วันแห่งการเดินทาง บนถนนมิตรภาพ จุดหมายที่จังหวัดสระบุรี
เล่าโดย Steave Lexington
เราได้นัดเจอกันในร้านกาแฟ black canyon ท่ามกลางความวุ่นวายในเมืองหลวง เพื่อจะเดินทางพร้อมกัน การเดินทางครั้งนี้ ผมมีเพียงกระเป๋าเสื้อผ้าใบเล็กๆเท่านั้น เราออกเดินทางตอนสี่โมงเย็น โดยมีณัฐชายหนุ่มร่างใหญ่เสียงเพราะเป็นผู้นำทีม น้องผู้หญิงที่ดูอบอุ่นเป็นคนต้อนรับ และเก่งชายหนุ่มมาดสุขุมเนิบๆเป็นคนคอยดูแลความสะดวกให้กับทุกคนใน ทริปนี้ ผมได้เจอพวกเขาพร้อมกันตอนขึ้นรถ น้องก็ได้ถามผมก่อนเลยว่า “กระเป๋าเสื้อผ้าพี่ตู่อยู่ไหนคะ” ผมก็ยกกระติกน้ำแข็งให้น้องดู และก็บอกว่า “นี่ไง เสื้อผ้าพี่อยู่ในนี้ครับ” หลังจากพูดจบ ผมเห็นน้องแอบหัวเราะนิดหน่อย
ขณะที่เราเดินทางไปบนรถ สู่ถนนมิตรภาพ เรายังไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ เพราะต่างคนก็ต่างพักผ่อน พักสายตากัน ส่วนผมนั่งอยู่ท้ายรถ เฝ้ามองดูทุกคน ในสมองผมก็มีความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมาว่า “หลับเถอะเพื่อนรัก ฉันจะคอยดูแลเธอเอง ในยามที่เพื่อนหลับตา เพื่อนจะปลอดภัยจากทุกอย่าง เพียงแค่ใว้วางใจ ฉันจะเอาหัวใจและความรักทั้งหมดที่ฉันมี เป็นกรอบป้องกันเธอจากภัยอันตรายทั้งปวง” พอผมพูดกับความรู้สึกในตัวเอง ในไม่ช้าผมก็หลับตามเพื่อนทุกคน ด้วยความวางใจในตัวเพื่อนเช่นเดียวกัน นี่อาจเป็นสันดาน เอ้ย สัญญาณอย่างหนึ่งของการเป็นขบวนกร
ถึงที่พักประมาณหกโมงเย็น ท่ามกลายสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก เราผู้ชายสามคนพักด้วยกันเป็นบ้านแฝด ผมนอนกับเก่ง ส่วนณัฐนอนคนเดียวในห้อง ด้วยเหตุผลที่บอกว่า “ไม่รู้ว่าคืนนี้ ผมอาจจะมีเพื่อนแสนสวยมานอนด้วย พี่ตู่นอนกับเก่งนะครับ” น้องนอนบ้านอีกหลังหนึ่งอยู่ติดๆกัน ทุกอย่างเราได้การต้อนรับเป็นอย่างดี จากทีมงามของ โรงพยาบาลดอนพุด ชื่อ คุณศรัณญา เป็นคนจัดงานการทำ workshop ครั้งนี้ พอเราเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้ว ก็ไปที่ห้องอาหารกินข้าวเย็นด้วยกัน ผมรู้สึกตื่นเต้นกับอาหารบนโต๊ะมาก มีกับข้าวอยู่เต็มโต๊ะแทบจะไม่เหลือพื้นที่ให้วางจานข้าว
เราใช้เวลาเกือบสองชั่วโมงในการกินข้าวมื้อนั้น เพราะเวลาที่ผมจะตักกับข้าวแต่ละครั้งต้องใช้เวลาคิดดูก่อนว่า ผมต้องการอะไร แกงส้มชะอมทอด น้ำพริกกะปิ ผักสด หน่อไม่ฝรั่งใส่กุ้ง หมูมะนาว ยำมะเขือเผา ปลาทู อย่างว่านะครับ ชีวิตผู้ชายอย่างผมมันคุ้นชินกับอาหารจานเดียวตลอดมา เมื่อมาเจอแบบนี้ก็อดตื่นเต้นไม่ได้
ค่ำคืนแรกเรานั่งคุยกันที่ โต๊ะรับแขกข้างหน้า ด้วยการดื่มวิสกี้และ การพันบุหรี่สูบของณัฐ ที่เป็นบุหรี่ที่ดีที่สุด ผมได้แต่นั่งฟังเรื่องราวที่พวกเขาได้ไปทำกันมาในแต่ละที่ และหน้าที่ของแต่ละคน เป็นเพราะผมไม่ค่อยได้ไปกับพวกเขา เลยไม่มีเรื่องให้เล่าเท่าไหร่ แต่ก็มีบุคคลหนึ่งที่น่าสนใจ ในลักษณะการทำงานของเขา คือตั้ม ชายหนุ่มนักภาวนา เราเคยเจอกันแล้ว แต่ยังไม่เคยเห็นการทำงาน และเราก็ยังไม่เคยได้คุยกันเรื่องความคิดจริงๆ ได้ยินเสียงกลองตี บอกว่าห้าทุ่มแล้ว พวกเราก็จัดแจงแยกกันไปนอน เพื่อเก็บแรงเอาไว้ทำงานพรุ่งนี้ แต่กว่าจะนอนได้ผมเห็นณัฐ มันคุยกับท่อนเหล็กที่อยู่ในมือนานที่เดียวกว่าจะเข้านอนได้ ส่วนผมก็หลับไปกับเสียงของน้ำตกที่อยู่ข้างหลังห้อง และเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่มันนอนดิ้นไปดิ้นมาบนผ้าห่มค่อกแค่กๆทั้งคืน ไม่รู้มันจะดิ้นหาอะไร
เจ็ดโมงเช้า พวกเราก็ตื่นขึ้นมาเพื่อไปทานอาหารเช้าพร้อมกัน โดยชีวิตปกติของผม เป็นคนตื่นสาย และก็ไม่เคยต้องทำอะไรพร้อมๆกัน แต่การมาอยู่ร่วมกันนั้น เวลาจะกำหนดให้เราต้องทำทุกอย่างไปพร้อมกันเสมอ หลังจากนั้นเราก็ไปช่วยกันเตรียมห้องประชุม จัดเครื่องเสียง แส่งไฟ เวที อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการสอน ฉาก แม้กระทั่งที่นั่งของผู้เข้าร่วม แค่ปูผ้าขาวลงกับพื้น ยกโต๊ะเก้าอี้ออกก็เป็นอันเสร็จ
เก้าโมงเช้า ทุกคนก็มาพร้อมกันที่ห้อง เป็นพนักงานในโรงพยาบาล ดอนพุด ทั้งหมดสี่สิบคน มีตั้งแต่หมอ พยาบาล ผู้ช่วย คนทำความสะอาด คนเฝ้ายามที่ไม่เคยเหงา เพราะมีทีวีเป็นเพื่อน คนจูงเปล พนักงานขับรถ ฝ่ายการเงิน ส่วนผู้ป่วยนั้นมันอยู่ในทุกคน แล้วเราจะทำหน้าที่ดูแลพวกเขาเอง ด้วยความรัก เมตตา และชื่นชม ในความหมายของ สุนทรียสนทนา
เราเริ่มแนะนำตัวกันที่ละคน โดยมีณัฐเป็นคนเริ่มต้นก่อน ได้พูดถึงความหมายของ การอบรมครั้งนี้ และความหมายของคำว่า สุนทรียสนทนา ให้ทุกคนเข้าใจ โดยคร่าวๆ หลังจากนั้นก็จะเป็นน้อง ซึ่งก็บอกเกี่ยวกับกิจกรรม ที่เราจะมีขึ้น อีกคนหนึ่งคือเก่งน้องเล็กของเรา ก็จะพูดถึงความรู้สึกยินดีที่ได้มาพบทุกคนที่นี่ ส่วนผมนั้นตอนแรกก็ยังไม่รู้จะแนะนำตัวเองอย่างไรดี แต่พอณัฐแนะนำผมขึ้นมาก็ทิ้งคำใว้ว่า “พี่ตู่เป็นนักแต่งเพลง และนักเดินทางแห่งชีวิต ที่มีเรื่องราวต่างๆน่าสนใจ เชิญพี่ตู่ครับ”
ผมเลยแนะนำตัวต่อจากประโยคของณัฐทันที โดยการเล่าเรื่องการเดินทางในอเมริกา และได้พบความเจ็บป่วย และเจ็บปวดจนเกือบตาย แล้ววันหนึ่งผมก็กลับฟื้นขึ้นมาใหม่ พร้อมกับชีวิตใหม่อีกครั้ง ด้วยมิตรภาพและความรักจากผู้คน ทั้งหมอ พยาบาล และเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อณัฐ ที่คอยให้กำลังใจ ความเป็นห่วง ความหวัง ทุกๆอย่าง จนผมกลับมีชีวิตขึ้นอีกครั้งหนึ่ง” นี่เป็นประโยคแรกที่ผมได้แนะนำตัวเอง กับผู้คน และผมก็รับรู้ได้ทันทีว่า ทุกคนก็ต้อนรับผมเข้าไปในหัวใจของพวกเขา
ในช่วงเช้าณัฐสอนเกี่ยวกับบันไดห้าขั้น สู่ความสำเร็จในการทำงาน ตอนบ่ายก็เริ่มด้วย การนอนพักผ่อนปล่อยวางทุกอย่างให้อิสระ โดยการขับกล่อมด้วยเสียงเพลงเบาๆประกอบกับ เสียงของเก่งที่จะบอกให้ทุกคนล่องลอยไปในห้วงแห่งการพักผ่อนครั้งนี้ หลังจากนั้นณัฐก็จะสอนพวกเขาเกี่ยวกับเรื่อง สี่ทิศ มีอินทรี กระทิง หนู หมี เพื่อทำความเข้าใจว่า แต่ละคนจะมีบุคลิกอย่างไร และควรจะทำความเข้าใจอย่างไร ถ้าเราต้องเจอ กับทิศที่แตกต่างกัน ก่อนจะจบในช่วงบ่ายณัฐก็ให้ทุกคนที่เป็นทิศเดียวกัน และต่างทิศกัน จับกลุ่มคุยกันเพื่อทำความเข้าใจ และนี่แหละทำให้ทุกคนเริ่มรู้จักการฟังซึ่งกันได้อย่างดีขึ้น
เราทานอาหารเย็นพร้อมกัน ด้วยอาหารที่เต็มโต๊ะเหมือนเดิม และน้ำพริกปลาย่าง ผมยังคงตื่นเต้นกับอาหารเหมือนเดิม จนไม่รู้จะกินอะไรก่อนดี เรากลับไปเจอกันอีกครั้งตอนทุ่มหนึ่ง น้องก็ได้เป็นคนบอกให้ทุกคนได้แบ่งกลุ่มคุยกัน โดยเฉพาะกับคนที่เราไม่ค่อยได้คุยด้วย และให้พูดถึงชีวิต ความรู้สึกอะไรก็ได้ เปรียบเหมือนการได้เปลือยตัวเองออกมา และการรับฟังอย่างให้เกียรติกัน โดยสร้างบรรยากาศด้วยเสียงเพลงเบาๆ กับแสงเทียน บรรยากาศเป็นไปได้ดีมาก จะสังเกตุเห็นได้จากน้ำตาจากทุกๆคน จนชิชชู่ที่ใช้เช็ดน้ำตานั้นหมด เก่งเลยไปเอาชิชชู่เช็ดก้นเป็นม้วน มาให้กับทุกคนแทน
ผมนั่งดูอยู่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ไอ้ห่า งานอะไรวะชอบทำให้คนร้องให้ และได้เงิน พวกเรามันซาดิสม์หรือเปล่าวะเนี่ย จนถึงประมาณสามทุ่มก็จัดการแยกย้ายกันไปที่พัก แต่ก็ยังมีอาหารอีกหนึ่งมื้อ คือ กระเพาะปลาอีกคนละชาม พออิ่มแล้วพวกเราคุยกันอีก วิสกี้ขวดเดิม แต่คืนนี้กระเป๋าเสื้อผ้าผมก็กลายเป็นกระติกน้ำแข็งให้กับทุกคน เราคุยกันเกี่ยวกับการทำงานในวันนี้ และวางเรื่องราวในวันพรุ่งนี้ต่อไป เสียงกลองดังขึ้นบอกเวลาเที่ยงคืน เราก็แยกย้ายกันนอน ณัฐก็ยังคุยกับท่อนเหล็กในมือก่อนนอนเช่นเคย
เจ็ดโมงเช้า เก่งได้ออกไปสอนพวกเขาให้รำมวย บริหารร่างกาย ที่เรียกว่า ไทชิ
แปดโมงเราทานอาหารเช้าพร้อมกัน ส่วนตัวผมแค่ตื่นเช้าก็แย่แล้ว และยังต้องทานอาหารเช้าด้วย ท้องไส้มันป่วนๆยังไงไม่รู้ พอกินเข้าไปไม่เท่าไหร่ต้องรีบวิ่งกลับมาที่ห้องแทบไม่ทัน ไขประตูห้องด้วยอาการขาสั่นพับๆ ขี้ไหลครับ พอเสร็จธุระแล้วก็เดินกลับไปผ่านห้องอาหาร รู้สึกอยากกลับเข้าไปกิน กาแฟ ใข่ดาวอีกสักหน่อยก็คงดี แต่คูปองเสือกไม่มีแล้ว เฮ้ย เก็บท้องใว้กินอาหารกลางวันเลยดีกว่า
เช้าวันนี้น้องสอนให้เดินทำสมาธิ เดินไปรอบๆห้อง ทุกคนก็เดินไปรอบๆห้องกัน แต่ลักษณะการเดิน เหมือนเดินแข่งร้อยเมตร แล้วมันจะเกิดสติ สมาธิได้ไง สักพักน้องก็สั่งใหม่ ให้เดินช้าๆลง คราวนี้ก็ดีขึ้น ต่อจากนั้นน้องก็ให้เริ่มเล่นเกม walk together เกมที่ต้องสามัคคีกันเป็นสำคัญในการก้าวสู่เส้นชัย ช่วงนี้เกิดการสับสนกับคำสั่งระหว่างขบวนกรกับผู้เล่น คือ ตอนแรกให้ก้าวเท้าเข้าสู่เส้นชัยพร้อมกันทุกคน โดยเท้าข้างเดียวแต่ตอนหลังให้เปลี่ยนเป็นก้าวสองเท้าพร้อมกันทุกคน โดยไม่ให้เท้าแยกจากกัน แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะเป้าหมายคือให้ทุกคนร่วมใจเดินไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งทุกคนก็ทำผ่านไปได้ดี
พักเที่ยงเราก็ไปกินข้าวพร้อมกัน ด้วยอาหารที่มากมายเช่นเดิม กับน้ำพริกอ่อง รวมกับข้าวอีกประมาณห้าอย่าง ผมยังคงตื้นเต้นกับอาหารตามเดิม
ตอนบ่ายก็เริ่มด้วย การ body scan กับเสียงเพลง Infinity และการกล่อมด้วยเสียงการเล่านิทาน โมโม่ ภาคพิศดาร หลังจากนั้น ณัฐการเริ่มสอนเกี่ยวกับทฤษฎีตัวยู การตกสะท้อน การรับฟัง มีเงื่อนไขด้วยกันสามประการคือ สถานที่ เวลา และตัวบุคคล(อารมณ์) มักมีผลต่อการฟัง และการขัดแย้ง ต่อจากนั้นณัฐก็ให้ทุกคนแบ่งกลุ่มอีกครั้งหนึ่ง โดยตั้งหัวข้อว่า “ให้พูดถึงวัยเด็ก” พอแบ่งกลุ่มเสร็จก็มีคนตะโกนถามอาจารย์ณัฐว่า “อาจารย์ครับ เอาตอนกี่ขวบดีครับ” ผมเนี่ยถึงกับกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ แล้วณัฐก็ตอบว่า “ตอนเด็กช่วงเวลาที่รู้สึกประทับใจที่สุด ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขก็ได้ครับ”
พอถึงสี่โมงเย็นก็แยกย้ายกันกลับไปที่พักอีกครั้งหนึ่ง
มื้อเย็นกับอาหารมากมายเช่นเดิม น้ำพริกเปลี่ยนเป็นโต้เจี๊ยวหลน ผักสดยังคงเดิม ผมคงตื่นเต้นกับอาหารเช่นเดิม
หนึ่งทุ่มกลับมาพบกัน จัดให้เป็นวงกลมวงใหญ่ ให้ทุกคนได้พูดให้กันฟังอีกครั้ง อย่างนี้ละที่เรียกว่า สุนทรียสนทนา ทุกคนเริ่มเปลือยตัวเอง และเป็นการฟังให้เกียรติผู้พูดได้อย่างมากขึ้น แต่ละคนก็จะพูดเกี่ยวกับความรักของพ่อ แม่ ครอบครัว เป็นส่วนใหญ่ น้ำตามาอีกครั้งในค่ำคืนนี้ พอสี่ทุ่มเสียงกลองดังขึ้น น้องก็ให้ทุกคนได้ไปผักผ่อน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเวลาที่น้องรอคอยอยู่เหมือนกัน
อาหารอีกหนึ่งมื้อ แต่เป็นเพียงเกี๊ยวน้ำชามเล็กๆ คนละชามเท่านั้น
คืนนี้เรานั่งคุยกันไม่มาก เพราะข้างนอกเข้ามีดนตรีกัน เป็นงานของกลุ่มอื่นที่เขามาสัมมานา หรือสัมมาเลเทเมาก็คงไม่ต่างกัน เสียงดังมาก บนเวทีมีแต่ผู้หญิงสามคน ตะโกนใส่ไมค์แข่งกัน และทำท่าเต้นเหมือนสาวอโกโก้ ปลุกตัณหา เฮ้ยตัณเหียนล่างของอาจารย์ชาณเดชเสียมากกว่า คืนนี้ไม่ได้ยินเสียงกลอง แต่เข้านอนก่อน
เช้าวันนี้เก่งตื่นไปสอนรำมวยสาย มันนัดเขาเจ็ดโมงเช้า แต่ดันตื่นเจ็ดโมงครึ่ง คิดดูแล้วกัน มันจะเป็นอย่างไร มันเริ่มใส่เสื้อผ้าทันทีและหายใจแรงๆพร้อมกับพูดว่า “อุ้ยตื่นสาย ทำยังไงดีเนี่ย เขาจะรอไหม ทำยังไงดี ตื่นสาย” พูดซ้ำๆ แต่ก็รีบออกไปน่าเห็นใจจริงๆ
กินอาหารเช้าวันนี้ ท้องผมเริ่มรับได้ดีขึ้น ผมเดินเข้าห้องอาหาร เริ่มมีผู้คนทักทายมากขึ้น โดยเฉพาะการขอเบอร์โทรศัพท์ และอีเมล์ ผมยังไม่กล้าให้ใคร เพราะกลัวว่าจะผิดระเบียบการเป็นขบวนกร ต้องรอถามณัฐก่อน วันนี้เป็นวันสุดท้ายก่อนจะปิด workshop ในตอนเที่ยง ผมรู้สึกคุ้นเคยกับทุกคนเป็นอย่างดีแล้ว
แปดโมงครึ่งก็พร้อมในห้องประชุม ณัฐกับน้องได้ทบทวนทุกอย่างที่สอนใว้ เช่น การใว้วางใจ การฟัง การรู้จักผู้อื่น และยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ต่อจากนั้นก็ให้ทุกคนเขียนจดหมายรักของแต่ละคน ประมาณครึ่งชั่งโมง พอเสร็จแล้วก็ให้ทุกคนกลับมานั่งเป็นวงกลมแล้วอ่านให้กับทุกคนฟัง พอเริ่มไปสักสองคน น้ำตาก็เริ่มไหลกันทั่วหน้า แต่ผมก็ต้องอดกลั้นไว้เหมือนกัน เพราะเป็นขบวนกรจะต้องทำตัวให้เข้มแข๊งกว่าคนอื่นหน่อย แต่ก็ตั้งใจว่าสักคนที่สิบถ้าจะร้องให้ก็จะปล่อยมัน แต่พอผ่านไปได้สักระยะหนึ่งถึงตอน พนักงานขับรถลุกขึ้นมาอ่าน ผมทนความรู้สึกตัวเองไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ผมจะเล่าเนื้อความจดหมายโดยคร่าวๆ เขาลุกขึ้นพร้อมกับน้ำตาและเสียงสะอื้นตลอดเวลา
เขาเป็นผู้ชายที่ดูซื่อๆคนหนึ่ง “ณ.ศุภลัยปราลัย พาร์ค รีสอรท์ สุดที่รักของพี่ ขอบคุณมากที่อนุญาติให้พี่มาครั้งนี้ พี่เป็นห่วงจุ๋มดังดวงใจแม่สุดที่รัก…. ในขณะที่อ่านไปก็ร้องให้ ทั้งที่ตลอดเวลาก็จะมีเสียงหัวเราะอยู่ ก็ไม่สามารถทำลายสมาธิเขาได้เลย มันเป็นจดหมายที่เศร้าและก็ตลกในท่าทีการอ่านของเขา พอตอนจบเขาก็ยังมี ป.ล. ลงท้ายอีกว่า “จุ๋มสุดที่รัก พี่จะรีบกลับ ให้จุ๋มเตรียมแก้มตุ่ยๆของน้องเข้าใว้ พี่จะไปหอมแก้มตุ่ยๆของน้อง สุดที่รักของพี่” มันเป็นจดหมายที่น่ารักและซื่อตรงอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และมันก็ตลกมากในท่าทีการอ่าน มันเป็นความสุขและความเศร้าที่มาพร้อมกัน แต่ขอบอกว่า ทุกๆคน ล้วนทั้งร้องให้และหัวเราะกันอย่างยั้งไว้ไม่ได้ ส่วนผมวิ่งไปห้องเครื่องเสียงหลังห้อง แล้วก็หัวเราะอย่างเอาไม่อยู่จริงๆครับ ณัฐก็หัวเราะนอนกลิ้งอยู่ข้างเวที ทุกคนครับ ขอเน้นว่าทุกคนจริงๆ ผมเขียนอาจจะไม่ตลก เพราะมันต้องได้ยิน ได้เห็นพร้อมๆกัน นี่คงเป็นเหตุการณ์ที่ผมจะจดจำใว้ไม่ลืมอีกครั้งหนึ่ง พอทุกคนได้อ่านจดหมายจนครบทุกคนแล้ว ณัฐก็ให้ทุกคนได้ชื่นชมซึ่งกันและกัน ด้วยการเดินไปหากันกล่าวคำขอโทษ และชื่นชม
พอถึงเวลาที่พวกเราจะกล่าวอะไรบางอย่างกับพวกเขาบ้าง
ผมได้ลุกขึ้นพูด “ในเวลาของชีวิต ผมมักจะกับความทุกข์ ความสุขก็จะหายไป เมื่อความสุขมา ความทุกข์ก็จะหายไป มันไม่เคยมาพร้อมกัน แต่วันนี้ผมพึ่งเคยเจอความสุขและความทุกข์มันได้มาพร้อมกันได้จริงๆ วันเวลา และโลกไม่เคยเปลี่ยนแต่เราต่างหากที่เปลี่ยนไป เราสามารถเปลี่ยนอะไรก็ได้ในโลกใบนี้ แต่ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนที่ตัวเองก่อน ทุกข์ หรือสุขมันอยู่ที่ตัวคุณ และภายในจิตใจของพวกคุณ รักและเคารพอย่างกรุณา ความงดงามก็จะเกิดขึ้นทุกที่ ที่คุณเป็น ที่คุณอยู่ ขอให้พวกคุณมีความสุขกับทุกสิ่งในชีวิต” นี่คือคำร่ำลาสุดท้ายจากผม จากนั้น เก่ง และน้องก็พูดต่อ ณัฐคือคนปิดการแสดงทั้งหมดอย่างสมบูรณ์.
การอำลาโดยการถ่ายรูปร่วมกัน กอดกัน อย่างมีความสุข แต่มีอย่างหนึ่งที่ผมไม่ได้ให้พวกเขาคือ เบอร์โทรศัพท์หรือ อีเมล์ เพราะณัฐไม่ตอบอนุญาติสำหรับผม.
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
หลังจากจบงานนี้เราก็ได้พักผ่อนกันหนึ่งวัน ก่อนที่จะทำ workshop ชุดต่อไป กินอาหารมื้อเที่ยง ที่มีน้ำพริกกะปิ และกับข้าวมากมาย ผมยังตื่นเต้นกับอาหารตามเดิม พอกินเสร็จก็ไปเล่นสนุ๊กเกอร์กันสี่คน ผมเล่นเก่งที่สุด ประมาณสามโมงเย็นเราก็แยกย้ายกันไป ณัฐ น้อง และผมเขียนหนังสือ ส่วนเก่งก็จัดแจงซักเสื้อผ้า นอนหลับกันสักพัก ตอนทุ่มหนึ่ง ก็ไปกินข้าวพร้อมกัน อาหารยังมากเหมือนเดิม น้ำพริกเริ่มวนกลับมาเหมือน เดิมอีกครั้ง แต่ผมก็ยังตื่นเต้น คืนนี้เราจัดโต๊ะริมสระน้ำ นั่งคุยและเล่นไพ่กันสี่คน อยากขอโทษทุกคนด้วยนะครับ ที่ผมเล่นเก่งที่สุดอีกแล้ว คืนนี้เราสนุกกับการเกทับกันในเกมส์อย่างสนุก ถือว่าเรากำลังดูแลขบวนกรซึ่งกันและกัน ร่ำลากับน้องเพราะพรุ่งนี้น้องต้องกลับตั้งแต่หกโมงเช้า
เช้าวันนี้เราต่างคน ต่างแยกกันทำธุระของตัวเอง ผมอ่านหนังสืออย่างมีความสุข อากาศดีๆในเวลาเช้า สดชื่นที่สุด ตอนเที่ยงก็ทานข้าวอีกแล้ว แต่เรากินกันสามหนุ่ม น้ำพริกย้อนกลับเหมือนเดิม กับข้าวมากมาย แต่ผมเริ่มคิดถึงก๊วยเตี๋ยวแล้วละครับวันนี้ ประมาณบ่ายโมงอาจารย์ชาณเดชก็มาถึง ใส่เสื้อยืดสีเหลือง กางเกงสแล๊คสีดำ ผมดูไม่คุ้นเท่าไหร่กับการแต่งตัวแบบนี้ เพราะผมมักจะเห็นอาจารย์ใส่เสื้อในสีขาว และเสื้อคลุมแบบจีน กางเกงขาก๊วย สะพายดาบเต้นรำในตอนเช้าเสมอ
ช่วงบ่ายเรานั่งคุยกันในบ้าน รู้สึกบรรยากาศเริ่มมีพลังมากขึ้น สนุกในการได้พูดคุยกันมาก พอทุ่มหนึ่งกินข้าวอีกแล้วครับ ผมเริ่มไม่สนใจแล้วว่าน้ำพริกได้เปลี่ยนไปหรือเปล่า กับข้าวคงมากมาย คืนนี้เราให้เขาจัดโต๊ะริมสระน้ำ นั่งคุยกันกับวิสกี้
เรื่องราวการคุยในคืนนี้ ก็เป็นการตั้งคำถามกันเอง และการเปลี่ยนแปลงไปของแต่ละคน พวกเราคุยกันได้สนุกจนผมรู้สึกมึนวิสกี้เหมือนกัน แยกกันไปนอนเกือบตีสอง
การทำงานเริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมรู้สึกสนุกมากตั้งแต่วันแรก เพราะพวกเราต่างชัดเจนในหน้าที่ตำแหน่ง ได้ชัดเจน และยังสนับสนุนกันได้ดีทีเดียว ผมเชื่อว่าสามวันสองคืนกับการทำงานร่วมกันครั้งนี้ได้ผ่านไปด้วยสมบูรณ์ และทุกคนก็มีความสุข
เราทำทุกอย่างเป็นทีมมาก ถ้าคนหนึ่งนำ พวกเราก็จะคอยสนับสนุนตลอดเวลา เป็นอย่างนี้ตลอดจนจบงาน เรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น แต่ชัดที่สุดคือ วิถีแห่งความสุข และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของพวกเขาต่อไป
เนื้อเรื่องการสอนก็แทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงเท่าไหร่ แต่การสื่อและการสอนที่เปลี่ยนไปบ้าง เช่น เราสอนสี่ทิศโดยการเล่นละคร ณัฐจะพยายามชี้ไปที่จุดปัญหาของแต่ละคน ผมจะดูแลเรื่องของอารมณ์ ทั้งเปิดอารมณ์รับและกล้าถ่ายทอดออกมา
อาจารย์ชาณเดชก็จะสรุปเรื่องได้อย่างเด็ดขาด เก่งจะสนับสนุนพวกเราทุกอย่าง ณัฐสรุปทั้งหมดอีกครั้งเพื่อความเข้าใจทั้งหมด
ในสองวันหลัง ผมเริ่มไม่ค่อยสนใจอาหารเท่าไหร่แล้ว น้ำพริกอะไรกินก็ยังไม่รู้ เริ่มกินไปเรื่อยๆ และใช้เวลาน้อยลงมาก
เช้าวันสุดท้ายก่อนปิดการอบรมครั้งนี้ ก็ให้ทุกคนได้มาพูดความรู้สึกกันอีกครั้ง ด้วยการทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน ก็เป็นไปได้ดีและสมบูรณ์เช่นกัน การร่ำลาครั้งนี้ผมพูดมาพอสมควรแต่จุดสุดท้ายก็พูดว่า “ผมเปรียบเสมือนงานคอนเสริท ทุกครั้งที่ผมเล่นเพลงสุดท้ายบนเวที แต่ผู้ชมก็ไม่ยอมกลับ และพากันตบมือเรียกให้พวกผมขึ้นมาเล่นอีกครั้ง แต่การแสดงครั้งนี้ ถึงผมจะเล่นเพลงสุดท้ายแล้ว แต่ผมก็ไม่อยากจบ อยากจะเล่นต่อไปเรื่อยๆ ถ้ามีผู้ฟังอย่างพวกคุณอย่างนี้ และหวังว่าคงได้เจออีกครั้ง ในดอนพุด อินคอนเสริท กับพวกเราอีกครั้ง”
ทุกคนให้ความศรัทธา ความรัก และชื่นชมพวกเราเป็นอย่างมาก นี่แหละคือความสำเร็จและความสุข ของพวกเราจริงๆ หลายคนอยากติดต่อกับผมอีก ครั้งนี้ผมไม่รออะไรแล้ว จัดแจงเขียนเบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ ลงบนบอร์ด ตัวใหญ่ พร้อมลงท้ายว่า
“ผมจะระลึกถึงทุกคนตลอดไป” ร่ำลาด้วยการถ่ายรูปร่วมกัน ขอบคุณในสิ่งที่เราให้น้ำตาแห่งความสุข รอยยิ้ม เรากินอาหารเที่ยงพร้อมกันอีกครั้ง น้ำพริกอะไรผมไม่รู้ กับข้าวยังมากมาย แต่ผมกินไม่ลงแล้วครับ ได้แต่นั่งมอง อยากกลับไปกินอาหารจานเดียวขอผมต่อไปดีกว่า ขอให้มีความสุขในชีวิตกันมากขึ้นทุกคนนะครับ.
----------------------------------------------------------------------------------------------------
1 comment:
พวกเรายังระลึกถึงวันที่ได้คุยกันอยู่เลย แม้จะผ่านมา 1 ปี กับ2 เดือน มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี หลายคนเอากลับมาใช้กับตัวเอง ครอบครัว และผมเอามาใช้กับองค์กรด้วย เปลี่ยนแนวคิดการทำงาน ยืนบนความรู้สึกร่วมสิ่งที่ดีที่มีอยู่ในทุกตัวตน ดึงออกมาทำงานร่วมกัน ไม่ยึดติดกับการชี้วัด ตัวเลข ผลคือได้รับควาสุขในการทำงาน ความขัดแย้งก็ยังมีอยู่แต่ไม่มากแล้ว อาจเพราะขาดการคุยกันบ้างในช่วงหลัง และผลอีกอันที่ตามมาโดยอัตโนมัตินอกจากความสุข ก็ผลงานที่เราหยิบจับได้เพราะมาจากสิ่งที่เราร่วมคิดร่วมสร้างและไม่ต้องสนใจว่าเขาจะประเมินอะไร เพราะเรารู้จักตัวเราและนำเสนอในสิ่งที่เป็นสอดคล้องกับที่เขาต้องการดูได้
Post a Comment