Tuesday, December 2

เร่งรีบ...รับรู้





(อา) เก่ง.. ปิยพงศ์ ดาวรุ่ง เขียน

ในปัจจุบัน โดยเฉพาะสังคมเมือง วิถีชีวิตของเราต่างอยู่ในกระแสแห่งความเร่งรีบ ตื่นแต่เช้า รีบทำธุระส่วนตัว รีบรับประทานอาหาร รีบไปทำงาน รีบเร่งรัดงานให้เสร็จตามกำหนด รีบ..... รีบ...... รีบกลับบ้าน รีบเข้านอน จะมีสักช่วงหนึ่งไหม ที่เราจะมีเวลาสบายๆ ที่ไม่ต้องทำอะไร อยู่กับตัวเอง รับรู้ ความเป็นไปที่อยู่รอบกาย ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่เปลี่ยนแปลง สีหน้าท่าทางผู้คนที่อยู่รายรอบ และอื่นๆ ฯลฯ รับรู้ความรู้สึกของตัวเอง เศร้าใจ ดีใจ โกรธ เกลียด หงุดหงิด หรือกระทั่งรับรู้ความเป็นไปของร่างกาย อาการตึง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตามส่วนต่างๆ ความรู้สึกเหล่านี้ เคยมีโอกาสรับรู้ไหม ถ้าไม่ถึงขั้นเจ็บป่วยซะก่อน น้อยคนนักที่จะรับรู้


ผมเองก็เคยมีวิถีชีวิตแบบนั้น ปัจจุบันก็เป็นอยู่บ้าง ในภาวะที่ใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ ทำให้ไม่ได้ยินเสียงคนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งเสียงจากหัวใจและร่างกายของตนเอง และผลของความเจ็บป่วยนั้นยังคงอยู่จนมาถึงทุกวันนี้ ยามใดที่เผลอไผล ไม่ใส่ใจ ก็จะส่งสัญญาณเตือนทุกครั้งไป เราจำเป็นต้องเจ็บป่วยก่อนหรือ ถึงกลับมาให้ความสนใจ กับสิ่งเหล่านี้

“ความเจ็บป่วย” เมื่อได้ยินคำนี้เรามักจะนึกถึง ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นเฉพาะทางกายภาพ ในที่นี้อยากให้รวมไปถึง ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นทางใจไปด้วย เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อความเจ็บป่วยเกิดขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่งของ กาย ใจ และจิต ย่อมส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน เช่น เมื่อทำงานหนักจนร่างกายรับไม่ไหวต้องเข้าโรงพยาบาล ความกลัว ความวิตกกังวล ในเรื่องงานที่ยังคั้งค้างจะไม่เสร็จก็เข้ามาเยือนในหัวใจ ความหงุดหงิด ความอึดอัดที่ร่างกายไม่สามารถทำได้อย่างที่คิด เมื่อทนไม่ไหว ก็พาลระเบิดอารมณ์ไปกับคนรอบข้าง ส่งความไม่สบายใจไปให้เขาโดยไม่รู้ตัว มองย้อนกลับไป เมื่อกายเหนื่อยล้าย่อมส่งสัญญาณบอกเรา เพียงแต่เรานำพาตนเองออกจากกระแสแห่งความเร่งรีบชั่วขณะ โดยการอยู่นิ่งๆสักพัก เราก็จะรับรู้ สัญญาณที่กายส่งมา หรือแม้กระทั่งรับรู้ถึง อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ณ ขณะนั้น

การเปลี่ยนจากสภาวะเร่งรีบ มาสู่สภาวะแห่งการรับรู้สามารถทำได้ โดยทำกิจวัตรให้ช้าลง อืม.. ผมเริ่มได้ยินเสียงแย้งในใจ เช่น คนกำลังรีบมีงานด่วนจะให้ช้าได้ยังไง และอีกต่างๆอีกมากมาย ขอให้อดทนอ่านต่อไปอีกนิดนะครับ คำว่า “ช้าลง” ไม่ได้หมายถึงต้องทำอะไรช้าตลอดเวลานะครับ เราอาจใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีในช่วงเช้าก่อนเริ่มกิจวัตรประจำวันใดๆ โดยการนั่งในท่วงท่าที่ผ่อนคลาย พยายามจัดสถานที่ให้ อากาศถ่ายเท ดูแล้วสบายตา หรืออาจเปิดเพลงบรรเลง ช่วยสร้างบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย จะมีเครื่องดื่มร้อนๆไว้ด้วยก็ยิ่งดีใหญ่ ระหว่างสิบห้านาทีนี้ปล่อยให้ใจเรามารับรู้กับบรรยากาศรอบข้างที่เราได้ตระเตรียมไว้แล้ว เสียงเพลงเพราะๆ อากาศสดชื่น บรรยากาศที่มองแล้วสบายตา สัมผัสอันอบอุ่นผ่านถ้วยเครื่องดื่ม รสชาติที่แสนรัญจวนใจ พูดสั้นๆง่ายๆ ก็ สัมผัสทั้ง ๕ นั่นหล่ะครับ วางความคิดเรื่องงานไว้ก่อน ทำเพียงเท่านี้หล่ะครับ เราก็พร้อมที่จะรับมือกับความเร่งรีบที่รออยู่ตรงหน้าแล้ว

สภาวะแห่งการรับรู้ก็เปรียบเหมือนแบตเตอรี่ใช้ไปย่อมมีวันหมด การชาร์จแบตเตอรี่ก็คือการทำซ้ำๆอย่างสม่ำเสมอ บางคราทำครั้งเดียวในช่วงเช้าไม่พอ ด้วยภาวะงานที่รุมเร้า แบตเตอรี่ที่มีอยู่ถูกใช้หมดไปอย่างน่าใจหาย การชาร์จระหว่างวันก็มีส่วนสำคัญที่จะรักษาสภาวะแห่งการรับรู้ได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเหมือนช่วงเช้า เพียงใช้เวลาสั้นๆ ในช่วงเปลี่ยนอิริยาบท หรือเว้นว่างจากงาน ปล่อยวางความคิดเรื่องงานกลับมารับรู้สัมผัสทั้ง๕อีกครั้ง เท่านี้ก็เพียงพอจะรักษาสภาวะการรับรู้ได้ตลอดวันกระมัง ถ้ายังไม่พอ คงต้องชวนคนรอบข้างอีกสักสองสามคนมาทำร่วมกัน มีอยู่ครั้งนึงที่ผมมัวแต่ครุ่นคิดอยู่กับงานที่ทำ กัลญาณมิตรคนนึงก็เข้ามาทักว่า “วันนี้คุณหายใจหรือยัง?” เมื่อถูกทักอย่างนี้ก็นิ่งไปชั่วขณะ แล้วก็หัวเราะครู่ใหญ่ ขำให้กับความจมจ่อมของตนเองทำงานจนไม่รับรู้ว่าตนกำลังหายใจอยู่ นี่แหล่ะครับมีเพื่อนก็ต้องช่วยกันอย่างนี้

วิถีชีวิตที่คุ้นเคยมานาน การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งถ้ามากเกินไปอาจทำไม่ได้นาน ปรับเปลี่ยนทีละเล็กน้อย แล้วทำอยู่เป็นประจำจนคุ้นชินให้เป็นหนึ่งกับวิถีที่เป็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนจึงก่อเกิด การกลับมารับรู้เป็นพื้นฐานแรกๆของชีวิต ที่จะทำให้เราค้นพบศักยภาพอันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในตัวตนของเรา เป็นศักยภาพที่ไร้ขอบเขตและอัศจรรย์ใจยามได้พบ


ขอเชิญชวนพวกเราร่วมเปิดผัสสะแห่งการรับรู้ และเรียนรู้ศักยภาพในตัวตนไปด้วยกัน เดินคนเดียวมันเหงาครับร่วมกันเดินก็จะได้แบ่งปันประสบการณ์ที่แต่ละคนเผชิญมา เมื่อเราเตรียมฐานไว้ดีแล้ว คราวหน้าก็จะเริ่มสำรวจดินแดนแห่งศักยภาพอันไร้ขอบเขตของเรากันหล่ะ

ปล.
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อบอกกล่าวกับตนเอง ซึ่งไร้วินัยถึงขีดสุดเช่นกัน มนุษย์ก็อย่างนี้หล่ะครับสอนเค้าไปทั่ว แต่ตนเองทำไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องสร้างเครือข่ายไว้เป็นเหมือนกระจกสะท้อนตนไงครับ

แนะนำผู้เขียน
เก่งเป็นหนึ่งในกระบวนกรของสถาบันขวัญเมือง เชียงราย ชีวิตแปรผันจากร้านทองสู่เส้นทางแห่งการค้นหา สร้างสรรค์พื้นที่แห่งมิตรภาพและการเรียนรู้ตลอดชีวิต

Posted by Picasa