกินไปเรื่อยๆ และใช้เวลาน้อยลงมาก
เช้าวันสุดท้ายก่อนปิดการอบรมครั้งนี้ ก็ให้ทุกคนได้มาพูดความรู้สึกกันอีกครั้ง ด้วยการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ก็เป็นไปได้ดีและสมบูรณ์เช่นกัน การร่ำลาครั้งนี้ผมพูดมาพอสมควรแต่จุดสุดท้ายก็พูดว่า “ผมเปรียบเสมือนงานคอนเสริท ทุกครั้งที่ผมเล่นเพลงสุดท้ายบนเวที แต่ผู้ชมก็ไม่ยอมกลับ และพากันตบมือเรียกให้พวกผมขึ้นมาเล่นอีกครั้ง แต่การแสดงครั้งนี้ ถึงผมจะเล่นเพลงสุดท้ายแล้ว แต่ผมก็ไม่อยากจบ อยากจะเล่นต่อไปเรื่อยๆ ถ้ามีผู้ฟังอย่างพวกคุณอย่างนี้ และหวังว่าคงได้เจออีกครั้ง ในดอนพุด อินคอนเสริท กับพวกเราอีกครั้ง”

ทุกคนให้ความศรัทธา ความรัก และชื่นชมพวกเราเป็นอย่างมาก นี่แหละคือความสำเร็จและความสุข ของพวกเราจริงๆ หลายคนอยากติดต่อกับผมอีก ครั้งนี้ผมไม่รออะไรแล้ว จัดแจงเขียนเบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ ลงบนบอร์ด ตัวใหญ่ พร้อมลงท้ายว่า
“ผมจะระลึกถึงทุกคนตลอดไป” ร่ำลาด้วยการถ่ายรูปร่วมกัน ขอบคุณในสิ่งที่เราให้น้ำตาแห่งความสุข รอยยิ้ม เรากินอาหารเที่ยงพร้อมกันอีกครั้ง น้ำพริกอะไรผมไม่รู้ กับข้าวยังมากมาย แต่ผมกินไม่ลงแล้วครับ ได้แต่นั่งมอง อยากกลับไปกินอาหารจานเดียวขอผมต่อไปดีกว่า ขอให้มีความสุขในชีวิตกันมากขึ้นทุกคนนะครับ.
----------------------------------------------------------------------------------------------------

Thursday, June 19

ภวังค์ภาวนา




"Prayer is the drowning and the unconsciousness of the soul. All other forms of worship are outside the purity of prayer. One may say that the lover who prays with totality is exempt from all other religious obligation. Every word you say, every breath you take is a prayer. Never in truth, does the lover seek without being sought by his beloved. When the lightning of love has shot into this heart, know that there is Love in that heart." ~ Rumi

"การ(สวด)ภาวนาคือการจมดิ่งและภาวะไร้สำนึกของดวงจิต
รูปแบบอื่นๆของการอ้อนวอนอยู่ภายนอกความบริสุทธิ์ของการภาวนา
บางคนอาจกล่าวได้ว่า คนรักที่ภาวนาด้วยทั้งหมดที่มีจะได้รับข้อยกเว้นจากศาสนพันธะ
ทุกคำที่คุณพูด ทุกลมหายใจเข้าออกล้วนเป็นการภาวนาทั้งสิ้น
ในความจริงแล้ว ไม่มีครั้งไหนหรอกที่คนรักจะเป็นผู้เพรียกหาแต่ฝ่ายเดียว โดยผู้เป็นที่รักจะไม่ร้องหากลับ
เมื่อสายฟ้าแห่งรักได้ฟาดลงสู่หัวใจดวงนี้ ก็ขอให้ตระหนักว่า ก็นั่นไงล่ะ ความรักอันยิ่งใหญ่ดำรงอยู่ในหัวใจแล้ว"

รูมี่

Saturday, May 17

เหงื่อไคลไหลล้นมิตรภาพ





การได้อยู่เมืองเล็กๆดีดีเหมือนกัน นอกจากไปไหนมาไหนง่ายแล้ว ยังมีกิจกรรมน่ารักๆ ให้ได้ไปด้วย
เมื่อวานได้ไปดูบาสเก็ตบอลท้องถิ่น จัดโดยชมรมคนรักบาสเชียงราย ทำให้เราได้ใช้ชีวิตนอกจอทีวีหรือคอมพิวเตอร์บ้าง ผมเองตอนสมัยเรืยนหนังสือก็ใช้ชีวิตบนสนามบาสไม่น้อย อยู่กับเหงื่อไคล ร่างกายและการเคลื่อนไหวที่ไม่ต้อง "พยายาม" คิดมาก ผมว่ามนุษย์กับแผ่นดิน หรือlandscape มันคุ่กัน จะเดินหรือวิ่งบนดิน ก็เป็นการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแผ่นดินอีกทางหนึ่ง กีฬาก็เป็นกิจกรรมที่ช่วยบำบัดคนยุคปัจจุบันได้มาก อย่างน้อยร่างกายก็ได้ใช้ศํกยภาพเต็มที่ ช่วยให้จิตใจได้ผ่อนคลายไปด้วย

สมัยเด็กๆ ยุคที่ทีวีมีเพียงช่องสองช่อง คอมพิวเตอร์ยังไม่มี มีแต่โรงหนังท้องถิ่นตั้งสองสามโรง และก็กีฬาท้องถิ่นนี่แหล่ะที่พ่อแม่ชอบพาเราไป ผมชอบบรรยากาศการเชียร์กีฬาข้างสนามมาก มันสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ มีส่วนร่วมดี
ส่วนมากเราจะไปดูบาสเก็ตบอลกัน พ่อจะเชียร์บาสอย่างเปิดเผยมาก เหมือนมีคนออกเสียงพากไปด้วย
ท่าทางลีลาออกทั้งร่างกาย มือไม้เท้าเป็นหนึ่งไปทางเดียวกันหมดในช่วงที่ต้องลุ้นสุดๆ

มาตอนหลัง ยิ่งทีวีเป็นสี มีหลายช่อง ตอนนี้มีเคเบิ้ลทีวีอีก การเชียร์กีฬานอกบ้านเลยเกือบจะกลายเป็นอดีตไปเลย
จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันมานี้ น้องสาวโทรหาผม(ตอนที่ผมยังอยู่กรุงเทพ)บอกว่าให้รีบกลับมาดูบาสเก็ตบอลที่เชียงราย พอกลับมาก็ทำตัวเองให้ว่างเพื่อไปดูบาสกับครอบครัว

มันอธิบายไม่ถูกจริงๆว่า ความเรียบง่ายอย่างนี้มันให้ความสุขเพียงใด ต้องขอบคุณคนที่พยายามจัดงานเช่นนี้ขึ้นมา เพื่อให้คนท้องถิ่นได้มาพบกัน แม้ว่าบาสเก็ตบอลจะไม่ใช่กีฬายอดนิยม แต่ในฐานะที่เป็นคนรักบาส ผมคิดว่ากีฬาอะไรก็ได้ที่ทำให้เรามีพื้นที่ทางสังคมร่วมกัน เพื่อทำอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่เพียงการแสวงหากำไรแบบเงินตราเท่านั้น บางทีเหงื่อไคลและมิตรภาพก็เป็นกำไรชีวิตที่หาซื้อไม่ได้ แต่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมเท่านั้น

Friday, May 16

ผู้นำ ๔ ทิศ

เราทุกคนล้วนมีทิศทั้ง ๔ อยู่ในตัว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเติบโตและการบ่มเพาะของครอบครัวและสังคม เราแต่ละคนจะมีทิศเด่นบางทิศประจำตัว เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ความคุ้นชินเหล่านี้ (ไข่แดง)แตกต่างกันไปตามทิศ เช่น บางคนเป็นกระทิงที่มุ่งมั่น พลังงานสูง มันส์และสนุกในการทำงานที่ได้ลงไม้ลงมือตลอดเวลา เป็นต้น แต่นั่นก็มิได้เป็นทั้งหมดของเรา ไม่ใช่เป็นธรรมชาติเดิมแท้ของเราไม่ เพราะเราคือความเป็นไปได้ เราเป็นได้มากกว่าที่เราคิดหรือเชื่อว่าเราเป็นอะไร

การทำงานหรือการอยู่ร่วมกับผู้อื่นนั้นจำต้องการอาศัยความเข้าใจที่ว่า ทุกคนต่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร มีจุดแข็งของตัวเอง ตามทิศต่างๆ มีมุมมอง วิธีคิด นิสัยใจคอ ที่แตกต่าง หากเราสามารถยอมรับความแตกต่างอย่างเคารพและชื่นชมได้ เราก็จะได้เรียนรู้จากคนอื่นที่แตกต่างจากเราได้ ให้เขาเหล่านั้นได้มีพื้นที่ในชีวิตเรา เสริมเติมเต็มกันและกัน และมากไปกว่านั้นอีก เราเองก็สามารถจะเป็นทิศต่างๆตามที่สถานการณ์ในชีวิตเรียกร้องให้เราเป็น อย่างไม่ต้องยึดติดกับวิธีการหรือตัวตนของเราที่เป็นมา แล้วชีวิตเราก็จะมีพลังและมีประสิทธิภาพในการเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ต่างๆได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งจำต้องอาศัยความรู้เนื้อรู้ตัวอยู่เสมอ และน้อมรับมุมมองจากคนรอบข้างที่อาจช่วยเป็นกระจกสะท้อนให้กับตัวเราได้เห็นตัวเองในด้านที่เราอาจจะไม่เคยมอง


ทิศเหนือ กระทิง fire
Motivation คือ การได้เห็นผลลัพธ์
Result and Action-oriented
กระทำการรวดเร็ว fast (often first) to act พลังพุ่งออก เสี่ยง ท้าทาย มุ่งมั่น
กล้าได้กล้าเสีย Risk taking
เรียนรู้ผ่านการลงไม้ลงมือปฏิบัติ ปัญญาปฏิบัติ direct experience, achievement
เปิดเผย ตรงไปตรงมา ชัดเจน self-express
ถือสัจจะ คำมั่นสัญญา กล้าเผชิญความไม่แน่นอน ลุย เน้นที่เจตนา “จริงใจซะอย่าง” Intention-based
“ทุกอย่างทำได้หากตั้งใจมุ่งมั่น”
ปัญหาอยู่นอกตัว โทษคนอื่น
ยืนยันความต้องการของตัวเอง Assertiveness

“ชีวิตต้องสู้ นิ่งเฉยไม่ได้”
รักยุติธรรม protective ปกป้องพวกพ้อง
มีอะไรที่จะต้องทำต่อไป what’s next to be done
มีพลังในความเร่งด่วน ฉุกเฉิน sense of urgency
รู้สึกมีค่าเมื่อได้ให้การช่วยเหลือ เน้นการให้
Love to provide
เผชิญหน้ามากกว่าหลีกหนี
“ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”

ทิศใต้ หนู water
Motivation คือ การรักษาสัมพันธ์ maintain connection-relationship-wholeness
ไว้ต่ออารมณ์ความรู้สึกของตัวเองและคนรอบข้าง
ยืดหยุ่น ผ่อนปรน หล่อเลี้ยงดูแล แปรสภาพปรับตัวตามความต้องการของคนรอบข้าง
ให้คุณค่ากับคนอื่นมากกว่าตัว
พลังน้อมรับเข้า หลอมรวม เป็นหนึ่งเดียวกัน
พร้อมโอนอ่อนผ่อนตามมากกว่าแตกหัก
น้อมรับไว้ก่อน Easy to say YES first!
มักให้พื้นที่คนอื่นก่อน (ให้พูดก่อน ทำก่อน) give ways to others
อยากให้ทุกคนรักกัน สมานฉันท์ตลอดเวลา
ความรู้สึกต่อกันสำคัญมาก (กว่าหลักการเหตุผล)
ไม่ชอบการปฏิเสธหรือการถูกปฏิเสธ
ไม่ชอบการกระทบกระทั่งหรือสร้างความอึดอัดรำคาญใจให้คนรอบข้าง
รักความสะดวกสบาย อบอุ่น ปลอดภัย
หล่อเลี้ยงชีวิตด้วยความรักและกำลังใจ
ไม่ชอบถูกคนรังเกียจ
โทษตัวเองก่อน

ทิศตะวันตก หมี earth
เหตุผล ตรรกะ ใคร่ครวญ
ดูท่าที คิดวิเคราะห์ ก่อนลงมือกระทำการ รอบคอบ
เสถียรภาพ มั่นคง แน่นอน รัดกุม clean & clear
ตัดสินบนฐานข้อมูล Fact/Data oriented
เป็นระบบระเบียบ แบบแผน ชัดเจน “ช้าแต่ชัวร์”
มุ่งประสิทธิภาพ ทำตามแผน ไม่ชอบไร้ระเบียบ
สม่ำเสมอ ทำซ้ำๆ วินัย comfortable with routine
มีเขตแดนของตัวเองชัดเจน
ไม่ชอบเข้าสังคมมากนัก เพราะวุ่นวาย
หาความสมบูรณ์ ลงตัว ครบถ้วน
มักมองไปที่ความบกพร่อง หรือส่วนขาดได้เร็ว
มองไปข้างหน้าเพื่อเตรียมรับมือกับอุปสรรค Foresee obstacles
ไม่ยอมให้อารมณ์สำคัญกว่าเหตุผลหรือหลักการ
เข้มงวดควบคุมตัวเอง สิ่งแวดล้อม และคนรอบข้าง
Self-controller
ให้คุณค่ากับความถูกต้องตาม หลักเกณฑ์ หลักการ ระบบ แบบแผน


ทิศตะวันออก อินทรีย์ wind
มองกว้าง ไกล เชื่อมโยง
คิดนอกกรอบ สร้างสรรค์ รักสนุก ความแปลกใหม่
ไม่ชอบซ้ำเดิม หรือเหมือนใครอื่น ชอบความแตกต่าง มีเอกลักษณ์
ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ทดลอง
เปลี่ยนแปลงเร็ว ขี้เบื่อ
ให้คุณค่ากับการคิดได้ใหม่
อิสรภาพ และการมีทางเลือกมากกว่าหนึ่งทาง
ไม่ชอบอยู่ในแบบแผนซ้ำเดิม
สนใจในเรื่องราวหรือโครงการใหม่ๆเสมอ
ชอบความเป็นไปได้ สด ใหม่ ไม่ซ้ำซาก
Everything is possible

Thursday, May 8

อาศรมชาลิกา

อาศรมชาลิกา (Shaliga Ashram)

(เรื่องราวนี้เขียนไว้นานแล้ว ประมาณปี 1999 ลองเอามาแบ่งปันกันอ่านดู)

อย่างที่ว่ากันว่า เมื่อสุนัขจนตรอก ก็ย่อมกัดไม่เลือกหน้าเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองอย่างสุดกำลัง ได้ฟังเรื่องราวของพี่ชายคนหนึ่งชื่อ “ตู่” ก็อดคิดไม่ได้ว่าชีวิตของแกก็ไม่ต่างไปจากการต่อสู้แบบหมาจนตรอกเท่าไรนัก เป็นชีวิตที่ไม่เคยก้มหัวให้กับใคร และนี่ก็มีผลให้พี่อู๊ด เจ้าของร้านชาลิกา ไม่ค่อยชอบขี้หน้าแกเท่าไหร่นัก เพราะบ่อยครั้งที่พี่ตู่พูดไม่เข้าหูแก ชนิดที่ขี้หูกระฉอกเพราะรับฟังไม่ได้เอาเลยทีเดียว แถมยังแสดงออกทางสีหน้าและคำพูดอยู่บ่อยๆ คู่นี้เป็นเหมือนไม้เบื่อไม้เมา

พี่อู๊ดมักตัดสินอะไรอย่างตามอำเภอใจอย่างเอาแต่ได้ แม่งข้าวหนึ่งทัพพีก็ยังจะแดกเงินจากแขกตั้ง หนึ่งเหรียญ คนสั่งอาหารไม่ครบราคา ๑๐ เหรียญก็มองเขาอย่างเป็นสถุลหรือขยะสังคม แต่ก็อ้างโน่นอ้างนี่งูงู ปลาปลา หวังตักตวงกำไรให้มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แขกหลายคนมาครั้งเดียวแล้วก็คงไม่มาอีกเลย

บ่อยครั้งที่แกมักหลอกตัวเองว่าร้านชาลิกาที่ลูกค้าประจำเยอะ แขกบางคนยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไม่เคยมากินอาหารที่ร้านนี้เลย เพราะอยู่ต่างฟากทวีป และนี่เป็นครั้งแรกของเขา พี่อู๊ดก็ยังดื้อดึงยืนยันอยู่นั่นแหล่ะว่าจำหน้าได้ว่าเคยมา เป็นการกุเรื่องให้ทะเลทรายกลายเป็นมหาสมุทร หากคนเราหลอกตัวเองได้ถึงเพียงนี้ ก็ไม่ต้องห่วงมาจะสามารถปลิ้นปล้อนหลอกลวงคนอื่นได้มากขนาดไหน
นี่คงเป็นอีกตัวอย่างของการพยายามถือครองเอาความเชื่อชุดหนึ่งว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเป็นสิ่งที่ให้ความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยของอัตตา ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนจากที่เป็นอยู่ I am okay, and nothing is wrong with me!

ผมเองอาศัยทนได้มากกว่าพี่ตู่หน่อย เลยรอดสายตาอีแร้งคอยถลกหนังหัวไปได้ไปเป็นวันๆ
จะว่าไปแล้วเราการที่ต้องมาทำใจอดทนกับความบัดซบนี่มันทำให้ชีวิตดูเลวระยำจริงๆ การที่ต้องมาเป็นผู้ตามรับใช้เป็นข้าทาสคนที่ไร้ซึ่งความเป็นผู้นำและความเป็นมนุษย์ (ฟังดูแรงไปหน่อย แต่ไม่อยากแก้ครับ) นี่มันก็ไม่ต่างกับการเยี่ยวรดกางเกงตัวเอง… เหม็นและขำไม่ออก เป็นความงี่เง่าหรือความสมยอมหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่แน่ๆ…ขำไม่ออก

แต่ก็ไม่ถึงขนาดขมขื่นหรอกครับ เพราะอย่างน้อยก็มีเรื่องสนุกๆเขียนไปเล่าให้พ่ออ่านเล่นยามเกษียร ถ้าพ่อรวบรวมไว้เรื่อยๆ สักวันอาจพิมพ์เป็นพอกเก็ตบุ๊คได้จนรวยเละ…

ยิ่งวันพฤหัสที่ผ่านมา เราทำตัวเลขยอดขายได้สูงทีเดียว เป็นวันที่ได้ค่าทิปดีที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมา คือ ๑๒๕เหรียญ (ยังไม่รวมค่าแรงอีก ๒๐ เหรียญ) แม้เหนื่อยมาก แต่ก็ต้องถือว่าคุ้ม ที่เหนื่อยเพราะต้องทำกับคนที่พึ่งเข้ามาใหม่ พอเป็นงานบ้าง แต่ก็ยังไม่เข้าขากันเหมือนทำกับพี่ตู่ ผมเองก็ต้องทำหน้าที่นำเสนอขายลูกเดียว โดยเฉพาะอาหารจานพิเศษราคาสูง เช่น ปูอ่อนพะแนง (Panang Soft Shell Crab) หรือ Shrimp Avocado หรือ พระรามลงสรง (Chicken Rama) เป็นต้น ก็สนุด เจ้าเปโตรที่เป็นRunnerอาหารชาวเม็กซิกันก็พลอยดีใจไปด้วย

พี่ตู่เคยออกความเห็นว่า “ณัฐ..นายน่ะ เป็นคนมีความสามารถ ตั้งหลายอย่าง โดยเฉพาะการผูกมิตรกับผู้คนและภาษา แถมยังรู้เรื่องเยอะเกี่ยวกับชีวิต เมื่อเทียบกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่น่ามาทำงานแค่เสริพอาหาร”
“ก็ผมมันนิสัยเสียตรงที่ไม่ค่อยกระตือรือล้นดิ้นรนหางานดีๆทำ รอให้สวรรค์บันดานแล้วงานดีดีอย่างว่าคงจะหล่นตุบลงมากองอยู่หน้าตัก” ผมตอบ

นี่ก็เป็นนิสัยที่ทำให้เอมี่หงุดหงิดประจำ แต่เขาก็เริ่มจะเข้าใจแล้ว เราเป็นเหมือนสัตว์จำพวกเสือ ใช้เวลาส่วยใหญ่ในการพักผ่อน จะกระตือรือล้นก็ต่อเมื่อหิวจริงๆเท่านั้น ช่วยไม่ได้ อยากถูกเลี้ยงมาสบาย หากชีวิตได้ลำบากบ้างก็คงจะเปลี่ยนบ้าง แต่ก็ไม่ควรจะมีใครมาคาดหวังกับเรานัก

จริงๆแล้วการกลับไปทำงานที่ชาลิกานี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ลำบากใจอยู่ไม่น้อย มันขัดกับหลักการภายในมาก แต่ก็ถือเอาเป็นการฝึกจิตไปเสีย คิดเสียว่านี่เป็นเรื่องท้าทายกว่าการอยู่ในชุมชนที่แวดล้อมไปด้วยคนที่มีระบบคุณค่าและการมองโลกคล้ายๆกัน อย่างเช่นที่อาศรมเป็นต้น