เราหลายคนคงเคยสงสัยว่าจักรวาลหรือพระเจ้ามีประสงค์จะให้เราเกิดมาเพื่ออะไร เพื่อทำภารกิจอะไร หรือทำไมเขาถึงเลือกให้เราต้องพบเจอกับอุปสรรคหรือวิกฤตบางอย่างของชีวิต ทำไมชีวิตเราต้องเจอทุกข์ อิทธิพลของสิ่งต่างๆที่อยู่เหนือการควบคุมของเราทำให้ชีวิตเราแต่ละคนต้องประสบการณ์กับทั้งความสุข สมหวังและความทุกข์ ความเจ็บปวด ความพลัดพราก ซึ่งในทางพุทธเราก็มักจะอ้างถึงกรรมในฐานะของสิ่งที่เราเคยกระทำในอดีตที่ส่งผลตามมาในปัจจุบัน แม้ว่าทุกวันเราอาจจะเชื่อในเรื่องนี้น้อยลงตามประสา “คนรุ่นใหม่ เชื่อมั่นในการกระทำของตัวเองมากกว่า การกระทำของ “กรรม”
ในทางจิตวิทยามีการศึกษาเรื่องนี้อย่างเป็นระบบ และทำให้เห็นว่าหลายเรื่องที่ดูเหมือนจะเป็นนามธรรมมากจนไม่สามารถทำความเข้าใจกับมันได้ ก็สามารถที่จะแกะรอยหรือถอดรหัสเส้นทางของจิตวิญญาณของเราแต่ละคนได้ ว่าทำไมเรื่องราวต่างๆที่มีผลกระทบในทางอารมณ์กับเราอย่างรุนแรงมันจึงเกิดขึ้นกับเรา ธรรมชาติหรือจักรวาลมีแผนการอะไรให้กับเรา
ในจิตวิทยาเชิงลึก (Depth Psychology) ที่ศึกษาธรรมชาติของ จิต (psyche) เชิงลึก ซึ่งหมายถึงการทำความเข้าใจกับจิตไร้สำนึกของมนุษย์ ความฝัน พฤติกรรมทั้งที่พึงและไม่พึงประสงค์ทั้งหลาย เจมส์ ฮิลแมน เป็นคนๆหนึ่งในสายความคิดเช่นนี้ เขามีอิทธิพลและบทบาทสำคัญในการทำความเข้าใจและอธิบายปรากฎการณ์ทางจิตวิทยาของผู้คนในสังคม เขาเป็นผู้ให้กำเหนิดแนวคิดของ เมล็ดพันธุ์ทางจิต (Acorn Theory) ที่บอกว่าเราแต่ละคนมีเอกลักษณ์หรือธรรมชาติที่จำเพาะในตัวเองและติดตัวมาพร้อมกับการเกิด มีอยู่แล้วในตัวเอง ไม่ต้องพัฒนา เพียงแค่ต้องการอาศัยเงื่อนไขบางอย่างให้เมล็ดพันธุ์นี้ได้กระเทาะออกจากเปลือกที่ห่อหุ้มอยู่ ซึ่งอาจจะหมายถึงแรงกระทบจากเหตุการณ์หรือวิกฤตต่างของชีวิตที่เกิดขึ้นกับเราอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวหรือไม่เคยคาดคิดมาก่อน
นอกจากนี้เขายังกล่าวถึงแนวคิดของ Archetype ซึ่งหมายถึงแบบแผนต้นแบบของชีวิต ที่มีอิทธพลต่อชีวิตเรา ซึ่งเป็นแรงดึงดูดหรือเป็นแรงขับที่ทำให้เรากระทำการบางอย่าง เป็นเหมือนบทละครที่รอใครสักคนมาเล่น เพื่อสมดุลและความครบถ้วนของระบบนิเวศของชีวิต เช่น บางคนเล่นบทพ่อผู้คุมกฎระเบียบและมีชีวิตตามเหตุผลหลักการในบ้าน (Rule keeper) แล้วก็มีบทแม่ที่คอยยินยอมผ่อนตามสามีและลูกๆ มีบทลูกที่ดีที่คอยตามใจพ่อแม่ (Good boy) แล้วก็มีบทลูกดื้อที่คอยแหกกรอบทุกอย่างที่ครอบครัวมี (Rebel) และคนๆหนึ่งก็อาจเล่นหลากหลายบทด้วย บางบทไปไกลถึงกับ บทติดยา ที่สะท้อนความขาดพร่องบางอย่างในบ้านเช่นความใกล้ชิด ความอบอุ่น ความเข้าใจ เป็นต้น แนวคิดนี้ไม่ได้มองว่าปัญหาอาจไม่ได้อยู่แค่ตัวคนที่เล่นบทเหล่านี้ แต่อยู่ที่ระบบนิเวศขาดสมดุลอยู่
ในแนวคิดนี้ เป้าหมายการพัฒนาทางจิตวิทยาของมนุษย์คือการปลดตัวเองออกจากพันธนาการภายในตัวเองที่ผูกไว้กับความคาดหวังของสังคม (Individuation) ที่ไม่ใช่การต่อต้านหรือเป็นแรงปฏิกิริยาของสังคม (ซึ่งก็หมายถึงการที่ยังไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง) แต่คือการยอมรับธรรมชาติหรือเอกลักษณ์ หรือบ้างก็เรียกว่า ธาตุแท้ ของตัวเอง แล้วใช้ศักยภาพนี้เป็นประโยชน์กับตัวเองและสังคมได้ สิ่งหนึ่งที่จะช่วยทำให้เราเป็นอิสระจากเสียงของสังคมได้อย่างแท้จริงคือการฟังเสียงเพรียกร้องของธรรมชาติภายในตัวเอง และลองทำตามเสียงเรียกร้องเหล่านั้นทีละนิดๆ บางทีก็เป็นอะไรที่เล็กๆน้อยๆ เช่น อยากเล่นดนตรี หรือเต้น หรือเดินทางไกล ที่อาจเป็นก้าวเล็กๆที่นำไปสู่การค้นพบที่มีความหมายและสำคัญของตัวเรา เป็นเส้นทางไปสู่สิ่งที่เดวิด ไวท์ กวีชาวไอริชกล่าวว่า ความไม่รู้อันยิ่งใหญ่ (The Great Unknown) เขากล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงชีวิตในวัยกลางคนว่าจะเป็นการเกิดใหม่ที่เป็นของแท้ของจริง เป็นความสุขอันแท้จริง
โจเซฟ แคมเบล นักตำนานวิทยาที่ศึกษาและถอดรหัสเส้นทางชีวิตและจิตวิญญาณของมนุษย์ผ่านประวัติศาสตร์ และตำนานวิทยาของวัฒนธรรมที่หลากหลาย และค้นพบว่า “ชีวิตนั้นหามีความหมายใดไม่ เราต่างหากที่นำความหมายของเราเองมาสู่ชีวิต การตั้งคำถามค้นหาความหมายของชีวิตนั้นเป็นการสูญเสียเวลาเปล่า ในเมื่อเราเองคือคำตอบ...เราต้องพร้อมจะสละแผนการณ์ชีวิตที่คิดมาดีแล้วถ้าเราอยากจะค้นพบกับชีวิตที่รอคอยเราอยู่...ถ้ำที่เรากลัวและไม่กล้าเข้านั่นแหล่ะมีขุมทรัพท์ที่เราค้นหาอยู...ถ้าชีวิตนั้นมีเส้นทางเดินชัดเจนเป็นขั้นๆไป คุณรู้ไหมว่านั่นอาจไม่ใช่เส้นทางของคุณ เพราะเส้นทางของคุณจะเกิดขึ้นได้ทีละก้าวๆที่คุณย่ำไป มันถึงเป็นทางของคุณไง”
ในหนังสือ องค์รวมอันแฝงเร้น (The Hidden Wholeness) พาร์คเกอร์ พาล์มเมอร์ ได้ชี้ให้เห็นว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนมีชีวิตที่แปลกแยกกับความปรารถนาลึกๆและความเป็นธรรมชาติของตัวเองด้วยเหตุผลที่ดีนานาประการ เช่น ทำเพื่อความมั่นคง เพื่อครอบครัว เพื่อสังคม เป็นต้น แต่แล้วเราแต่ละคนจะมีจุดที่เริ่มเบื่อหน่าย ไม่มีความสุขกับสิ่งที่ทำอยู่ หรือสุขภาพอาจเสื่อมถอย ผู้คนห่างหายจากชีวิต เป็นจุดที่เราจะได้รับสัญญาณเตือนให้มาพิจารณาถึงชีวิตที่เรากำลังดำเนินมาว่าสอดคล้องหรือซื่อตรงกับธรรมชาติและเป้าหมายแท้จริงของชีวิตและจิตวิญญาณของเราแล้วหรือ บางทีสัญญาณเตือนหรือเชื้อเชิญนี้ก็มาในรูปแบบที่เบาๆ บ้างก็แรงถึงกับเป็นวิกฤติชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการงานหรือความสัมพันธ์ แรงกระทบถั่งโถมในชีวิตที่เข้ามาเหล่านี้อาจมาอย่างไม่ความบังเอิญ เพราะชวนให้เราออกจากเส้นทางที่อาจจะกำลังราบเรียบไปได้ดีมาสู่การผจญภัยในเส้นทางที่แท้จริงของเราก็เป็นได้ บางคนอยากเปลี่ยนงาน เพราะบางอย่างเริ่มไม่ใช่ เมื่อลองได้เปลี่ยนแล้วพลังชีวิตเต็มเปี่ยม หรืออาจต้องทำงานด้วยคุณภาพใหม่แบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือก็เป็นได้
พาล์มเมอร์ยังได้เสนอสิ่งที่จะเป็นที่ปรึกษาและพึ่งพาได้ดีที่สุดสำหรับการค้นหาเส้นทางชีวิตที่แท้ของตัวเอง คือ หนึ่ง ครูภายใน หรือบางคนเรียกว่าจิตเดิมแท้ หรือจิตธรรมชาติ ที่เราต่างเข้าถึงได้ภายในตัวเรา ครูภายในนี้จะบอกแนวทางให้เราได้น่าเชื่อถือที่สุด ยิ่งกว่าตำรับตำราหรือแนวคิดอุดมการณ์อันสูงส่งใดๆ น่ารับฟังมากกว่าผู้นำหรือสถาบันที่อยู่นอกตัวเรา สอง เราต่างต้องการให้มีคนช่วยรับฟัง เชื้อเชิญ ขยายความและช่วยให้เราแยกแยะเสียงครูภายในออกจากเสียงรบกวนอื่นๆ ด้วยเหตุผล ๓ ประการคือ
- การเดินทางสู่ความจริงแท้ภายในนั้นจะเรียกร้องเรามากเกินกว่าจะเดินไปลำพัง ถ้าเราเดินทางโดยลำพัง ไม่นานเราก็จะเหนื่อยล้า หรือหวั่นกลัวแล้วเลิกล้มไปในที่สุด
- เส้นทางที่จะเดินก็ไม่ชัดเจน ซ่อนตัวลึกเกินกว่าที่เราจะค้นพบได้โดยลำพังโดยปราศจากเพื่อน การจะพบเส้นทางตัวเองนั้นเราจำต้องอาศัยการควานคลำสัญญาณบ่งชี้ทั้งหลายที่ต้องอาศัยการสังเกตอย่างความละเอียด บางทีก็ทำให้เข้าใจเป็นอย่างอื่น ซึ่งจำต้องอาศัยการแยกแยกประเมินผ่านการสนทนาที่มีคุณภาพเท่านั้น
- ปลายทางนั้นอาจน่ากลัวมากเกินกว่าจะไปคนเดียวได้ เราต้องการชุมชนในการค้นหาความกล้าหาญ แรงบันดาลใจในการฟันฝ่าอุปสรรคระหว่างเดินทางข้ามดินแดนอันต่างด้าว
เมื่อวันที่ ๑๕ ที่ผ่านมา วัชรสิทธา องค์กรใหม่ทางการศึกษาที่ก่อตั้งและเปิดขึ้นในปีนี้โดย วิจักขณ์ พานิช และคณะ ได้เชิญให้ผมได้สอนเรื่องนี้ในคอร์ส พิธีกรรมแห่งชีวิต Life is a Ritual นับเป็นการสอนเรื่องเส้นทางเดินทางจิตวิญญาณของชีวิตให้กับกลุ่มคนสิบกว่าคนที่สนใจค้นหาความหมายของชีวิตและการเปลี่ยนผ่านเติบโตในมิติด้านในได้อย่างอิ่มใจ
ผมคิดว่าสิ่งที่ทำให้เกิดพลังมากที่สุดคือการได้สร้างพื้นที่ให้คนรับฟัง “เสียงเพรียก” (Calling) จากภายในของตัวเอง ที่มาในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึก ความฝัน ความสนใจที่เกิดขึ้นในใจ หรือเป็นเหตุการณ์ภายนอกที่กระทบชีวิตเราให้เข้าสู่ “เส้นทาง” ทางจิตวิญญาณที่แต่ละคนจะค่อยๆค้นพบความหมายด้วยตัวเอง และยังได้สืบค้นแรงบันดาลใจที่แท้จริงในการทำงานหรือชีวิตที่ดำเนินอยู่ ที่สำคัญคือพิธีกรรมเฉลิมฉลองฤดูกาลชีวิตของตัวเอง เป็นการให้คุณค่าและเกียรติแก่ภาวะชีวิตของแต่ละคนตามที่เป็น ไม่ตัดสินถูกผิดหรือลดค่า เพราะแม้แต่ภาวะซึมเศร้า หรือหดหู่หม่นหมองก็เป็นพลังเอื้อประโยชน์ให้เราได้ใกล้ชิดกับความทุกข์ และค้นหาสิ่งสำคัญที่อาจขาดหายไปในชีวิตได้อย่างจริงจัง ไม่หลงใหลไปกับชีวิตบริโภคนิยมที่เป็นอยู่อย่างฉาบฉวย
ในแนวคิดของวงล้อแห่งพลัง (Medicine Wheel) ทุกอย่างมีคุณค่าและประโยชน์ในตัวเอง ไม่มีสิ่งใดเป็นส่วนเกินของชีวิต เปรียบดังฤดูกาลทั้งสี่ที่เกี่ยวโยงสนับสนุนกันและกันไปตามวัฎจักรแห่งการมีชีวิต สภาวะต่างๆมีข้อดีในตัวเอง เช่น ภาวะสนุกสนาน ตื่นเต้น หดหู่ ซึมเศร้า นิ่งๆ มีแรงบันดาลใจ กระตือรือล้น มุ่งมั่น กล้าเผชิญ ความมืด ความสว่าง ทุกอย่างล้วนเตรียมเราไปสู่อีกอย่าง หากเราเข้าใจกระบวนการภายในเหล่านี้และดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม แม้ว่าสังคมมักจะเลือกรักมักชอบเพียงไม่กี่อารมณ์ที่ส่วนใหญ่เป็นด้านบวกมากกว่า เราก็ยังสามารถเลือกทีจะดูแลตัวเองได้อย่างเข้าใจ
การผลัดใบชีวิตในพิธีกรรมสุดท้าย จึงเป็นพิธีกรรมที่สร้างพลังให้กับการให้คุณค่าและรับรู้ฤดูกาลที่ชีวิตแต่ละคนกำลังเป็นไป และที่จะเปลี่ยนไป และเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนสละสิ่งมีค่าบางอย่างทิ้งไป เพื่อรับสิ่งใหม่เข้ามาในชีวิต จริงๆแล้ว ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้นักเรียนที่เข้าได้เขียนสะท้อนถึงสิ่งที่แต่ละคนได้รับผ่านพิธีกรรมนี้ ผมรู้สึกพอใจมากกับจุดเริ่มต้นในการกลั่นกรองความเข้าใจเกี่ยวกับการถอดรหัสเส้นทางจิตวิญญาณของชีวิต และเติบโตทางจิตวิญญาณในช่วงกลางของชีวิตที่อาศัยพื้นที่พิเศษ
อยากทิ้งท้ายด้วยคำกล่าวของแคมเบลว่า “พื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์คือที่ที่คุณจะจิตวิญญาณอันแท้จริงของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า”
No comments:
Post a Comment