Sunday, February 15

จาริกสู่ต้นธารชีวิต




เราร่วมกันเดินทางสู่พื้นที่อารธรรมต้นน้ำ
ที่บ้านหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย (๔-๘ ก.พ.๕๒)
กลุ่มเราเล็กๆกำลังดี ได้พูดคุยกันไป เรียนรู้จักกันไป
ใช้เวลาอยู่หมู่บ้านหนึ่งวัน แล้วเข้าไปอยู่ร่วมกันในป่าอีก ๑ วัน
อยู่วิเวกลำพังกับธรรมชาติ แบบต่างคนต่างอยู่ (แต่ไม่แยก)อีก ๑ วัน
กลับออกมาพร้อมเรื่องเล่าสะท้อนตัวตนและสิ่งที่ได้รับจากธรรมชาติ
โชคดีที่เป็นช่วงของเทศกาลปีใหม่ของปกาเกอญอ
พวกเราเลยได้เข้าร่วมพิธีกรรมที่อบอุ่นนั้นร่วมกัน ยิ่งมีการเวียนจอกสุรามงคลก็ยิ่งอบอุ่นไปใหญ่
เพื่อนเราคนหนึ่ง ทิมมี่ได้เข้าไปร่วมกับหลายบ้านจนเกือบครบ ๑๙ หลังคาแล้ว
แล้วจะค่อยๆเล่าเรื่องราวมาอีกนะครับ

Monday, January 26

สนทนาเทวาน้อยๆ

 

 

 


สนทนาเทวาน้อยแห่งนม

เยเช "เออ..นี่ โมโม่ มาคุยกันหน่อยสิ ไม่ได้เจอกันซะหลายวันเลย เป็นงัยบ้าง"

โมโม่ "ก็ดีนะ ช่วงนี้อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ดี เมื่อเช้าเสิร์ฟนมให้ สายๆ อาหารว่างก็นม เมื่อเที่ยงนี้ก็นม ของเธอล่ะเป็นงัย"

เยเช "ดีจัง ของเรา ช่วงนี้ก็นมทุกมื้อแหล่ะ พวกผู้หญิงโตๆเขาพูดกันซะหนาหูว่าต้องรักษาหุ่น เราว่าใช้ไม่ได้สำหรับเราว่ะ"

โมโม่ "นมแก้ปัญหาได้ทุกอย่างแหล่ะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความหิวโหย ปัญหาปากท้อง
อารมณ์ หรืออาการเซ็งการเมือง นมแม่แก้ได้ทุกอย่าง"

เยเช "เราว่าน่าจะแก้ปัญหาจิตวิญญาณของคนยุคนี้ด้วยนะ พ่อพวกเราน่าจะพาคนภาวนาด้วยนมล่ะ"

โมโม่ "เห็นด้วยๆ ทุกอย่างแก้ไขได้ด้วยนมแม่จริงๆ"

....วันนี้คุณดื่มนมแม่หรือยัง...

อืม มาปะลองกำลังนมกันหน่อยไหม ใครแตะตัวอีกฝ่ายได้ก่อนชนะนะ
เอา อึ๊บ อุ๊บ ตุบตับ อ้าว ชนะทั้งคู่...

Posted by Picasa

Saturday, January 24

จิตตปัญญา...จ๊าบๆ

 

 

 

 


เมื่อสิ้นปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสร่วมทีมกับตั้ม วิจักขณ์ พานิช และอ.ฌานเดช พ่วงจีน ในการทำกระบวนการเรียนรู้แบบจิตตปัญญาศึกษาให้กับกลุ่มแกนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา สิ่งที่น่าประทับใจมากคือการได้มองเห็นประกายไฟแห่งการเรียนรู้ได้ปะทุขึ้นจากการได้ค้นพบตัวเองและค้นพบมิตรภาพที่ดีงาม หลังจากกลับจากงานสัมนา ๓ วันที่สวนสายน้ำ ก็มีการจัดกิจกรรมพบกลุ่มกันอย่างต่อเนื่องเพื่อดำรงวิถีทางของมิตรภาพที่หล่อเลี้ยงกระบวนการเรียนรู้ด้วยใจที่ใคร่ครวญในหมู่นักศึกษาที่เข้าร่วม

เนื่องจากการเรียนรู้นั้นทำให้เกิดการยอมรับและชื่นชมในความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด ที่ไปที่มาของชีวิต ความเชื่อ โลกภายในของแต่ละคนที่เปิดรับโลกของผู้อื่นก็ขยายใหญ่ขึ้น ไม่คับแคบอีกต่อไป เมื่อเรื่องราวของแต่ละคนไม่ได้ด้อยค่าไปกว่าตำนานอันยิ่งใหญ่ที่ร่ำเรียนกันมาในสังคม ผู้เรียนจึงสำนึกถึงคุณค่าของตนและรากเหง้าของชีวิต และยังรับรู้สถานภาพของการเป็นผู้สร้างสรรค์เรื่องเล่า ตำนาน โลกที่ตนปรารถนาได้บนฐานของความอ่อนน้อมถ่อมตน

นับว่าเป็นข่าวดีที่ได้เห็นความริเริ่มจากนักศึกษาเองที่มองเห็นประโยชน์ของจิตตปัญญาศึกษา Contemplative Education
และนี่ก็ถือได้ว่าเป็นประกายของความหวังที่คนรุ่นใหม่จะกลับมาสนใจเรื่องของตัวเองและโลกอย่างตื่นรู้ซื่อตรง อันเป็นแนวทางดั้งเดิมของการศึกษา เพื่อเติมเต็มความศักยภาพของมนุษย์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไป โดยไม่จำเป็นต้องอิงรูปแบบ ความเชื่อหรือภาษาเป็นของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เพราะในยุคสมัยที่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมกำลังเรียกร้องให้สังคมตื่นจากความเป็นพวกพ้องนิยมหรือศาสนนิยมมาสู่พื้นที่ร่วมของประสบการณ์ในความเป็นมนุษย์ การพัฒนาทางจิตวิญญาณก็ยิ่งต้องการวิถีทางที่หลากหลายในการเข้าถึงความแตกต่างหลากหลาย โดยเฉพาะวิธีการที่ไม่จำกัดตัวเองอยู่เพียงแค่วิธีการหรือชุดภาษาใดชุดภาษาหนึ่งเท่านั้น

แม้กระนั้น ผมก็ไม่ได้ต้องการให้ชาวพุทธเลิกละการใช้ศัพท์แสงแบบพุทธๆ เช่น สติ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่เนื่องจากว่าบ้านเราเป็นสังคมพุทธ ที่มีชาวพุทธเป็นเสียงส่วนใหญ่ ทำอย่างไรเราจึงจะมีภาษาหรือการอธิบายแบบอื่นๆที่ทำให้ผู้ปฏิบัติในแนวความเชื่ออื่นๆได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงของชีวิตได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เพราะตัวประสบการณ์ตรงนี้ต่างหากที่มีคุณค่าในการแบ่งปันและเรียนรู้ ตัวภาษาเป็นเพียงเครื่องมือในการอธิบายประสบการณ์ของชีวิตเหล่านี้

แม้แต่คำว่า contemplative education เองก็มีความหมายที่ไม่มีนัยยะของศาสนา หากเป็นกระบวนการเรียนรู้ด้วยการใคร่ครวญอย่างแยบคาย เป็นการน้อมรับประสบการณ์ชีวิตและกระบวนการเรียนรู้เข้ามาตน เพราะคำฝรั่งคำนี้ก็เกิดขึ้นมาในสังคมที่ต้องการรับมือกับความหลากหลายในการพัฒนาจิตวิญญาณที่มีอยู่ในสังคมตะวันตก แม้แต่ในชุมชนวิทยาศาสตร์เองก็มีวิถีของการใคร่ครวญ ทบทวน สืบค้นเพื่อความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งลงไปเกี่ยวกับชีวิตและจักรวาล

ยิ่งในช่วงนี้เราจะเห็นว่ามีกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาจำนวนไม่น้อยที่กำลังได้รับความนิยม เพราะเข้าถึงได้ง่าย และช่วยทำให้เกิดความเข้าใจในตนเองได้อย่างง่าย ไม่ว่าจะเป็นนพลักษณ์ ศิลปบำบัด การสร้างสรรค์ชุมชน การสื่อสารอย่างสันติ การเป็นคนกลาง สุนทรียสนทนา การเตรียมตัวตายอย่างมีสติ สัมผัสพลังแห่งการตื่นรู้ เป็นต้น

ทั้งนี้ ผมยังคิดมรดกในศาสตร์และศิลป์ว่าด้วยการพัฒนาด้านจิตวิญญาณของบ้านเรานั้นมีรากฐานที่มั่นคงหนักแน่นในสายของพระอริยเจ้าที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในสายวัดป่าต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วไปอย่างไม่โฆษณาตัวเองตามส่วนต่างๆของประเทศ และยังคงเป็นที่พึ่งให้กับผู้ที่สนใจในด้านนี้ ดังที่ผมได้รับฟังเรื่องเล่าของอ.ประภาภัทธ นิยม ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยอาศรมศิลป์ ที่ได้การเดินทางไปแสวงหาและเรียนรู้กับพระอริยะถึง ๑๕ รูปในภาคอิสาน

อย่างไรก็ตาม สำหรับบริบทของสังคมที่รวดเร็วและหลากหลายนี้ ผมคิดว่าการสร้างสรรค์ทางเข้าสู่การฝึกตนหรือการเรียนรู้ด้านในที่หลากหลายหนทางยังคงมีความสำคัญไม่น้อย

Posted by Picasa

ครอบครัวพ่อแม่

 



ในสิ่งที่เราแคร์ที่สุด ห่วงใยและใส่ใจที่สุด เราจะค้นพบพลังของความเปราะบางและศักยภาพแห่งการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง
เพราะความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างพ่อแม่ลูก เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวและส่งผลต่อความสุขความทุกข์ของผู้คนจำนวนมาก (แม้จะไม่ใช่ทุกคน)

เมื่อพ่อแม่ได้มาหันหน้าเข้าหากัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของการเลี้ยงดูลูก และหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ระหว่างคนใกล้ตัว
บรรยากาศการอยู่ร่วมกันจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกของหัวใจ เมื่อเราสัมผัสถึงความเปราะบางที่มีอยู่ภายในตัวเราทุกคน เราก็จะสามารถสัมผัสและสื่อสารกับความเปราะบางที่อยู่ในตัวลูกของเราและคนรักของเราด้วย

สิ่งเหล่านี้เป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนได้ ทำให้เราสามารถสื่อสารถึงกันและกันอย่างกรุณา ไม่เบียดเบียน ทำร้าย
เพราะเราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนปรารถนาที่จะช่วยเหลือให้คนที่เขารักมีชีวิตที่เป็นสุข หากเขาสามารถรับรู้ความต้องการหรือ
ความปรารถนาที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้ เขาย่อมสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือในการเติมเต็มความปรารถนานั้นให้เป็นจริงได้

โรงเรียนพ่อแม่ เพลินพัฒนา ครั้งที่ ๓ ได้จัดไปในช่วง ๑๙-๒๑ มกราคม ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับจากคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างดี ในยุคที่ตำราการเลี้ยงลูกให้เก่ง ดี ฉลาด นั้นเต็มหิ้งร้านหนังสือ การกลับมาเอาลูกและเราเป็นหนังสือเล่มหลักบนพื้นฐานของความไว้วางใจในศักยภาพการเรียนรู้และ การพัฒนาตัวเองตลอดเวลาของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ นับเป็นเรื่องที่สำคัญและท้าทายอย่างยิ่ง

ครั้งต่อไป จะมีการจัด รร.พ่อแม่ สำหรับบุคคลทั่วไป ในวันที่ ๓๑-๑ ก.พ. ๒๕๕๒ นี้ ที่ห้องประชุม ชั้น ๒ บ้านพักคริสเตียน ศาลาแดง ๒ สีลม สนใจติดต่อได้ที่ ครูณา 081-813-5195
Posted by Picasa

Thursday, January 15

อำลาคุณปู่แห่งขุนเขา

 


คุณปู่แห่งขุนเขา Arne Naess จากเราไปเมื่อวานนี้ คุณปู่เนสคนนี้เป็นนักปรัชญาชาวนอร์เว แกเป็นคนชอบป่ายปีนเขาและรักธรรมชาติเป็นชีวิตจิตใจ
เป็นอาจารย์สอนทางปรัชญาที่จบปริญญาเอกด้านปรัชญาที่มหาวิทยาลัยออสโล นอร์เว ตอนอายุเพียง ๒๗ ปี
เขาได้รับแรงบันดาลใจจากการสัมผัสกับธรรมชาติและเป็นผู้ริเริ่มใช้คำว่า นิเวศวิทยาแนวลึก (Deep Ecology)
คนหนุ่มสาวมักจะชอบมาพบปะพูดคุยกับคุณปู่อย่างเป็นกันเองตามร้านกาแฟ ในช่วงที่ท่านเดินลงมาในเมือง จากบ้านพักบนเขา
นิเวศวิทยาแนวลึก มองว่าธรรมชาติไม่ได้เป็นเพียงทรัพยากรที่ตอบสนองความต้องการที่ไม่จบสิ้นของสังคมมนุษย์ หากเป็นโลกแห่งชีวิตที่มีคุณค่าและปัญญาในตัวเองที่ยังคงวิวัฒนาการสืบต่อไป และตัวเราเองที่เป็นมนุษย์ก็เป็นผลลัพธ์หนึ่งของกระบวนวิวัฒนาการที่สลับซับซ้อนในความหลากหลายทางชีวภาพนี้
ในมุมมองของคุณปู่เนส ถือว่าในระบบนิเวศทุกอย่างมีคุณค่าในตัวเอง (แม้ไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจก็ตาม) ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นธุลี หรือ ไม้เนื้อแข็งราคาดี ต่างมีคุณค่าต่อกันและกัน
แต่ก็ไม่ได้มองอย่างสุดโต่งว่ามนุษย์ไม่ควรหยิบยืมหรือแสดงหาที่พึงจากธรรมชาติในการพัฒนาสังคมเมือง แต่พึงมองเห็นธรรมชาติว่าเป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีเงื่อนไขจำกัด
มุมมองนิเวศวิทยาแนวลึกได้กระตุกกระตุ้นให้เราได้กลับมาคิดว่าถ้าเราไม่เอาอารธรรมมของมนุษย์เป็นศูนย์กลางอีกต่อไป แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบนิเวศทั้งหมด
เราอาจต้องจำกัดการพัฒนาให้อยู่ในปริมาณที่ไม่ทำร้ายกันและกัน ซึ่งในแต่ละท้องถิ่นก็จำต้องแสวงหาคำตอบนี้ให้กับตนเอง
ผมขอร่วมไว้อาลัยกับการจากไปของดวงวิญญาณอันเก่าแก่ที่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนเสียงและสิทธิ์ของชุมชนแห่งธรรมชาติ
และขอให้ท่านพบกับสันติภาพในหนทางสู่ชีวิตเบื้องหน้าด้วยเทอญ
Posted by Picasa

Tuesday, January 13

กลมกล่อมตัวน้อยๆ

 


กายใจในตัวนิ่มเป็นหนึ่งเดียว
เฝ้าสะท้อนกลมเกลียวกับโลกา
ไม่แบ่งแยกตัดส่วนด้วยภาษา
เป็นเทวาตัวน้อยๆให้เชยชม
Posted by Picasa

Thursday, January 8

รำพึงมากับลมฝน

25 ธค.51
โดย นารีแดง

ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน นั่งมองสายฝนฟุ้งขาวพรมใบไม้ใบหญ้าและฉากอาคารเบื้องหน้า
สวย สดชื่น ไม่ชัดตา
บางครั้งความแจ่มชัดก็ทำให้เรารู้สึกถึงความสวยอีกแบบ อบอุ่นใจไปอีกแบบ
แต่ความไม่ชัด ในขณะนี้ เวลานี้ ก็สวยดี
ไอฝนอาจจะทำให้เราเหน็บหนาวและไม่มั่นคงอยู่บ้าง แต่จะเป็นไรไป
จะเป็นไรไป...ใช่ไหม


I do in love with life…เรากำลังลุ่มหลงในชีวิต
ลองค่อยๆขยับขยายหัวใจให้กว้าง แล้วจะไม่มีอะไรที่เรารับไม่ได้ ไม่มีอะไรน่ากลัวเกินไปสำหรับใจ
คนเราเป็นโลก โลกหนึ่งเสมอ อยู่ที่ว่าในโลกใบนั้น เราบรรจุอะไร แล้วเราเปิดรับอะไร
ที่ผ่านมา โลกของเรามีอะไรบรรจุ อัดแน่นเสียจนเต็ม เต็มไปด้วยแรงใฝ่ฝันปรารถนา เต็มไปด้วยความคาดหวังนานา เมื่อเราลองขยับขยายพื้นที่ของใจ พื้นที่ในโลกใบหนึ่งนี้ดู เราพบว่ามันมีอะไรเพิ่มเติมขึ้นได้ รับอะไรเพิ่มได้มากมายยิ่งนัก

รับคำติฉินนินทาก็ได้ รับความเห็นข้อแนะนำที่บั่นทอนกำลังใจ ความเห็นที่ดูสวนทางและตัดรอนความหวังของเราได้ รับความหวาดระแวงแคลงใจ และความไม่พึงพอใจ ได้ทั้งสิ้น

รับนะคะ รับและดูด้วยความใส่ใจ พิจารณาและวางลงไป
ไม่จำเป็นที่ต้องกักเก็บ ไม่จำเป็นที่ต้องกอดรัดมันไว้
แต่ก็อย่าละเลย เมินเฉย หรือปิดประตูใส่

โลกใบนี้จะได้มีอะไรที่หลากหลาย มีวัชพืช มีแบคทีเรีย มีไส้เดือนและหนอนน้อยที่ช่วยให้ชีวิตอื่นได้สมดุล
ดอกไม้งามได้อย่างไร หากปราศจากมูลสัตว์และแดดจ้า
ดวงตาจักรับรู้เพียงแสงแดดโดยไม่รู้จักเงาทาบทาได้ กระนั้นหรือ

ชีวิตในอุดมคติ

เครือข่ายโ ร ง เ รี ย น พ่ อ แ ม่

ชี วิ ต ใ น อุ ด ม ค ติ


โดย พระไพศาล วิสาโล และทีมงานเครือข่ายโรงเรียนพ่อแม่

๒๐-๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
ณ สวนธรรมหาดเสลา อ.เก้าเลี้ยว จ.นครสวรรค์
ด้วยความสนับสนุนจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์

มนุษย์เกิดมาด้วยหน้าที่หลากหลายต่างกัน แต่ละผู้คนเลือกหนทางในการดำเนินชีวิตต่าง ๆ นานา ตามบทบาทหน้าที่ของตนบ้าง หรือหลงลืมบทบาทหน้าที่ของตนบ้าง หรือไม่คิดถึงเป้าหมายใด ๆ ของชีวิตเลย จะอย่างไรก็แล้วแต่ สุดท้ายการเดินทางของชีวิตก็มุ่งสู่ความสุขที่แต่ละผู้คนคิดหวังไว้กับชีวิตว่า เขาและเธอต้องการความสุขเยี่ยงไรในชีวิตของตน มีหลาย ๆ คนที่ค้นพบวิถีแห่งการดำเนินชีวิตที่นำพาตนไปสู่ ชีวิตในอุดมคติ ได้ แต่ยังมีอีกมากมายนั้นที่ยังไม่ค้นพบหรืออาจไม่เคยเฝ้าหาคำตอบให้กับตนเอง มักมีคนตั้งคำถามว่า “คนเราเกิดมาทำไม ชีวิตมนุษย์ มีความหมายหรือไม่ อะไรคือคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตมนุษย์ ทำอย่างไร เราจึงจะดำรงชีวิตอย่างมีความหมายและสมศักดิ์ศรีที่เกิดมาเป็นมนุษย์” แต่มีสักกี่คนที่เฝ้าคนหาคำตอบให้กับตัวเอง

การค้นหาองค์ความรู้ เรียนรู้กับชีวิต ตระหนักรู้ในจิตของตน ช่วยให้เรารู้จักตัวเอง ไม่ให้หลงออกนอกทางซึ่งเป็นการเกื้อกูลในการแสวงหาความหมายที่แท้จริงของชีวิต ทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันของเราเป็นไปในทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เข้าสู่ความเป็นมนุษย์ยิ่งๆขึ้นไป

เครือข่ายโรงเรียนพ่อแม่จึงขอเชิญชวนท่านมาร่วมค้นหาความหมายของการดำรงชีวิต เรียนรู้ถึงการเชื่อมโยงของสรรพสิ่งในธรรมชาติที่ส่งผลกระทบในปัจจุบัน รวมทั้งการหาความสมดุลที่เกิดจากสิ่งรอบข้างและข้อควรในการปฏิบัติที่จะค้นหาความหมายที่แท้จริงของชีวิตเพื่อไปให้ถึงชีวิตในอุดมคติ ผ่านการฝึกฝนสมาธิภาวนา เพื่อจิตใจที่เป็นอิสระ สงบ เบิกบานและเกิดปัญญา

อัตราค่าลงทะเบียน ๑,๔๙๐ บาท (รวม ค่าอาหาร และ ค่าที่พักแล้ว)
(จากปกติ ๔,๒๐๐ บาท แต่ได้รับทุนสนับสนุนบางส่วนจาก อบจ.นครสวรรค์)


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสมัครได้ที่
เครือข่ายโรงเรียนพ่อแม่ ติดต่อ
คุณอ้อ ๐๘๙-๔๓๙-๘๕๕๐ หรือ คุณหมวย ๐๘๑-๖๗๕-๔๗๔๙

Wednesday, December 17

ไป Quest ครั้งแรก




มีครูท่านหนึ่งซึ่งเป็นแรงบันดาลใจของฉัน ท่านมักจะบอกกับบรรดาเหล่าศิษย์เสมอว่า “คำถามสำคัญกว่าคำตอบ”

การไป Quest ครั้งแรกของฉัน ไม่มีคำถาม เพราะฉันไม่รู้ว่า ตัวเองไปหาอะไรกันแน่ ฉันแค่ต้องการเดินท่องไปในโลกด้านในของตนเอง กลับสู่ธรรมชาติด้านใน รื้อฟื้นสายสัมพันธ์ของตนเองกับโลกใหม่อีกครั้งด้วยสัญชาตญาน ไม่ใช่ด้วยความคิดที่มากมายของตนเอง

พี่ณัฐ ครูอีกคนของฉันพาพวกเรา ได้แก่ ฉัน และ น้องสาวอีกคน ไป Quest หรือไปวิเวก ตอนที่เฮียพาไปถึงหมู่บ้านแสนน่ารักในเวียงป่าเป้านั้นเป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว

ดูครูมีความลังเลที่จะปล่อยพวกเราเข้าป่าไปในตอนนั้น แต่ที่สุด ด้วยความไว้วางใจ พวกเราก็ได้เดินเท้าขึ้นภูเขาเข้าป่าสมใจ ฝีเท้าเราที่ก้าวขึ้นภูแต่ละก้าวสวนกันกับดวงตะวันที่กำลังเคลื่อนลงต่ำ

ฉันเปลี่ยนเส้นทางครั้งแรกเมื่อเห็นทางแยก ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นทางขึ้นหรือทางลงด้วยซ้ำ เดินไปพักหนึ่งแล้ว ฉันก็ตัดสินใจเดินกลับ เพราะคิดว่ามันน่าจะพาฉันกลับไปสู่หมู่บ้าน ไม่ได้กลับสู่ป่า ที่ฉันใฝ่หา ...ระหว่างเดินทางกลับ รู้สึกว่าไกล กว่าตอนไป และแอบรู้สึกเสียดาย เวลา ที่ออกแรงไปเล็กน้อย...อดถามตัวเองในตอนนั้นไม่ได้ว่า เส้นทางชีวิตที่ฉันเดินอยู่ตอนนี้จะเหมือนทางเส้นนี้ไหมนะ ที่สุดแล้ว ฉันอาจพบว่าไม่ใช่ แล้วก็ตัดสินใจเดินกลับ

หลังจากเข้าสู่ทางหลัก ทักทายผู้ผ่านทาง ฉันเดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆด้วยใจทะยาน เปล่า...ไม่ได้ต้องไปให้ไกลกว่าใครไหน ไม่ใช่ต้องการความภาคภูมิใจอะไร แค่อยากไป อยากรู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อยากทานกำลังตนเองว่าจะไปได้สักแค่ไหน ตั้งใจว่า ต่อให้มืดค่ำ ด้วยไฟฉายกระบอกน้อยที่มีอยู่ในมือนั้น ฉันจะลองเดินฝ่าความมืดไป

ฉันเดินไปเรื่อยๆ แสงเริ่มลดน้อยลง ฉันพบที่งามแห่งหนึ่ง เห็นครั้งแรกถูกใจ จินตนาการเกิดภาพในใจว่าที่นั้น คือ บ้าน ลังเลใจเล็กน้อยว่าจะหยุดพักดีไหม แต่ก็ตัดสินใจเดินผ่านไป เพราะฉันต้องการไปต่อ แม้ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหนก็ตาม

เมื่อฉันเดินขึ้นภูไปต่อได้สักระยะหนึ่ง มีแมลงเล็กๆสีดำบินมาห้อมล้อมหน้าตา บดบังรบกวนการมองทาง ฉันทนฝ่าแมลงฝูงนั้นรู้สึกรำคาญจนทนไม่ไหว นึกถึงคำพูดของครูพี่ณัฐว่าให้สดับสัญญานของป่าด้วย ฉันถามไปในป่าว่าจะให้ฉันไปต่อไหม เมื่อฉันลองหันหลังเดินลงไป กองกำลังแมลงนั้นก็ไม่ติดตามลงมา ฉันยืนลังเลอยู่ที่ทางขึ้น มองขึ้นไป แล้วก็ตัดสินใจเดินขึ้นอีกรอบ ต้องทดสอบ ทดลอง อีกครั้ง...จะให้ล่าถอยง่ายๆ เช่นนั้นหรือ?

แล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม ฉันถูกกองกำลังเดิมเข้าโจมตี นึกถึงคำพูดของครูพี่ณัฐแล้วฉันก็ยินยอมที่จะเคารพป่า ไม่ให้ไปก็ไม่ไป ถ้าพี่ณัฐไม่เตือนไว้ ฉันคงเอาผ้าปิดหน้าตาให้มากที่สุดแล้วก็จะดันทุรังฝ่าไป เพราะจริตนิสัยฉันมันเป็นเช่นนั้น

ฉันกลับมายังพื้นที่งามแห่งนั้น เริ่มก่อไฟ และล้มตัวลงบนผืนดิน
...ฉันได้กลับบ้านแล้ว...



ฉันรู้สึกเช่นนั้น อบอุ่น เคยคุ้นเสียเหลือเกิน นอนมองเงาไม้ในแสงสลัวของดวงจันทร์ ฉันรู้สึกเหมือนตนเองถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขนมารดา

แม้เมื่อกองไฟดับลง ฉันวางใจ ไม่ปรารถนาความอบอุ่นใดมาเพิ่มเติม

ไม่มีความคิดฝัน ไม่มีโลกอันจินตนาการสร้างเสก มีแต่ฉัน ในภาวะปัจจุบันกับธรรมชาติรอบตัว หิ่งห้อยตัวหนึ่งเดินทางมาทักทาย ฉันนึกถึงภูติน้อยในเทพนิยายวัยเยาว์ บางทีอาจจะเป็นเขานั้นเอง...ภูติเรืองแสงตนนั้น เรากล่าวทักทายกันในใจ


คืนนั้น ฉันหลับสนิท หลับลึกด้วยความวางใจ เป็นการหลับสนิทคืนแรกหลังถูกสั่นคลอนด้วยคำถาม หลังจากถูกสั่นคลอนหัวใจก่อนเดินทางมาเชียงราย


กลับจากไปวิเวก หรือ Quest มีผู้ถามว่าได้เจออะไรบ้าง ฉันตอบว่าเจอตัวเอง เห็นวิธีการเดินของตนเอง เห็นถึงความทะยานอยากและอหังการ์ของตน ฉันไม่ใส่ใจในรายละเอียดระหว่างทาง แม้เจอจุดที่น่าพัก ฉันก็ยังให้จุดหมายที่มองไม่เห็นลากพาตนเองไป..ต่อไป

เมื่อถามว่าฉันได้อะไรบ้าง ฉันคิดว่า ฉันได้กลับบ้านแล้วนะ ได้ฟื้นคืนความรู้สึกเชื่อมโยงของตนเองกับโลกใบนี้ผ่านธรรมชาติ ได้กลับมาไว้วางใจในโลกใบนี้อีกครั้ง ฉันไม่เหงา ไม่กลัว ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวแม้อยู่คนเดียวในป่า
เพราะว่า แท้จริงแล้ว ฉันไม่เคยอยู่คนเดียว.

เขียนโดย นารีแดง ผู้หญิงผู้ชอบทำตัวเป็นแม่มด เสกทุกอย่างขึ้นจากจินตนาการ
กำลังเรียนรู้โลกด้านในที่ไม่ต้องปรุงแต่ง โลกที่ไม่ต้องการมนต์คาถาใดๆ
พบว่าอัศจรรย์เกิดใหม่ขึ้นทุกวัน เพียงแค่ใช้ใจที่ใคร่ครวญ

Sunday, December 14

สยามแจม


ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงาน “สยามแจม” (Siam Jam)
วันที่ 20-24 พฤษภาคม พ.ศ.2552 ณ บ้านหินลาดใน อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย

ยุคนี้ เราเรียนกันเยอะ ทำงานกันมาก ประชุมกันก็บ่อย สัมมนาและเวิร์คชอปอีกมากมาย แต่บางครั้ง เราก็อยากได้พบกันในรูปแบบสบายๆ บ้าง ได้พูด ได้ฟัง และรับรู้เรื่องราวของกันและกันอย่างไม่ต้องหาข้อสรุปใดๆ ไม่ต้องเขียนรายงานหรือทำการบ้านส่งหัวหน้า...ก็น่าจะดี

การมาพบกันอาจทำให้ขวัญของเราอยากร่ำร้อง เริงระบำ เปล่งพลังและสีสันชีวิตออกมา แล้วปล่อยให้ใจเราได้หล่อเลี้ยงพลังชีวิตตัวเองด้วยมิตรภาพในหมู่ผู้คนที่แสวงหาชีวิตที่ดีงาม สร้างสรรค์วิถีทางแห่งความรักและเข้าใจในสังคม การได้มีโอกาสแบ่งปันเรื่องราวชีวิตการเดินทางของตัวเองและอุปสรรคที่อาจเผชิญอยู่ช่วยทำให้เกิดพลังแห่งการอยู่ร่วมและการอยู่อย่างมีความหมายได้อย่างดี งานแจมในลักษณะนี้ได้เกิดขึ้นมาก่อนแล้วในรูปแบบคล้ายๆกัน

ในงาน World Jam ปี ค.ศ.2004 ณ เมืองราศีเกศ ประเทศอินเดีย มีคนรุ่นใหม่ราว 30 กว่าคนจากทั่วทุกมุมโลกได้มาพบเจอกัน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนรุ่นใหม่ที่รับใช้สังคมและสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้เกิดขึ้น บ้างก็มาจากทิเบต ผู้ต่อสู้เพื่อปลดปล่อยประเทศของตนจากการครอบครองของจีน บ้างเป็นชาวเมารีจากนิวซีแลนด์ ผู้มีเป้าหมายชีวิตในการที่จะฟื้นฟูจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของเผ่าตน มีหญิงสาวคนหนึ่งเป็นนักข่าวชาวปาเลสไตน์ เธอมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสงคราม เสียงปืน และการทำลายล้าง จนรู้สึกว่าสันติภาพอาจเป็นเพียงเรื่องโกหก บางคนก็เป็นนักอนุรักษ์จากป่าเขตร้อนแถบเม็กซิโก ที่ทำงานอนุรักษ์พันธุ์เสือจากัวร์ที่กำลังจะสูญพันธุ์ บางคนมาจากแผ่นดินอัฟริกาที่ผู้คนจำนวนมากกำลังล้มตายด้วยโรคเอดส์ หรือแม้แต่นักแต่งเพลงแรพ ที่ใช้บทเพลงของเขาในการทำให้วัยรุ่นข้างถนนเข้าถึงวิญญาณกวี...นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของบทเรียนชีวิตที่แตกต่างหลากหลายที่เคยได้ถูกถ่ายทอดแก่คนหนุ่มสาวผ่านเวที World Jam

สำหรับคนรุ่นใหม่ชาวไทยที่มีความคิดความฝันและทำงานทางสังคมและจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะรูปแบบใด เราอยากเชิญชวนให้มาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตด้วยกัน ได้มีช่วงเวลาที่เราได้ใคร่ครวญตนเอง พัฒนาชีวิตด้านใน แบ่งปันบทเรียน และเก็บเกี่ยวเรื่องราวดีๆ และแรงบันดาลใจกลับไปหล่อเลี้ยงชีวิตของตนเอง ในงาน “สยามแจม” ที่กำลังจะเกิดขึ้นใน 20-24 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ณ อุทยานแห่งชาติดอยหลวง อ.พาน จ.เชียงราย มาร่วมร้องรำทำเพลงบรรเลงชีวิตในยุคที่สังคมต้องการการหันหน้าเข้าหากันอย่างสร้างสรรค์เถิด

วัตถุประสงค์ของสยามแจม
• เพื่อให้เกิดการพบปะสังสรรค์ในหมู่คนรุ่นใหม่ที่สนใจในการพัฒนาตนเองไปพร้อมๆ กับการสร้างสรรค์สังคมให้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีงาม
• เพื่อแลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจและเรียนรู้บทเรียนชีวิตและการทำงานจากกันและกัน

เชื้อเชิญ...เชิญชวน...บอกต่อ
คนรุ่นใหม่ที่แสวงหาคุณค่าชีวิตและหนทางแห่งการเปลี่ยนแปลงสังคมไปสู่ความดีงาม
อายุไม่เกิน 40 ปี จำนวน 30 คน

กิจกรรมในงานสยามแจม
• แจมเรื่องเล่าประสบการณ์ชีวิตและการทำงานด้านใน
• กิจกรรมนิเวศภาวนา
• เรียนรู้กระบวนการ Dialogue กับการสร้างพื้นที่ของการเชื่อมสัมพันธ์
• และกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย

สิ่งที่ควรเตรียมในการเข้าร่วม
เสื้อกันหนาว ผ้าเช็ดตัว ไฟฉาย ยากันยุง/กันแมลง ยาประจำตัว
(สำหรับเต็นท์ ถุงนอน เบาะรองนอน และผ้าพลาสติกรองนั่ง ทางทีมงานสยามแจมได้จัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว)


กระบวนกรผู้ดูแลกระบวนการเรียนรู้ในงาน
• ณัฐฬส วังวิญญู (ณัฐ)
จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนาโรปะ ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันทำงานเป็นกระบวนกรของทรานส์ฟอรั่ม มีความเชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยาเชิงลึก และมีประสบการณ์การพัฒนาด้านใน ในมิติของกระบวนทัศน์ใหม่ และเป็นตัวแทนเยาวชนไทยที่เคยได้รับการคัดเลือกเข้าร่วมงาน World Jam ปัจจุบันเป็นกรรมการงาน World Jam
• ธนัญธร เปรมใจชื่น (แม่มดน้อง)
กระบวนกรของ The Present และเป็นกระบวนอิสระ มีความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบกระบวนการพัฒนาด้านในผ่านศิลปะ กระบวนการละคร และนำพาการเรียนรู้ในวิถีแห่งพลัง พิธีกรรม และจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์

ค่าลงทะเบียนเข้าร่วม
5,000 บาท ต่อคน
ค่าลงทะเบียนนี้เป็นค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าอุปกรณ์ และค่าเดินทางรับส่งในเชียงราย ไม่รวมค่าเดินทางจากพื้นที่อื่นมาเชียงราย
*หากประสงค์ที่จะสนับสนุนทุนแก่ผู้เข้าร่วม กรุณาติดต่อที่ siamjam.th@gmail.com

ดูข้อมูลเพิ่มเติมและดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ siamjam.blogspot.com

Saturday, December 13

กลับสู่บ้าน



Education as a Spiritual Journey Part 1

"กลับสู่บ้าน"
โดย ฟางหอม

กลิ่นอายของป่า ดิน โชยมา ตั้งแต่พี่ชายของฉันพูดว่าเราจะไปวิเวกกัน
ที่ป่าแห่งหนึ่งของหมู่บ้านปกากยอ สัมภาระที่ใส่ในเป้ใบโต ถูกแบกไว้เหนือหลัง
เพื่อมุ่งหน้าสู่ดินแดนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
เส้นทางที่เปี่ยมไปด้วยธรรมชาติ ความจริง ที่ง่ายงามของสรรพสิ่ง ทำให้ฉันเหมือนหลุดลงไปอีกโลกหนึ่ง
ก่อนออกเดินทางพี่ได้ให้ผ้าพันขอ และ ภาวนาให้ฉันเดินทางอย่างปลอดภัย

เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น ฉันสิโรราบให้กับความทะเยอทยาน ความกลัว และตัวตน
จากนั้นก็ย่ำก้าวลงไป บ่ายหน้า เดินทางกลับบ้าน
..
ทางนี้เป็นเส้นทางสายเปลี่ยว เพียงเสียงใบไม้ตกกระทบ ยังสร้างความหวาดกลัว
ฉันเดินต่อไป เรื่อยๆ
หาพื้นที่ ที่เชื่อมโยง และเหมาะสมกับฉัน
ฉันพบมันแล้ว
มองลงไปข้างๆที่ฉันยืนเป็นหน้าผาสูง มีที่ราบบางส่วนที่พอจะนอนได้
ฉันนั่งลง ก่อไฟ และจัดที่นอน
อากาศเย็นเริ่มปะทะตัว

ความมืดเริ่มย่างกรายเข้ามาไกล้ทุกที
ฉันควานหาปากกา ก่อนที่จะให้ความรู้สึกและข้อความบางอย่าง ไหลลงไปในสมุดจด


" ใครบ้างที่จะฉุดรั้งดวงตะวัน
ในขณะที่ฉันพยายามก่อไฟ "


ความมืดทำให้ไฟที่ก่อแลดูลุกโชติช่วง มีเพียงเสียงไฟเผาไหม้ไม้ฟืนดังแปะๆ
ความเงียบงัน เล่าเรื่องราวมากมาย

ฉันรู้จัก "สิ่งนั้น" มากขึ้น โดยไม่ปรุงแต่ง
หูที่เงี่ยฟังอย่างตั้งใจ ทำให้รู้ว่าเป็นเพียงเสียงต้นไม้ปลิดใบไม่ใช่สัตว์ร้าย
ไม้ฟืนเริ่มมอด และ ดับ
ฉันหงายตัวนอน ขนานกับแสงจันทร์ เบื้องหน้ามีกิ่งไม้รำไร พริ้วไหวไปตามลม


ทุกอย่างก็ปลอดภัยดี ฉันคิด
ร่างกายที่เกร็ง เริ่มผ่อนคลาย
พลางขยับปากร้อง เพลงโปรด you'r have got a friend
เหมือนฉันร้องให้เพื่อนของฉัน เหมือนฉันจะบอกทุกๆสิ่งที่สถิตอยู่ ณ ที่นี้
ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน พึ่งพิง และโอบรับกันและกัน
เพลงต่อมา คือ นกสีเหลือง และต่อมาคือ แสงดาวแห่งศรัทธา เพลงที่แม่ร้องไห้ฟังตั้งแต่เด็ก
" ขอเยาะเย้ย ทุกข์ยากขวากหนามลำเข็ญ คนยังคงยืนเด่นโดยท้าทาย แม้ผืนฟ้ามืดดับเดือนลับมลาย..
ร้องยังไม่ทันจบท่อน แสงสีขาวเล็กๆกระพริบได้ เข้ามาไกล้ และบินวน


หิ่งห้อย..
หิ่งห้อย ตัวน้อย หนึ่งตัว


ฉันร้องเพลงต่อ น้ำตาแห่งความปิติบางอย่างล้นออกมา




และขอน้อมรับปรากฎการณ์ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น

นิเวศภาวนา


ภาวนาภาคมอมแมม
Eco-quest

จาริกสู่ต้นธารชีวิต
อารยธรรมแห่งความเรียบง่ายและบรรสาน

วันที่ ๔-๘ ก.พ. ๕๒
สถานที่ ป่าต้นน้ำเชียงราย อ.เวียงป่าเป้า

ในทุกๆวัฒนธรรม จะมีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหนึ่งที่เรียกว่าการจาริก เป็นการเดินทางที่มีเป้าหมายทางจิตวิญญาณ เป็นพิธีกรรมในตัวมันเอง ทุกวันนี้คนไทยก็ยังเดินทางเช่นนี้ เช่นการไปกราบไหว้บูชา นมัสการสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต การเดินทางของพวกเราเผ่าพันธุ์จิตตปัญญาก็เช่นกัน มีความเป็นพิธีกรรมในตัวมันเอง โดยเป็นการจาริกสู่ขุนเขาและนิเวศต้นน้ำอันเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตน้อยใหญ่ รวมทั้งชาวปกาเกอญอผู้พิทักษ์ เพื่อได้ภาวนา เรียนรู้ร่วมกัน และสร้างหลักหมายแห่งการแปรเปลี่ยนในชีวิตของพวกเราแต่ละคน นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่เราจะได้สัมผัสชีวิตแบบชนเผ่าที่ยังคงดำรงความดั้งเดิม เรียบง่ายและคุณค่า เผื่อว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้สืบสานความเป็นชนเผ่าของมนุษย์ไว้ในชีวิตเมืองยุคนี้

ในฐานะที่จะเป็นผู้นำทาง ผมอยากบอกเล่าว่าผมมองอย่างไร สำหรับการเดินทางครั้งนี้ อย่างแรกผมดีใจมากที่จะได้พาทุกคนให้ไปรู้จักกับผู้เฒ่าผู้แก่(Elders) และชุมชนที่เป็นดังครูทางจิตวิญญาณของผมอีกแห่งหนึ่ง นอกจากเชียงรายและขวัญเมืองแล้ว ชุมชนชาวปกาเกอญอเป็นขุมพลังชีวิตของความ “ปกติ” ที่อ่อนน้อม อ่อนโยน และกรุณาอย่างไม่ต้องใช้ความพยายาม บางคนที่เคยมาที่นี่แล้วคงจำได้นะครับว่าความรู้สึกที่ได้พบเจอ ความอ่อนโยนและปกติที่ผมว่านั้นเป็นอย่างไร วิถีชีวิตของการไม่ทำร้ายไม่ทำลายและพึ่งพาธรรมชาตินั้นอาจเป็นคำตอบเชิงรูปธรรมอันหนึ่งต่อวิกฤตจิตวิญญาณพลังงานและระบบนิเวศของโลก

อีกอย่างหนึ่ง ผมคิดว่านี่เป็น การเดินทางของเรา ผมหมายความว่า เราแต่ละคนจะเป็นผู้บอกเองว่าการเดินทางครั้งนี้น่าจะมีความหมายอย่างไรกับชีวิตเรา นี่เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การเดินทางครั้งนี้เป็นการจาริก เราคือผู้ให้ความหมาย ให้คุณค่า ให้ความศักดิ์สิทธิ์แก่การเดินทางของเรา

Vision Quest หรือ Wilderness Quest (นิเวศภาวนา) เป็นการแสวงหาทางจิตวิญญาณที่ถือเป็นพิธีกรรมแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิต (Rite of Passage) อย่างหนึ่งที่กระทำกันในหลายๆวัฒนธรรม โดยเฉพาะทางชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกา หรือที่เรามักเรียกกันติดปากว่า อินเดียนแดง ซึ่งจะมีการทำพิธีส่งตัวเยาวชนที่กำลังเติบโตย่างเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ให้ออกไปอยู่กับธรรมชาติเพื่อค้นพบศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง เป็นการค้นหาปัญญา และพรที่แต่ละคนได้รับจากสวรรค์ แผ่นดิน พระเจ้า หรือธรรมชาติจากการที่ได้เกิดมา เขาถือว่าทุกคนเกิดมาอย่างมีเป้าประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์ เกิดมาเพื่อรับใช้ชีวิต ชุมชน สังคมและโลกตามวิถีทางต่างๆ ตามพรหรือของขวัญที่ได้รับ บุตรธิดาทั้งหลายเมื่อถึงเวลาก็ต้องกลับไปดำรงอยู่ร่วมกับพระแม่ธรณีและผืนฟ้าพสุธากว้าง ผ่านความยากลำบากทางกาย บางคนอดอาหารและน้ำหลายวันเพื่อให้จิตวิญญาณเติบโตและแก่กล้า รับพลังจากธรรมชาติ แล้วกลับคืนสู่ชุมชน ผมแปลคำว่า vision คือ การมองเห็น นิมิต การหยั่งรู้ หรือปัญญาญาณที่เห็นชีวิตตัวเองและโลกสัมพันธ์สอดประสานกันอย่างเป็นเอกภาพ ทุกชีวิตมีความหมายและมีส่วนในการจรรโลงชีวิต และหล่อเลี้ยงจักรวาลทั้งหมด เมื่อได้กลับเข้ามาแล้ว ชุมชนก็จะทำการต้อนรับและยืนยันความแปรเปลี่ยนอย่างสมเกียรติ ดังนั้น การเดินทางของเราแต่ละคน แม้ดูว่าเป็นส่วนเสี้ยวที่เล็กน้อย แต่ก็ต้องถือว่า ปฏิบัติการนี้เป็นไปเพื่อมนุษยชาติและธรรมชาติทั้งมวล ความยากลำบากทางกายหรือใจภายในตัวเราทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นล้วนหมายถึงโอกาสแห่งวิวัฒนาการทางจิตของมนุษยชาติด้วย

หากเปรียบเทียบกับบ้านเราก็คือการออกบวชของผู้ชาย ยังมีความเชื่อที่ว่าคนที่ยังไม่ได้บวชเป็นคนดิบอยู่ เพราะยังไม่ได้ไปผ่านพิธีกรรมแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิตที่ดำรงอยู่ในวัฒนธรรมไทย หรือพิธีกรรมอื่นๆที่เป็นการสื่อสารและยืนยันการแปรเปลี่ยนสถานะ เช่น งานเลี้ยงวันเกิด การรับปริญญา การแต่งงาน พิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย เป็นต้น

เหล่านี้เป็นกระบวนการที่สังคมให้การยอมรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต ผมคิดว่าเยาวชนยุคนี้โหยหาการยอมรับ ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง ได้รับเกียรติจากสังคม น่าเสียดายที่ระบบโรงเรียนสมัยใหม่เป็นทางผ่านที่ทุกคนต้องมาผ่านกระบวนทดสอบเฉพาะทางความคิดว่าใครจะผ่านชีวิตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ได้ดีอย่างไร หาได้มีมิติของการแปรเปลี่ยนทางจิต พวกเรียนไม่เก่งก็อาจรู้สึกว่าไม่มีที่ทางที่ตัวเองจะยืนหยัดได้อย่างสง่าผ่าเผยหรือด้วยความภาคภูมิใจเลย

บิลล์ มอยเยอร์ นักคิดและนักโทรทัศน์ร่วมสมัย กล่าวว่าสังคมยุคใหม่นี้ปราศจากพิธีกรรมที่จะช่วยทำให้เยาวชนหรือคนรุ่นใหม่รู้สึกว่าตัวเป็นส่วนหนึ่งที่มีค่าต่อเผ่าพันธุ์และชุมชน เยาวชนทุกคนต้องการการเกิดอีกครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อจะตระหนักรู้และยอมรับหน้าที่แห่งความเป็นมนุษย์ของตนเอง และละทิ้งชีวิตอันเยาว์วัยไว้เบื้องหลัง

พิธีกรรมแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิตสามารถทำได้ตามวาระต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต เพื่อให้เกิดการเยียวยา เติบโต และชีวิตใหม่ทางจิตวิญญาณ เช่น การยอมรับความชราภาพ ความเป็นอนิจจังของสังขาร ความเจ็บป่วยของร่างกายตัวเองหรือคนรัก ในขณะเดียวกันก็น้อมรับบทบาทแห่งการเป็นผู้เฒ่าหรือผู้นำทางจิตวิญญาณหรือปัญญาของเผ่าพันธุ์ หรือวาระแห่งการหย่าร้างเลิกรากับความสัมพันธ์ในอดีต หรือสำหรับผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน สามารถใช้เป็นพิธีแห่งการละทิ้งความสามารถในการมีบุตร เพื่อเข้าสู่ช่วงชีวิตแห่งการแสวงหาด้านในและการให้กำเนิดทางปัญญา หรือวาระอื่นๆที่ช่วยสร้างหมายเหตุที่สำคัญๆไว้ โดยย้ำเตือนถึงการแปรเปลี่ยนแต่ละครั้งที่มีความหมายต่อตนเอง

ดังนั้น นิเวศภาวนา เป็นกรรมพิธีที่สร้างโอกาสในการที่เราจะสร้างหลักหมาย หรือหมายเหตุให้กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต
หลายคนใช้เป็นโอกาสในการใคร่ครวญและยอมรับความทุกข์ยาก ความไม่สมบูรณ์ หรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต หรือยอมรับการจากไปของคนรัก เช่น ความตาย เป็นต้น การยอมรับตัวเองและชีวิตอย่างที่เป็นมาสามารถสร้างพลังให้กับชีวิตได้อย่างมหาศาลทีเดียว

นอกจากนี้ยังเป็นการฟื้นคืนพลังชีวิต ที่ผุดออกมาจากความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างเรากับจิตอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ผืนแผ่นดิน และจักรวาล หากเราต้องการแสวงหาความเข้าใจอันลึกซึ้งลงไปในการดำรงชีวิตอยู่ ญาณทัศนะ ทิศทางชีวิตจากธรรมชาติ นี่ก็จะเป็นโอกาสที่เหมาะสมทีเดียว และความงอกงามที่เกิดขึ้นจากการภาวนายังสามารถอุทิศให้กับชีวิตอื่นๆ อีกด้วย

ธีโอดอร์ โรสแสก (Theodore Roszak)นักเนิศปรัชญาได้กล่าวไว้ ในหนังสือ The Voice of the Earth, 1992. ว่า

“ณ กาลครั้งหนึ่ง จิตวิทยาทุกแขนงมีความเป็นจิตวิทยาเชิงนิเวศ หลายคนที่แสวงหาแนวทางของการเยียวยาทางจิตอาจละเลยความจริงที่ว่า มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งธรรมชาติที่ประกอบไปด้วยสัตว์ พืช แร่ธาตุและพลังทั้งหลายที่เรามองไม่เห็นในจักรวาล ในขณะที่ศาสตร์ทางการแพทย์ในอดีตมีความเป็น “องค์รวม” ที่ใส่ใจกับการเยียวยาร่างกาย ความคิดและจิตใจไปพร้อมๆกัน และไม่จำต้องระบุไว้ด้วยซ้ำว่าเป็นองค์รวม จิตบำบัดก็ได้รับความเข้าใจว่าเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงกับจักรวาลทั้งหมดเช่นกัน จะมีก็แต่จิตเวชศาสต์แบบตะวันตกยุคใหม่นี้ที่ได้แยก ชีวิต “ด้านใน” จากชีวิตหรือโลก “ด้านนอก” ราวกับว่าอะไรก็ตามที่ดำรงอยู่ภายในตัวเราไม่ได้ดำรงอยู่ในจักรวาลที่ถือว่าเป็นอะไรที่จริงแท้ มีความเป็นเหตุและผลสืบกัน และไม่สามารถออกจากการศึกษาโลกธรรมชาติของเราได้”

สนใจเดินทางร่วมกัน ติดต่อ

ณัฐฬส วังวิญญู
สถาบันขวัญแผ่นดิน, เชียงราย
ค่าลงทะเบียน ๔,๙๐๐ บาทต่อคน

Email: Nutt2000@loxinfo.co.th
Tel. 089-755-7812

สำหรับคนที่ตกลงใจที่จะเดินทางร่วมกัน ผมอยากให้เรามีเวลาใคร่ครวญดูว่า วาระปัจจุบันของชีวิตพวกเราแต่ละคนคืออะไร อะไรที่เราอยากสร้างหมายเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงไว้ ในการรับรู้และความความกรุณาของชุมชนปกาเกอญอธรรมชาติ สายน้ำและขุนเขาอันศักดิ์สิทธิ์ ในการเดินทางครั้งนี้ เราจะละทิ้งความสะดวกสบายของชีวิตเมืองมาด้วยความตั้งใจอะไร? เป็นการเตรียมใจที่มีความหมาย

เตรียมกาย

การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ต้องการให้มาทดสอบทางกาย อย่างไรก็ตาม การเตรียมความแข็งแรงของร่างกายเพื่อให้ได้เดินในธรรมชาติ ขึ้นเขาลงห้วย ไว้สักเล็กน้อยก็จะดีครับ ที่แน่ๆขอให้เตรียมกายมามอมแมม คลุกเคล้าลมเหนือ ฝุ่นดินหอม กลิ่นเหงื่อกายา หริ่งหรีดรติกาล แสงดาวกล่อมนิทรา

เตรียมเรื่องราว

ชาวสบลานชอบนิทานมากกว่าของฝาก เพราะจดจำบอกเล่าสืบต่อได้ไม่จบสิ้น ดังนั้นขอให้พวกเราเตรียมนิทานมาฝากเด็กและพ่อเฒ่าแม่แก่ด้วย


เตรียมสิ่งของ

อะไรบ้างที่จะเดินทางร่วมกับเรา อยู่บนหลังเรา ล้วนมีความหมายและสะท้อนความเป็นเราทั้งสิ้น สิ่งของถือเป็นภาพสะท้อนตัวเราได้อย่างดี เฝ้าดูตัวเองเวลาตระเตรียมสิ่งของไว้ด้วยนะครับ (สังเกตแนวโน้มแบบต่างๆ เช่น เผื่อเหลือเผื่อขาด เยอะๆไว้ก่อน หรือ เอาไปน้อยชิ้นไว้ก่อน) ต่อไปนี้คือข้อเสนอแนะสำหรับการเตรียมสิ่งของ

o เสื้อผ้า อากาศโดยทั่วไป กลางวันร้อน กลางคืนเย็น เตรียมรับมือกับลมหนาวแบบฉับพลัน ถุงเท้า ถุงมือ หมวกอุ่นที่สวมปิดหูได้ ผ้าพันคอช่วยได้เยอะเลย ไม่ต้องเตรียมชุดมาใส่ครบวันครบสีนะครับ มันจะหนักมาก พอถึงเวลาจริงๆ หลายคนใช้เพียงไม่กี่ชุดเอง อะไรที่ใส่สบาย และซ้อนได้หลายชั้นหลายชิ้นเวลาอากาศหนาวก็ดี วันสุดท้ายมีการรับขวัญและเฉลิมฉลอง บางคนอาจอยากเตรียมชุดสวยหรือชุดหล่อสะอาดสะอ้านไว้
o ผ้าเช็ดตัว และชุดอาบน้ำ อาบน้ำได้ทั้งห้องน้ำและลำธาร แต่อาบลำธารได้บรรยากาศกว่าเยอะเลย ดังนั้นชายหญิงทั้งหลายเตรียมชุดเล่นน้ำหรืออาบน้ำไว้ด้วยจ้ะ
o เป้ เราต้องเดินทางเอง แบกเป้เอง ควรหาเป้ขนาดที่เหมาะกับเรา เป้ที่ดีควรมีเข็มขัดรัดเอวเพื่อให้น้ำหนักของสัมภาระไปตกที่สะโพกมากกว่าไหล่และหลังของเรา ดังนั้นควรมีขนาดเหมาะกับเรา ใครอยากได้เป้ดีราคาไม่แพง ขอแนะนำเป้มือสองแถวถนนข้าวสารหรือหลังวัดชนะสงครามเด้อ
o กระติกน้ำ อย่างน้อยน่าจะจุได้สัก ๑ ลิตร เวลาเดินป่าหรือออกวิเวกจะได้มีน้ำดื่มเพียงพอ
o ธูป เทียนไข ไฟฉาย ไฟแช้ค
o แก้วน้ำทนความร้อน (เผื่อชงชากินกัน) ช้อนส้อม ชามใส่ข้าวและน้ำซุปได้ด้วย มีดพกเผื่อใช้ปอกผลไม้
o เข็มเย็บผ้า และด้าย เมื่อปะชุนเสื้อผ้าขาด หรือใช้บ่งเสี้ยนหนามออก อย่าดูถูกเสี้ยนปักแม้น้อยนิดเป็นอันขาด แม้ดูเล็กแต่ทรมานนัก จะบอกให้
o ผ้ายางรองนั่งหรือปูนอน
o เต้นท์ เบาะรองนอน(ไม่ต้องหนามาก) ผ้าปูกันชื้น แผ่นผ้ากันน้ำค้าง(Fly sheet) หมอนเป่าลมได้ (หมอนข้างไม่ต้องมั้ง)
o ถุงนอน คุณภาพปานกลางเตรียมรับมือลมหนาว ไม่ควรบางเกินไป หากเป็นอย่างดีน้ำหนักเบาแต่อบอุ่นพอ
o อุปกรณ์ดนตรีที่ชอบเล่น หรืออยากลองเล่น เราจะมีช่วงที่ใช้เสียงเพลงขับกล่อมชีวิตแห่งชนเผ่า
o สบู่ แชมพู แปรงฟัน ยาสีฟัน
o ยาประจำตัว และแก้แพ้ต่างๆ รวมทั้งยากันยุ่งหรือแมลง ยาหม่อง ครีมกันแดด
o ถุงพลาสติกใส่ขยะส่วนตัว ขยะที่ไม่ย่อยสลายที่เราพกติดตัวมาจากเมือง ก็ขอเอากลับเมืองด้วย ไม่ฝากไว้ให้เป็นภาระของป่าต้นน้ำ
o สมุดบันทึก ดินสอ ปากกา สี หรืออุปกรณ์ศิลปะที่อยากให้ติดตัวมาเป็นเพื่อน
o ภาพคนที่เรารักหรือผูกพัน สิ่งของแทนตัว ที่สำคัญหรือมีความหมายสำหรับเรา หรือเป็นเครื่องระลึกถึงคนที่เรารัก บรรพชนของเรา หรือลูกหลานพ่อแม่ของเรา
o หนังสือ กวี คู่มือสวดมนต์ ไม่สนับสนุนการอ่านหนังสือมาก เพราะอยากให้มีเวลาอยู่กับหนังสือธรรมชาติมากกว่า แต่หากเป็นส่วนหนึ่งของการทำพิธีกรรม อาจช่วยเติมความหมายให้นิเวศภาวนามากขึ้น อาจเป็นกวีหรือโศลก หรืออะไรที่จะช่วยให้เราได้อยู่กับปัจจุบันและความงามมากขึ้น มากกว่าการหนีหลบไปอยู่กับการอ่าน
o รองเท้า ลุยน้ำได้ เดินป่าก็ได้ ไม่ใหม่เอี่ยมจนกัดเท้า บางคนใส่ผ้าใบที่ช่วยห้มส้น แล้วพกฟองน้ำเบามาด้วยอีกคู่ก็ได้ เวลาอยู่หมู่บ้านถอดขึ้นลงบ้านบ่อย
o นาฬิกา อาจต้องมีการนัดหมายกันเป็นช่วงๆนะครับ

Sunday, December 7

ความเงียบงัน

ในรักใหม่คือความตาย
หนทางของเธอเริ่มต้นจากอีกด้านหนึ่งต่างหากล่ะ
จงกลายเป็นท้องฟ้าสิ
สับขวานทะลายกำแพงคุกเสีย
แล้วแหกหนีไป
เดินออกมาเหมือนกับคนที่เพิ่งเกิดมาเป็นสีสัน
ทำตอนนี้แหล่ะ
เธอถูกปกคลุมไปด้วยเมฆทะมึน
ไถลไปด้านข้างแล้วตายซะ
เงียบเสียด้วย
ความเงียบเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่สุด
ว่าเธอได้ตายแล้ว
ชีวิตเดิมๆของเธอมันเหมือนกับการวิ่งหนีความเงียบอย่างบ้าคลั่ง

พระจันทร์ดวงเต็มปรากฎกายอย่างไร้ถ้อยคำ

Rumi


Quietness

Inside this new love, die.
Your way begins on the other side.
Become the sky.
Take an axe to the prison wall.
Escape.
Walk out like someone suddenly born into color.
Do it now.
You’re covered with thick cloud.
Slide out the side. Die,
And be quiet. Quietness is the surest sign
That you’ve died.
Your old life was a frantic running
From silence.
The speechless full moon
Comes out now.

Tuesday, December 2

เร่งรีบ...รับรู้





(อา) เก่ง.. ปิยพงศ์ ดาวรุ่ง เขียน

ในปัจจุบัน โดยเฉพาะสังคมเมือง วิถีชีวิตของเราต่างอยู่ในกระแสแห่งความเร่งรีบ ตื่นแต่เช้า รีบทำธุระส่วนตัว รีบรับประทานอาหาร รีบไปทำงาน รีบเร่งรัดงานให้เสร็จตามกำหนด รีบ..... รีบ...... รีบกลับบ้าน รีบเข้านอน จะมีสักช่วงหนึ่งไหม ที่เราจะมีเวลาสบายๆ ที่ไม่ต้องทำอะไร อยู่กับตัวเอง รับรู้ ความเป็นไปที่อยู่รอบกาย ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่เปลี่ยนแปลง สีหน้าท่าทางผู้คนที่อยู่รายรอบ และอื่นๆ ฯลฯ รับรู้ความรู้สึกของตัวเอง เศร้าใจ ดีใจ โกรธ เกลียด หงุดหงิด หรือกระทั่งรับรู้ความเป็นไปของร่างกาย อาการตึง ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ตามส่วนต่างๆ ความรู้สึกเหล่านี้ เคยมีโอกาสรับรู้ไหม ถ้าไม่ถึงขั้นเจ็บป่วยซะก่อน น้อยคนนักที่จะรับรู้


ผมเองก็เคยมีวิถีชีวิตแบบนั้น ปัจจุบันก็เป็นอยู่บ้าง ในภาวะที่ใช้ชีวิตด้วยความเร่งรีบ ทำให้ไม่ได้ยินเสียงคนรอบข้าง หรือแม้กระทั่งเสียงจากหัวใจและร่างกายของตนเอง และผลของความเจ็บป่วยนั้นยังคงอยู่จนมาถึงทุกวันนี้ ยามใดที่เผลอไผล ไม่ใส่ใจ ก็จะส่งสัญญาณเตือนทุกครั้งไป เราจำเป็นต้องเจ็บป่วยก่อนหรือ ถึงกลับมาให้ความสนใจ กับสิ่งเหล่านี้

“ความเจ็บป่วย” เมื่อได้ยินคำนี้เรามักจะนึกถึง ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นเฉพาะทางกายภาพ ในที่นี้อยากให้รวมไปถึง ลักษณะอาการที่เกิดขึ้นทางใจไปด้วย เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อความเจ็บป่วยเกิดขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่งของ กาย ใจ และจิต ย่อมส่งผลกระทบซึ่งกันและกัน เช่น เมื่อทำงานหนักจนร่างกายรับไม่ไหวต้องเข้าโรงพยาบาล ความกลัว ความวิตกกังวล ในเรื่องงานที่ยังคั้งค้างจะไม่เสร็จก็เข้ามาเยือนในหัวใจ ความหงุดหงิด ความอึดอัดที่ร่างกายไม่สามารถทำได้อย่างที่คิด เมื่อทนไม่ไหว ก็พาลระเบิดอารมณ์ไปกับคนรอบข้าง ส่งความไม่สบายใจไปให้เขาโดยไม่รู้ตัว มองย้อนกลับไป เมื่อกายเหนื่อยล้าย่อมส่งสัญญาณบอกเรา เพียงแต่เรานำพาตนเองออกจากกระแสแห่งความเร่งรีบชั่วขณะ โดยการอยู่นิ่งๆสักพัก เราก็จะรับรู้ สัญญาณที่กายส่งมา หรือแม้กระทั่งรับรู้ถึง อารมณ์ ความรู้สึก ความคิด ณ ขณะนั้น

การเปลี่ยนจากสภาวะเร่งรีบ มาสู่สภาวะแห่งการรับรู้สามารถทำได้ โดยทำกิจวัตรให้ช้าลง อืม.. ผมเริ่มได้ยินเสียงแย้งในใจ เช่น คนกำลังรีบมีงานด่วนจะให้ช้าได้ยังไง และอีกต่างๆอีกมากมาย ขอให้อดทนอ่านต่อไปอีกนิดนะครับ คำว่า “ช้าลง” ไม่ได้หมายถึงต้องทำอะไรช้าตลอดเวลานะครับ เราอาจใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีในช่วงเช้าก่อนเริ่มกิจวัตรประจำวันใดๆ โดยการนั่งในท่วงท่าที่ผ่อนคลาย พยายามจัดสถานที่ให้ อากาศถ่ายเท ดูแล้วสบายตา หรืออาจเปิดเพลงบรรเลง ช่วยสร้างบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย จะมีเครื่องดื่มร้อนๆไว้ด้วยก็ยิ่งดีใหญ่ ระหว่างสิบห้านาทีนี้ปล่อยให้ใจเรามารับรู้กับบรรยากาศรอบข้างที่เราได้ตระเตรียมไว้แล้ว เสียงเพลงเพราะๆ อากาศสดชื่น บรรยากาศที่มองแล้วสบายตา สัมผัสอันอบอุ่นผ่านถ้วยเครื่องดื่ม รสชาติที่แสนรัญจวนใจ พูดสั้นๆง่ายๆ ก็ สัมผัสทั้ง ๕ นั่นหล่ะครับ วางความคิดเรื่องงานไว้ก่อน ทำเพียงเท่านี้หล่ะครับ เราก็พร้อมที่จะรับมือกับความเร่งรีบที่รออยู่ตรงหน้าแล้ว

สภาวะแห่งการรับรู้ก็เปรียบเหมือนแบตเตอรี่ใช้ไปย่อมมีวันหมด การชาร์จแบตเตอรี่ก็คือการทำซ้ำๆอย่างสม่ำเสมอ บางคราทำครั้งเดียวในช่วงเช้าไม่พอ ด้วยภาวะงานที่รุมเร้า แบตเตอรี่ที่มีอยู่ถูกใช้หมดไปอย่างน่าใจหาย การชาร์จระหว่างวันก็มีส่วนสำคัญที่จะรักษาสภาวะแห่งการรับรู้ได้ เราไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเหมือนช่วงเช้า เพียงใช้เวลาสั้นๆ ในช่วงเปลี่ยนอิริยาบท หรือเว้นว่างจากงาน ปล่อยวางความคิดเรื่องงานกลับมารับรู้สัมผัสทั้ง๕อีกครั้ง เท่านี้ก็เพียงพอจะรักษาสภาวะการรับรู้ได้ตลอดวันกระมัง ถ้ายังไม่พอ คงต้องชวนคนรอบข้างอีกสักสองสามคนมาทำร่วมกัน มีอยู่ครั้งนึงที่ผมมัวแต่ครุ่นคิดอยู่กับงานที่ทำ กัลญาณมิตรคนนึงก็เข้ามาทักว่า “วันนี้คุณหายใจหรือยัง?” เมื่อถูกทักอย่างนี้ก็นิ่งไปชั่วขณะ แล้วก็หัวเราะครู่ใหญ่ ขำให้กับความจมจ่อมของตนเองทำงานจนไม่รับรู้ว่าตนกำลังหายใจอยู่ นี่แหล่ะครับมีเพื่อนก็ต้องช่วยกันอย่างนี้

วิถีชีวิตที่คุ้นเคยมานาน การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งถ้ามากเกินไปอาจทำไม่ได้นาน ปรับเปลี่ยนทีละเล็กน้อย แล้วทำอยู่เป็นประจำจนคุ้นชินให้เป็นหนึ่งกับวิถีที่เป็นอยู่ การเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนจึงก่อเกิด การกลับมารับรู้เป็นพื้นฐานแรกๆของชีวิต ที่จะทำให้เราค้นพบศักยภาพอันยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในตัวตนของเรา เป็นศักยภาพที่ไร้ขอบเขตและอัศจรรย์ใจยามได้พบ


ขอเชิญชวนพวกเราร่วมเปิดผัสสะแห่งการรับรู้ และเรียนรู้ศักยภาพในตัวตนไปด้วยกัน เดินคนเดียวมันเหงาครับร่วมกันเดินก็จะได้แบ่งปันประสบการณ์ที่แต่ละคนเผชิญมา เมื่อเราเตรียมฐานไว้ดีแล้ว คราวหน้าก็จะเริ่มสำรวจดินแดนแห่งศักยภาพอันไร้ขอบเขตของเรากันหล่ะ

ปล.
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อบอกกล่าวกับตนเอง ซึ่งไร้วินัยถึงขีดสุดเช่นกัน มนุษย์ก็อย่างนี้หล่ะครับสอนเค้าไปทั่ว แต่ตนเองทำไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงต้องสร้างเครือข่ายไว้เป็นเหมือนกระจกสะท้อนตนไงครับ

แนะนำผู้เขียน
เก่งเป็นหนึ่งในกระบวนกรของสถาบันขวัญเมือง เชียงราย ชีวิตแปรผันจากร้านทองสู่เส้นทางแห่งการค้นหา สร้างสรรค์พื้นที่แห่งมิตรภาพและการเรียนรู้ตลอดชีวิต

Posted by Picasa

Monday, December 1

ชีวิตผลิบาน

 



ชีวิตผลิบาน

วันก่อนเพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่าได้ไปเข้ากระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับ “การเตรียมตัวตายอย่างมีสติ” ที่จัดขึ้นโดยเสมสิกาลัย โดยมี พระไพศาล วิศาโล เป็นพระอาจารย์ ที่นำพาให้เกิดการตระหนักรู้ถึงความเปราะบางของชีวิต และธรรมชาติแห่งการเปลี่ยนแปลงของชีวิตนั้นว่ามีพลังอย่างยิ่ง ในยุคที่วิทยาศาสตร์และวงการแพทย์เริ่มยอมรับวาระแห่งความตายว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติมากขึ้น โดยที่ไม่มีใครสามารถหยุดรั้งชีวิตที่จะพลัดร่วงจากไปในวาระที่เหมาะสมได้ การเผชิญหน้ากับความตายอย่างมีสติ กำลังเป็นประเด็นสำคัญต่อการเรียนรู้ของสังคม ในการปรับท่าทีในการดำรงอยู่กับความทุกข์ และส่งเสริมให้เกิดความสง่างาม ความหมายและสันติภาพในการจากไปของผู้คนดูจะเป็นวิถีทางที่เราจะตื่นรู้ได้อีกทางหนึ่งในการยอมรับ “ธรรมชาติของชีวิต”

ถ้าเปรียบการตายคือการผลัดใบ การเกิดก็อาจเปรียบได้ดังการผลิบานของชีวิต ในช่วงที่ผ่านมา ผมเองก็ได้มีประสบการณ์ในกับกระบวนการเกิดของลูกสาวคนแรก ซึ่งตอนแรกผมเองก็ไม่ได้คิดว่า การได้เป็นประจักษ์พยานการเกิดจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับการรับรู้ชีวิตของผมได้มากถึงเพียงนี้ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าคนอื่นๆที่ได้รับรู้ประสบการณ์ของการเกิดจะได้รู้สึกหรือนึกคิดคล้ายกันหรือไม่ เพราะแต่ละคนย่อมมีการตีความประสบการณ์ที่ตนได้รับต่างกันไปเป็นธรรมดา

“ไม่น่าเชื่อ” “อึ้ง” “มันออกมาได้ไงเนี่ย” “...” นี่คือเสียงที่อยู่ในหัว แต่หากถามความรู้สึกตอนที่ลูกสาวคลอดออกมานั้นเต็มไปด้วยสีสันที่หลากหลายยากที่จะพรรณนาเป็นคำพูดได้ มีทั้งตื้นตัน ประหลาดใจ ดีใจ ปลื้มปีติ แปลกใจ ที่เห็นเขาออกมาจากการเบ่งลมของผู้เป็นแม่ ที่ทุ่มพลังที่มีทั้งชีวิตในการให้กำเนิดชีวิตน้อยๆตัวแดงๆผมดำๆ เพียงแค่เห็นเขาออกมาได้และมาซบที่อกแม่แบบหอบแฮกๆ เหมือนกำลังหาที่ซุกซ่อนในที่ปลอดภัย แม่ก็ปลอบใจให้ลูกน้อยรู้สึกว่า “แม่อยู่ที่นี่นะลูก” ลูกร้องไห้แค่แอะเดียวเท่านั้น แล้วก็สงบซบอกแม่ที่เหงื่อสะพรั่ง แต่ดูมีความสุขเหลือหลาย ลมหายใจยังคงเป็นหนึ่งเดียวกัน หัวใจที่กล้าหาญที่เผชิญวิกฤตการณ์ชีวิตที่เปราะบางและหมิ่นเหม่อย่างร่วมไม้ร่วมมือของทั้งสองชีวิตทำให้ผมอดกลั้นน้ำตาไม่ได้ เลยปล่อยโฮใหญ่ออกมายังกับเด็ก ที่ไม่เคยเห็นอะไรที่มีพลังและความงามที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ตอนนั้นรู้สึกว่าหัวใจสั่นสะท้านในอาการอึ้ง ต่อมน้ำตาที่แตกออกอาจเป็นวิธีเดียวที่จะใช้ระบายประสบการณ์อันท่วมท้นนี้ออกมาจากหัวอกของพ่อผู้เฝ้ามองที่คอยลุ้นและติดตามอย่างไม่ให้คลาดสายตาแม้เพียงลมหายใจเดียวก็เป็นได้

คุณหมอที่ช่วยทำคลอดคือ นพ.พิษณุ ขันติพงษ์ รพ. เชียงรายประชานุเคราะห์ จ.เชียงราย คุณหมอทั้งให้กำลังใจและมีอารมณ์ขันแบบไร้ขีดจำกัด และมักพูดติดตลกว่า “เขาจะมาตามหาความหมายชีวิต” รวมทั้งบรรดาพยาบาลห้องคลอดก็ช่วยเหลือให้กำลังใจ โอบประคองถึงความรู้สึกของผู้หญิงให้คลอดได้อย่างอบอุ่น จนผมรู้สึกว่านางฟ้าเหล่านี้ได้ช่วยเหลือให้ครอบครัวของพวกเราได้ผ่านช่วงเปลี่ยนผ่านชีวิตที่สำคัญยิ่ง หมอก็เหมือนเทวดาที่ให้การดูแลกระบวนการของธรรมชาติและช่วยเหลือด้วยความรู้ทางการแพทย์ตามความเหมาะสมโดยยังคงให้ “ธรรมชาติ”ของแม่และเด็กกระทำภารกิจของชีวิตตัวเองเป็นสำคัญ

ผมถือว่า การเกิดนี้เป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่ยากจะหาได้ และได้ช่วยปรับเปลี่ยนมุมมองที่ผมมีต่อชีวิต ต่อการเกิด ต่อผู้หญิงและความเป็นแม่ไปอย่างมาก เมื่อก่อนมันก็เป็นความเข้าใจเชิงทฤษฎี ซึ่งตอนนี้ผมจะไม่เรียกว่าความเข้าใจอีกต่อไป เรียกได้เพียงว่า ความเข้าหัว ไม่ใช่เข้าใจ เพราะตราบใดที่ยังไม่ได้ประสบด้วยตัวเอง มันอยากยิ่งนักที่จะสัมผัสถึงพลังของชีวิตและการเกิด ถึงแม้ว่าผมจะเคยศึกษาบทบาทของสามีในการให้ความช่วยเหลือและเป็นกำลังใจให้กับภรรยา จะนวดตรงไหน บีบตรงไหน แต่พอเอาเข้าจริงๆก็จับผิดจับถูก บางทีนวดก็แรงเกินไป รู้สึกเสื่อมสมรรถภาพทางการนวดไปเลยก็มีเป็นบางขณะ ในตะวันตกหลายประเทศเขากำหนดเป็นเงื่อนไขให้การคลอดนั้นต้องมีสามีผู้ร่วมก่อเหตุไว้อยู่ดูแลกระบวนการคลอดด้วย เรียกว่ารับผิดชอบร่วมกัน สามีบางคนไม่ค่อยได้เห็นเลือด (เหมือนที่ผู้หญิงมีประจำเดือนทั้งหลายได้เห็นเป็นเรื่องปกติ) พอเห็นเลือดและกลิ่นคาวๆเข้าไปถึงกับหน้ามืด เวียนหัว และหมอพยาบาลต้องหันมาให้การพยาบาลกับผู้ชายก็มี

ผู้ชายส่วนใหญ่อาจมีประสบการณ์ตรงกับการเกิดน้อยมาก จึงไม่มีโอกาสได้เห็นความเจ็บปวดของการเกิด เพราะการเกิดของเราเองก็นานมาแล้ว จำไม่ได้แล้ว ไม่รู้หรอกว่าเจ็บปวดอย่างไร ต้องต่อสู้มากเพียงใด ผมคิดว่าการรับรู้ในเรื่องนี้จะช่วยทำให้จิตใจน้อมลงไม่น้อย เป็นโอกาสการเรียนรู้ที่น่าฉวยไว้ให้ชีวิต เพื่อให้เกิดการมองเห็นตรงๆและเกิดการประจักษ์แจ้งด้วยตนเองว่านี่แหล่ะชีวิต มันมากเกินกว่าจะคิดเอาเองด้วยคำอธิบายใดๆ การรับรู้ผ่านประสบการณ์ตรงช่วยให้เกิดความรู้ที่ไม่ต้องผ่านการคิดคาดคะเน เป็นทางลัดสู่การยอมรับความยิ่งใหญ่ของชีวิต เพื่อลดความอหังการห์ของเรา และความรู้ทั้งหลายที่เรามีนั้นเสียได้

ผมรู้สึกถึงคุณค่าของเด็กทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ การเกิดของโมโม่ (ลูกสาว) สะท้อนถึงการเกิดของเด็กคนอื่นๆที่เกิดมาบนโลกใบนี้ ที่เกิดมาด้วยความยากลำบาก และความเจ็บปวด เรื่องนี้ต้องขอยกนิ้วให้กับบรรดาแม่ๆทั้งหลายที่ผ่านวิกฤติเหล่านี้มาได้ อีกทั้งบรรดาผู้หญิงที่เกื้อหนุนกันและกันในช่วงคลอด แม้แต่พยาบาลที่ยังไม่มีลูกของตัวเองก็ดูเหมือนจะสามารถเข้าถึงและเข้าใจความเจ็บปวดของหญิงออกลูกได้ดีทีเดียว ผมสัมผัสได้ถึงหัวใจของความเป็นแม่ร่วมกันที่ผู้หญิงเหล่านี้แสดงออกมาในการช่วยเหลือเกื้อกูน อันนี้ถือเป็นเรื่องลี้ลับและน่าทึ่งสำหรับผมทีเดียว ยังคงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่น่ามหัศจรรย์เกี่ยวกับการเป็นมนุษย์จริงๆ

แม้ผมเองไม่ได้เรียกตัวเองว่าเป็นชาวคริสต์ แต่ก็นับถือในพระพร และพลังของดวงจิตอันยิ่งใหญ่ ที่มีคำเรียกว่า พระเจ้า ผมเคยคิดว่าผมจะได้มาเข้าเฝ้าพระเจ้าก็ในห้องคลอด และแล้วก็รู้สึกว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ห้องนี้คือพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่ที่มีการเสียเลือดเนื้อ น้ำตา มีการเอาชีวิตเข้าแลก เป็นห้องที่แม่ออกรบเพื่อต่อสู้กับความเจ็บปวดของการเกิด เพื่อให้กำเนิดลูกน้อยของตน ผมขอให้คุณพระช่วยคุ้มครองลูกน้อยและแม่ทุกคนให้แคล้วรอดปลอดภัยจากภยันอันตราย เพื่อค้นพบความเป็นมนุษย์และวิถีทางแห่งความรักด้วยกันทุกคนเทอญ

Posted by Picasa

Friday, November 14

Momo

 


ผลิบานพร้อมลมหนาว
น้ากชถ่ายภาพยามหลับไหล



Momo was born exactly on the due day: Friday 17th Oct 2008, Oor woke me up around 5 am and told me that we needed to go to the hospital as she believed that her womb is moving and the liquid is running (sorry for my non-technical term). So we got to the hospital. I called my dad to let him and my mom know that we were heading to the delivery room. Actually a day before there was a contracting signal and Oor went to get a test at the hospital and we got a brief coaching from the labor room staff how to attend birth. Normally a couple who is willing to have a natural birth session is required to take 4 training courses before birth, but in my case, I didn’t have much time to be in Chiangrai, and so I got to use my privilege as a son of a former head nurse and learn real quick about what to do to give Oor support she need during labor.



Actually on the same day, our house is having a house blessing ceremony in which monks and relatives were invited in the late morning to come and have lunch. So here we are, a house party without a house owners and 30 guests were having fun. Of course my uncle, Na Yat, took care of the ritual fine. At the same time the inscents was burnt, candle was lit, the baby was born and the monk started to chant and bless the house. The real owner was born.



We use the natural birth room designed for people to give birth through natural process. There were a few nurses who got proper training to support this process. However, most nurses there seems to know what to do and how to give a woman emotional as well as clinical support. I hoped it was not just because I was a son of their former big sister there. Anyway, I think it’s their genuine spirit from which the support flew.



Dr. Pitsanu who was in charged of the birth and had been my mother’s long time work colleague, was very very helpful as well as being funny. He help talking through the whole process. We loved him even though he doesn’t hear us much. When the baby faced upward, he helped the baby to turn around. Oor pushes on the bed with me behind her for 5 rounds of strong push. It was very exciting. My mom was there with other nurses to support. One of our Thai friends who gave birth there with Oor’s support in the same room , was there also. When she came out, they put her to lay face down on Oor’s chest and get breast fed. She seems scared and then felt save with her mom’s warm and loving embrace. She cried very little and got peaceful resting on the chest while the nurses help cleaning. This is one of the most beautiful and sweetest moment in my life to see an amazing process of life, a mother and child in harmonic cooperation. I can’t hold myself back from really crying out of the great joy and overwhelmed. I was very happy for her to come out safe and alive. She was my little daughter, I realized with tears.



Oor almost gave up before the cervix was fully opened many times. But she made it. At 9.49 am the baby was born, 3250 grams 51 cm. length, red like plum. So we got her name later after coming home as ‘Momo’ , in Japanese means plum. And it’s the name of a book Oor really love and she gave me one when we first started dating.



Now we are back at home, you got to love our new home. It’s very comfortable with two stories and two bedroom, one office and one small tv room, with big living room and nice kitchen. It’s a new house we decided to buy for the baby with Oor’s mother’s support.

Oor has short nipples (I didn’t notice them when we first dated) and found hard to breast feed Momo and got stressed out for the first 3 days, then we decided to go see the doctor and received proper training on breast feeding. Now we are back and the last 2 days has been full with milk!



I’m taking time off work for at least a month and then go periodically to workshop in BKK. But now I’m very happy even though I barely get a chance to rest or take a nap and had to wake up to help Oor breastfeeding almost every two hours. Without being a father, no book can help me realize such a fulfillment as a human being. Nothing perfect, but I feel life is already so wonderful, so wonderful.







Posted by Picasa
 


She was born at the same time the new house was blessed by chanting of monks,
and the house became home with our warm family gathering on a beautiful morning.
A home of Momo.
Posted by Picasa

sleeping beauty

 

ปากนิดจมูกหน่อย
ค่อยๆกิน
นอนเยอะเยอะ
โตไวไว
ในเตียงอุ่นๆ
Posted by Picasa

นางฟ้ากล่อมนอน

 

แม้แม่จะอดหลับขับตานอน
กล่อมลูกน้อยให้ผลอยหลับ
ได้เฝ้ามองเขาสุขสันต์ยิ่งกว่าได้นอนเอง
แต่ก็จะนอนบ้างเหมือนกันนะ
แม่คนดีที่หนึ่งเลย
Posted by Picasa

ตีนน้อยหน้าบาน

 

บ้านนี้มีเพิ่มมาอีกสองขา
นุ่มยิ่งว่าหน้าพ่อเสียอีก!
Posted by Picasa