Saturday, January 24
จิตตปัญญา...จ๊าบๆ
เมื่อสิ้นปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสร่วมทีมกับตั้ม วิจักขณ์ พานิช และอ.ฌานเดช พ่วงจีน ในการทำกระบวนการเรียนรู้แบบจิตตปัญญาศึกษาให้กับกลุ่มแกนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา สิ่งที่น่าประทับใจมากคือการได้มองเห็นประกายไฟแห่งการเรียนรู้ได้ปะทุขึ้นจากการได้ค้นพบตัวเองและค้นพบมิตรภาพที่ดีงาม หลังจากกลับจากงานสัมนา ๓ วันที่สวนสายน้ำ ก็มีการจัดกิจกรรมพบกลุ่มกันอย่างต่อเนื่องเพื่อดำรงวิถีทางของมิตรภาพที่หล่อเลี้ยงกระบวนการเรียนรู้ด้วยใจที่ใคร่ครวญในหมู่นักศึกษาที่เข้าร่วม
เนื่องจากการเรียนรู้นั้นทำให้เกิดการยอมรับและชื่นชมในความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด ที่ไปที่มาของชีวิต ความเชื่อ โลกภายในของแต่ละคนที่เปิดรับโลกของผู้อื่นก็ขยายใหญ่ขึ้น ไม่คับแคบอีกต่อไป เมื่อเรื่องราวของแต่ละคนไม่ได้ด้อยค่าไปกว่าตำนานอันยิ่งใหญ่ที่ร่ำเรียนกันมาในสังคม ผู้เรียนจึงสำนึกถึงคุณค่าของตนและรากเหง้าของชีวิต และยังรับรู้สถานภาพของการเป็นผู้สร้างสรรค์เรื่องเล่า ตำนาน โลกที่ตนปรารถนาได้บนฐานของความอ่อนน้อมถ่อมตน
นับว่าเป็นข่าวดีที่ได้เห็นความริเริ่มจากนักศึกษาเองที่มองเห็นประโยชน์ของจิตตปัญญาศึกษา Contemplative Education
และนี่ก็ถือได้ว่าเป็นประกายของความหวังที่คนรุ่นใหม่จะกลับมาสนใจเรื่องของตัวเองและโลกอย่างตื่นรู้ซื่อตรง อันเป็นแนวทางดั้งเดิมของการศึกษา เพื่อเติมเต็มความศักยภาพของมนุษย์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไป โดยไม่จำเป็นต้องอิงรูปแบบ ความเชื่อหรือภาษาเป็นของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เพราะในยุคสมัยที่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมกำลังเรียกร้องให้สังคมตื่นจากความเป็นพวกพ้องนิยมหรือศาสนนิยมมาสู่พื้นที่ร่วมของประสบการณ์ในความเป็นมนุษย์ การพัฒนาทางจิตวิญญาณก็ยิ่งต้องการวิถีทางที่หลากหลายในการเข้าถึงความแตกต่างหลากหลาย โดยเฉพาะวิธีการที่ไม่จำกัดตัวเองอยู่เพียงแค่วิธีการหรือชุดภาษาใดชุดภาษาหนึ่งเท่านั้น
แม้กระนั้น ผมก็ไม่ได้ต้องการให้ชาวพุทธเลิกละการใช้ศัพท์แสงแบบพุทธๆ เช่น สติ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่เนื่องจากว่าบ้านเราเป็นสังคมพุทธ ที่มีชาวพุทธเป็นเสียงส่วนใหญ่ ทำอย่างไรเราจึงจะมีภาษาหรือการอธิบายแบบอื่นๆที่ทำให้ผู้ปฏิบัติในแนวความเชื่ออื่นๆได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงของชีวิตได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เพราะตัวประสบการณ์ตรงนี้ต่างหากที่มีคุณค่าในการแบ่งปันและเรียนรู้ ตัวภาษาเป็นเพียงเครื่องมือในการอธิบายประสบการณ์ของชีวิตเหล่านี้
แม้แต่คำว่า contemplative education เองก็มีความหมายที่ไม่มีนัยยะของศาสนา หากเป็นกระบวนการเรียนรู้ด้วยการใคร่ครวญอย่างแยบคาย เป็นการน้อมรับประสบการณ์ชีวิตและกระบวนการเรียนรู้เข้ามาตน เพราะคำฝรั่งคำนี้ก็เกิดขึ้นมาในสังคมที่ต้องการรับมือกับความหลากหลายในการพัฒนาจิตวิญญาณที่มีอยู่ในสังคมตะวันตก แม้แต่ในชุมชนวิทยาศาสตร์เองก็มีวิถีของการใคร่ครวญ ทบทวน สืบค้นเพื่อความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งลงไปเกี่ยวกับชีวิตและจักรวาล
ยิ่งในช่วงนี้เราจะเห็นว่ามีกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาจำนวนไม่น้อยที่กำลังได้รับความนิยม เพราะเข้าถึงได้ง่าย และช่วยทำให้เกิดความเข้าใจในตนเองได้อย่างง่าย ไม่ว่าจะเป็นนพลักษณ์ ศิลปบำบัด การสร้างสรรค์ชุมชน การสื่อสารอย่างสันติ การเป็นคนกลาง สุนทรียสนทนา การเตรียมตัวตายอย่างมีสติ สัมผัสพลังแห่งการตื่นรู้ เป็นต้น
ทั้งนี้ ผมยังคิดมรดกในศาสตร์และศิลป์ว่าด้วยการพัฒนาด้านจิตวิญญาณของบ้านเรานั้นมีรากฐานที่มั่นคงหนักแน่นในสายของพระอริยเจ้าที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในสายวัดป่าต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วไปอย่างไม่โฆษณาตัวเองตามส่วนต่างๆของประเทศ และยังคงเป็นที่พึ่งให้กับผู้ที่สนใจในด้านนี้ ดังที่ผมได้รับฟังเรื่องเล่าของอ.ประภาภัทธ นิยม ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยอาศรมศิลป์ ที่ได้การเดินทางไปแสวงหาและเรียนรู้กับพระอริยะถึง ๑๕ รูปในภาคอิสาน
อย่างไรก็ตาม สำหรับบริบทของสังคมที่รวดเร็วและหลากหลายนี้ ผมคิดว่าการสร้างสรรค์ทางเข้าสู่การฝึกตนหรือการเรียนรู้ด้านในที่หลากหลายหนทางยังคงมีความสำคัญไม่น้อย
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
1 comment:
ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูล
Post a Comment