Monday, October 8

เสียงเพรียกจากอนาคต

เมื่อเรามีจิตที่ว่างพอ ไร้ความคาดหวัง ไร้ความพยายาม
แล้วจึงได้ยินเสียงเพรียกจากอนาคต
กระทำการจากพลังอันบริสุทธิ์ทั้ง ๕ ในกายขับเคลื่อนแผ่วเบา

เมื่อเสียงแห่งความกลัว วิตกกังวลถึงตัวเองเบาบางลง
เราอาจจะได้ยินเสียงเพรียกหาจากอนาคต
เป็นเสียงเชิญชวนให้กระทำการเพื่อเติมเต็มและหล่อเลี้ยงสมบูรณภาพของชีวิต
ที่ไม่แยกส่วนโดดเดี่ยวอยู่ในเกราะกำบังตัวตนอันคับแคบอีกต่อไป

สมองส่วนหน้ากับอนาคตที่เคลื่อนเข้ามาหาเรา
ณ สัมผัสแห่งปัจจุบันอันสมบูรณ์ ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างอดีตและอนาคต
ความเชื่อมรวมอันรื่นรมย์กับสรรพสิ่งก่อกำเนิดห้วงขณะใหม่ที่สดชัด
ราวน้ำค้างหยาดเยิ้มบนกอหญ้ายามอรุณรุ่ง

เงี่ยฟังเสียงเพรียกจากอนาคตแว่วกังวาลจากภายใน
ก่อแรงบันดาลใจให้ขยับไหว เคลื่อนคล้อยไปตามฤดูกาลที่ผ่านเปลี่ยน
เรียบง่ายราวเม็ดทรายที่รายลาดบนผืนหาด
ที่แผ่นดินและมหาสมุทรมาบรรจบ บรรจงจุมพิสสนิทแนบ

Sunday, October 7

Pure Awareness

No one can take away from us our awareness of whatever arises in the present moment.
Life can be lived only in the present.

Time is perceived as illusive, elastic, and therefore changeable, even though we always think about time as certain numbers or quantity.

How we relate to the present moment determine how much time we have in our life. So it’s not about the number of how many minutes we have within an hour, but how fully engaged we are with the present moment.

เฝ้าคอยความกลัว

หากความกลัวเป็นส่วนหนึ่งของหนทางสู่การตื่นรู้แล้ว
ข้าขอนั่งเฝ้ารอคอยความกลัวที่จะย่างกรายเข้ามาเยือนอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
อย่างมิหวั่นเกรง ราวกับเด็กน้อยรอคอยอาหารมื้อต่อไป
อนิจจา... ข้าปฏิเสธเจ้าเรื่อยมาด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง รังเกียจเดียดฉันท์
ราวกับเป็นคนแปลกหน้าที่ห่างเหิน ไร้ใยดี
ข้าขอโทษที่มิได้ต้อนรับดูแลท่านอย่างสมเกียรติทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมเยียนหัวใจของข้า
แม้หัวใจข้าตื่นตระหนก ลมหายใจข้าหยาบกระด้างและหอบห้าวทุกครั้งที่ต้องพบเจ้า
แต่นั่นก็บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าท่านสำคัญกับข้าเพียงใด
ขอให้ข้าได้ดูแลท่านอย่างทนุถนอมเพื่อว่าข้าจะได้ใกล้ชิดกับเจ้า
เข้าใจเจ้าอย่างที่เจ้าเป็น และรู้จักที่ไปที่มาของเจ้า เพื่อข้าจะได้ฉลาดขึ้น
ด้วยปัญญาที่เจ้านำมาจากโลกแห่งความมืดมิด ที่ที่ข้าไม่รู้จัก และหวั่นเกรงมาตลอด
ขอบคุณที่เจ้าให้โอกาสข้าเรื่อยมา และจะใด้โอกาสข้าอีกร่ำไป

Saturday, October 6

ให้ร่างกายตัดสินใจ

ให้ร่างกายตัดสินใจ

การทำงานกับฐานกาย เพื่อให้เกิดพลังแห่งความคิดและการทะลุทลวงความกลัว เป็นการตระเตรียมพื้นที่ว่างให้เกิดญานทัศนะ ความสดใหม่ และการดำรงอยู่กับปัจจุบันอย่างผ่อนคลาย กล้าเผชิญ เป็นมิตร เกาะติดกับภาวะแห่งความไม่รู้หรือความว่างเปล่าได้อย่างดี เป็นที่น่าประหลาดใจเมื่อร่างกายของเราได้ผ่านการยืดในท่าโยคะต่างๆ หรือผ่านการร่ายรำไทเก๊ก ที่ร่างกายเป็นประธานแห่งการเคลื่อนไหว แล้วให้จิตผูกตามไปจนเป็นหนึ่งเดียวกันได้บ้างนั้น เมื่อเหงื่อเริ่มผุดออกมาตามผิวหนัง ลมหายใจกรรมกรเริ่มกรรโชกแรงชัด ความคิดเริ่มเบาบางลง มีแต่ความร้อน เคลื่อนไหว ไหลเลื่อน เปลี่ยนแปลง ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับการมีชีวิต ที่มีรากฐานคือโลก คือธรณี คือความจริงและความเป็นเช่นนั้นเอง เราจะรู้สึกมั่นคงและมี “พื้นที่” ที่รู้สึกปลอดภัย ไม่แปรผัน เป็นความดีงามพื้นฐานที่สุด

ในภาวะที่ร่างกายปกติ ชี่ไหลเวียนดีเช่นนี้ เราสามารถตั้งคำถามแล้วร้องขอคำตอบจากจิตไร้สำนึกของเราเองว่าสิ่งที่พึงกระทำในสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่คืออะไร คำตอบที่ได้รับอาจเป็นความรู้สึกที่เริ่มจากอ่อนๆ เบาๆ ไปจนถึงเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนเราเริ่มมั่นใจและวางใจว่าคำตอบที่เราได้รับจากร่างกายหรือจิตไร้สำนึกของเรานั้นจะช่วยดูแลตัวเองให้ผ่านล่วงไปอย่างราบรื่น อย่างน้อยความเชื่อมั่นหรือแรงศรัทธานี้เองที่จะช่วยเปิดพื้นที่ให้กับจิตใต้สำนึกได้แสดงพลังปัญญาออกมาได้อย่างงดงาม

ความกลัวทำให้ประตูแห่งปัญญาของจิตใต้สำนึกของเราปิดลง เราอาจตรวจสอบตัวเองได้เสมอว่าเมื่อไรก็ตามที่เรามีความกลัวหรือความวิตกกังวลแม้เพียงน้อยนิด ประตูแห่งจิตไร้สำนึกก็จะปิดลงทันที หรือแม้แต่ร่างกายของเราก็เกิดอาการตึงเครียด แข็งตัวไม่ยืดหยุ่น จนเกิดอาการตัดขัด ปวดเมื่อยตามมา

เราสามารถให้ความรักและความสุขดูแลความกลัวไม่ให้ครอบงำชีวิตเรามากเกินไป ความสุขหาได้เป็นเพียงผลหรือเป้าหมายของการกระทำไม่ หากเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดออกของปัญญาของจิตไร้สำนึก ทั้งนี้ ความกลัวไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง เฉกเช่น มังกรที่มีพละกำลังมหาศาล หากเราสามารถรู้เท่าทันและน้อมรับความกลัวเหล่านี้ไว้ ยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรา เป็นตัวตนหนึ่งของตัวเราในหลายๆตัวตน การยอมรับความกลัวได้ช่วยทอนแรงของความกลัวลงได้มากทีเดียว แต่การฝืนสู้หรือหนีความกลัวนั้นยิ่งกลับเพิ่มแรงให้กับความกลัวให้ทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก

Saturday, July 21

คบหาบูชาพระเจ้า (ฟรี)

คบหาบูชาพระเจ้า (ฟรี)



เมื่อวานได้มีโอกาสได้ไปกินอาหารมื้อเย็นร่วมกับอาจารย์สดใส อาสมพล น้องเกด อาใหญ่ ยิ่ง อ้อ ในวาระของการรวมตัวกันของคนที่มีความหมายกับชีวิตอาอู๊ดมากที่สุด แม้จะมากันไม่ครบหน้า แต่ก็มีคุณค่าแก่การจดจำ ต้องขอขอบคุณอาอู๊ดอีกครั้งหนึ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้มีโอกาสเช่นนี้ ยิ่งเองก็ได้เล่นดนตรีให้อาจารย์ได้ฟังอย่างลึกซึ้งไพเราะเพราะพริ้งสุดๆ

ได้ฟังเรื่องราวชีวิตของอาจารย์สดใสทำให้เห็นแง่มุมต่างๆมากมายที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างไข่ในหิน จะไปไหนคุณแม่ของอาจารย์ก็ต้องคอยเป็นห่วงเพื่อให้แน่ใจว่าจะปลอดภัย เพราะความรักและต้องการทนุถนอม แม้จะทำให้มีผลตามมาหลายอย่าง เช่นทำนั่นทำนี่ไม่เป็น แต่อาจารย์ก็ได้พัฒนาโลกภายในที่มั่งคั่งไปด้วยสัมพันธภาพกับเสียงภายใน สมาธิแบบธรรมชาติ พระผู้เป็นเจ้า และโลกของจินตนาการ จนการละครของอาจารย์ก็ดูจะเป็นชีวิตและจิตใจหรือลมหายใจของอาจารย์แบบไม่ทำไม่ได้ต้องตายแน่ๆ ถือเป็นพื้นที่แห่งอิสรภาพที่อาจารย์มีได้เองโดยไม่ต้องไปไหน

อาจารย์ยังบอกเล่าเรื่องราวของชีวิตพุทธคริสตร์ของอาจารย์ที่เรียนโรงเรียนคาทอลิกมาโดยตลอดและได้ซึมซับแนวทางการรับใช้ผู้คนและความรักให้กับผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของอาจารย์ โดยอาจารย์มองตัวเองว่าเป็นผู้รับใช้ ไม่ว่าจะเป็นสามี ลูก ลูกศิษย์ หรือแม้แต่ลูกจ้าง และไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นเก่งกว่า ฉลาดกว่า เหนือกว่าใครต่อใคร อาจารย์บอกว่าตัวเองยอมโง่ และไม่ต้องเป็นใคร (Does not have to be somebody) ทั้งๆที่อาจารย์ได้รับการยอมรับในสายการละครและสาธารณชนว่าเป็นผู้ที่มีความเป็นครูและความรู้ในด้านนี้อย่างลุ่มลึก มีผลงานการแสดงและการแต่งละครที่ได้รับรางวัลดีเด่นทั้งในประเทศและต่างประเทศมากมาย ผมชอบใจที่อาจารย์บอกว่า เราไม่จำเป็นต้องเป็นใคร เพราะดูเหมือนว่าจะทำให้ชีวิตเราเบาขึ้น

ที่น่าสนใจอีกเรื่องคือความสัมพันธ์กับพระเจ้า แม้นับถือศาสนาพุทธและศึกษางานของท่านพุทธทาสอย่างถือปฏิบัติไปในแนวตัวกูของกูไม่มี แต่เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ถึงความเป็นความตายของสามีตัวเองที่ป่วยเป็นมะเร็งปอด ที่แพทย์บอกว่าจะอยู่ต่อไปได้ไม่ถึงเดือน อาจารย์เองก็สวดอ้อนวอนให้พระเจ้าได้ช่วยมาดูแล ผลจากการภาวนาคืออยู่ต่ออย่างมีความสุขถึง ๓ ปี ผมคิดว่านี่เป็นพลังแห่งความรักและความกรุณาที่อาจารย์มี ไม่เฉพาะต่อสามีตัวเอง แต่ต่อพระเจ้า ที่อาจารย์บอกว่าจะเรียกว่าธรรมชาติหรือจักรวาลก็ได้ เมื่ออาจารย์สามารถลดตัวเองลง ศิโรราบให้กับพลังแห่งการเยียวยาของจักรวาล ธรรมชาติ ในนาม พระผู้เป็นเจ้า พลังแห่งการเยียวยาก็บังเกิด

อาจารย์เป็นคนฐานใจ ให้คุณค่ากับความสัมพันธ์ด้วยหัวใจ แต่พุทธศาสนานับตั้งแต่สมเด็จวชิรญาณวโรรสได้ปฏิรูปแนวคิดและการเรียนรู้ในพุทธศาสนากลับทำให้มิติของความสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นลดลงไปมาก เพราะไม่ต้องการให้เกิดการเคารพบูชาเทพเทพีโดยขาดการปฏิบัติภาวนาในแนวทางของพระพุทธเจ้าที่ชวนให้กลับมาดูตัวเองจนเห็นแจ้งแจ่มกระจ่างว่าอัตตาตัวตนของเรานั้นมันผุดบังเกิดอย่างไร แม้แต่ท่านพุทธทาสเองก็เห็นว่าการสวดอ้อนวอนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั้นไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์แต่เพื่อตัวเอง

ผมเห็นด้วยว่าต้องระมัดระวังความงมงายและหลงผิดว่า แต่ทำอย่างไรมันจะพอดี

ทุกวันนี้คนต้องการเพื่อนทางจิตวิญญาณ เมื่อคนทั่วไปเป็นเพื่อนแบบนั้นไม่ได้ เมื่อพุทธเป็นพุทธแบบวัตถุ คือสัมพันธ์กันผ่านการให้วัตถุทาน ผู้คนก็อาจรู้สึกเงียบเหงา ต้องการเกาะแก่งหรือที่พักพิงทางจิตใจ แสดงหาบุคลาธิฐานมากมาย รวมทั้งดารานางแบบก็อาจมาเป็นบุคลาธิฐานให้กับวัยุรุ่น จากนั้นพอชีวิตล่วงเข้าสู่วัยกลางคน ดาราอาจมีพลังให้พึ่งพิงไม่พอ ก็ต้องการหาดาราทางจิตมายึดถือไว้ ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่หลวงตารุ่นต่างๆ รูปบูชา หรือเทวบูชาเหล่านี้เป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นเมื่อพุทธแบบเถรวาทไทยปฏิเสธความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระเจ้า
ในขณะที่ความเป็นหยางนั้นให้ค่าแก่ความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ขึ้นต่อใคร พึ่งตัวเอง ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นที่พึ่งได้ การให้ (Agent) ความภาคภูมิใจในตัวเอง

ในศาสตร์แม่มดจะเห็นได้ชัดว่า สัมพันธภาพที่ผูกพันเป็นวิถีแห่งหยินหรืออิตถีทำให้เกิดพลัง เมื่อเราสามารถรักอะไรบางอย่างจนหมดหัวใจ จนแทบเอาชีวิตเข้าแลกได้ (เหมือนในศาสนาอิสลาม) ความรักในพระเจ้านั้นคือทั้งหมดของชีวิต เช่นเดียวกับที่ศากยมุนีตรัสว่ากัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดแห่งพรหมจรรย์นั่นเอง มันมีความหมายมากกว่าเพียงการ “มี”เพื่อนไว้ประดับการเรียนรู้ หรือมีไว้ให้ปลอดภัยเท่านั้น ผมคิดว่ามันหมายถึงการดำรงอยู่ในกันและกัน เพื่อกันและกัน ด้วยหัวใจทั้งหมด ดำรงในความเปราะบาง ขอร้องกันได้ อ้อนวอนกันได้ อย่างไม่ต้องรู้สึกเสียหน้า หรือกลัวความเจ็บปวดหรือสูญเสีย

เพลงรักทั้งหลาย ทั้งเก่าใหม่ ก็มีข้อความเหล่านี้ทั้งนั้น เช่น รักเธอจนหมดหัวใจ เป็นต้น เพียงแต่ว่ามันถูกให้ความหมายแบบแคบๆ แต่ผมรู้สึกว่าจิตมนุษย์โหยหาสัมพันธภาพเช่นนี้โดยธรรมชาติ ยิ่งสังคมมีความเป็นวัตถุนิยมบริโภคนิยมอย่างรุนแรง และตัดสินผู้คนตามที่สิ่งที่มีมากกว่าสิ่งที่เป็นและที่กระทำ ก็ยิ่งทำให้ความอยากกระหายและความโหยหารุนแรงไปตามๆกัน เราจะไม่ด่วนตัดสินอาการเหล่านี้อย่างไร และเปิดใจมองให้เห็นแบบแผนทางจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคนอย่างเห็นคุณค่า ดังคำพูดของกวีซูฟีผู้หนึ่งกล่าวว่า

People look for a sense of belonging, intimate, safe and faithful relationship where they can be so vulnerable and empty of pride that their ego has no place to exist. We are not alone.

แนวคิดในการปฏิบัติธรรมแบบวิปัสสนากรรมฐานในบ้านเรา ก็มองอะไรเป็นธรรมชาติไปเสียหมดและปฏิเสธการเอาตัวเองไปพัวพัน หรือให้ความหมายอะไรที่มากไปกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ถือว่าฟุ้งซ่าน หรือเป็นเรื่องการยึดติดไปเสียหมด โดยอาจไม่มองอีกด้านหนี่งของสัมพันธภาพนี้ว่ามีความตระหนักรู้ถึงการดำรงร่วมเป็นเหตุปัจจัยกันอย่างแนบแน่น

จักรวาลวิทยาแบบกระบวนทัศน์เก่าทำให้ทุกอย่างเป็นวัตถุ กลไก และเงียบเหงา จักรวาลวิทยาแบบพุทธเถรวาทยุคหลังสมัยใหม่นี้เล่าจะทำให้ดวงดาวและแดนดินถิ่นเทวาทั้งหลายกลับมามีชีวิตและสนทนาไปกับเราอย่างสุนทรีได้อีกครั้งหรือไม่

อาจารย์สดใสบอกว่าการกลับมาอธิฐานถึงพระเจ้าอีกครั้งเมื่อตอนทีสามีป่วยหนักนั้น แม้จะรู้สึกผิดกับท่านพุทธทาสแต่ก็บอกตัวเองในใจว่า แหมก็พระเจ้าไม่ต้องซื้อหา มีให้ฟรีแล้วจะไม่ให้คิดถึงได้อย่างไร

So...Why not!?!

ขอบคุณเรื่องเล่าของอาจารย์ครับ

Sunday, July 15

เจ็ดขวบปี สุนทรียสนทนา
ปลอดภัย เปราะบาง เปลี่ยนแปลง

คอลัมน์ จิตวิวัฒน์ นสพ.มติชน วันที่ ๑๔ ก.ค. ๒๕๕๐

เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สถาบันขวัญเมืองได้รับโอกาสให้ไปนำเสนอเรื่องราวการทำงานผ่านสุนทรียสนทนาในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาในวงสนทนาประจำเดือนของกลุ่มจิตวิวัฒน์

ทำให้พวกเรา มี อาจารย์วิศิษฐ์ วังวิญญู นพ.วิธาน ฐานะวุฒฑ์ และผู้เขียน ได้ใคร่ครวญร่วมกันในหลายแง่มุม

โดยในที่นี้ จะขอเสนอแง่มุมของตนเองในฐานะที่เป็นกระบวนการสุนทรียสนทนา

หากมองย้อนกลับไปในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้พัฒนางานสุนทรียสนทนาขึ้นมาอย่างเข้มข้นและใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ เปรียบได้กับคนสวนที่ใส่ใจกับเหตุปัจจัยที่จะทำให้ต้นไม้และสวนเติบโต พวกเราช่วยกันเฝ้ามองว่ามีเหตุปัจจัยอะไรบ้างที่จะช่วยหล่อเลี้ยงให้จิตวิญญาณของเราเองและเพื่อนมนุษย์ในสังคมงอกงามไปพร้อมๆ กันในยุคสมัยที่ท้าทายเช่นนี้

จริงๆ แล้วก่อนหน้าที่จะมาสนใจงานของ เดวิด โบห์ม สนใจกระบวนการเรียนรู้แนวชนเผ่าพื้นเมืองและแนวสันติวิธีในสำนักต่างๆ ที่มีมิติความศักดิ์สิทธิ์และจิตวิญญาณ เพราะในวิถีของชนเผ่าบางเผ่าในอเมริกาเหนือ การนั่งล้อมวงฟังเสียงของกันและกันอย่างใส่ใจนั้น เปรียบเสมือนการรับฟังเสียงของบรรพบุรุษและเสียงของแผ่นดินแม่ที่มีชีวิต เรียกได้ว่าเป็น สภาแผ่นดิน (Earth Council) ที่สติปัญญาของมนุษย์นั้นไม่ได้มาจากเพียงการนั่งคิดร่วมกัน แต่มาจากการเปิดโอกาสให้กับญาณทัศนะที่ดำรงอยู่ในข่ายใยแห่งชีวิตอันยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ

แม้ชาวคริสตชนเควกเกอร์ (Quaker) ที่เชื่อเรื่องสันติวิธีหรือความไม่รุนแรงและความเสมอภาค ก็มีวิธีการเข้าโบสถ์ที่ต่างจากจารีตอื่นๆ กล่าวคือ จะนั่งรวมกันในความเงียบ ฟังเสียงของความเงียบ แล้วหากมีความรู้สึกนึกคิดอันใดที่ผ่านเข้ามาในใจและอยากจะบอกกล่าว ก็ให้ลุกขึ้นพูด เมื่อพูดจบก็นั่งลง แล้วความเงียบก็กลับคืนสู่โบสถ์อีกครั้งหนึ่ง คล้ายๆ กับการรอเสียงพระเจ้าหรือจิตใหญ่ที่จะพูดผ่านเราในภาษามนุษย์นั่นเอง

มาภายหลัง เมื่อพวกเราได้นำเอางานของ เดวิด โบห์ม มาศึกษา ก็เห็นว่าปฏิบัติการทางความคิดและการสื่อสารนั้นมีความสำคัญยิ่งต่อวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ

ดังที่ นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ได้กล่าวว่า ทุกวันนี้ หากเทียบกันแล้ว ปฏิสัมพันธ์ที่ผู้คนมีต่อกันส่วนใหญ่คือการสนทนา คือวจีกรรม จะทุกข์หรือสุขก็ขึ้นอยู่กับการสื่อสารและสนทนากัน การทำงานหรือบริหารงานส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่ต้องผ่านการประชุม เพื่อนำไปสู่ปฏิบัติการร่วมกันอย่างเป็นทีม หากคุยกันไม่เป็นทีมแล้วจะหวังถึงการทำงานเป็นทีมอย่างมีพลังนั้นเห็นจะยาก

ส่วนกายกรรมนั้นก็เป็นไปในเรื่องการงานเสียมากกว่า เพราะเราก็ไม่ได้ทำร้ายกันทางกายสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะเป็นทางคำพูดและความคิด (มโนกรรม) จะอยู่ร่วมอย่างแบ่งแยกหรือบรรสานนั้นล้วนผ่านสองทางดังกล่าวเป็นหลัก

การทำงานกับสุนทรียสนทนา (Dialogue) ชวนให้เรากลับมาดูว่า เราพูดคุยกันอย่างไร ไม่เพียงแต่ใส่ใจว่าเราคุยกันเรื่องอะไร หรือมีข้อสรุปอย่างไร สาระเชิงกระบวนการที่สำคัญ ที่ทางสถาบันขวัญเมืองได้พัฒนาขึ้นมาเป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปงอย่างเป็นสมุหภาพนั้น คือ สภาวะ 3 ป. คือ ปลอดภัย เปราะบาง เปลี่ยนแปลง

ความปลอดภัย เป็นความต้องการพื้นฐานของชีวิต มนุษย์ต้องการมากกว่าความปลอดภัยทางกาย เราอาจอยู่รอดได้ ไม่มีภัยคุกคามทางกาย (โดยเฉพาะในองค์กรทั่วไป) แต่อาจไม่ปลอดภัยทางใจ นั่นคือยังอาจเกรงกลัวการถูกทำให้ด้อยค่า เสียหน้า อับอาย หรือถูกพิพากษาให้เป็นสิ่งต่างๆ ที่ตนไม่ได้เป็น การเรียนรู้จะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติได้เมื่อผู้คนรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยนี้

ในการจัดการความรู้แบบสถาบันขวัญเมืองนั้นจำต้องดูแลความลดหลั่นทางสังคม (Social Hierarchy) ที่มีแนวโน้มกดทับมากกว่าเกื้อหนุนการเรียนรู้ โดยพยายามสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง มีความมั่นใจ วางใจ และเชื่อมั่น ซึ่งถือเป็นประตูบานแรกในการก้าวผ่าน โดยเฉพาะคนเล็กคนน้อยที่มีปัญญาเชิงปฏิบัติสั่งสมอยู่ในตัวแต่ไม่กล้าแสดงออก

ในแง่หนึ่งนี่เป็นความพยายามถอดถอนสิ่งที่ผู้คนเรียนรู้มาอย่างผิดๆ จากอดีต เช่น ความรู้สึกกลัวการถูกลงโทษ หรือให้คะแนนติดลบ หรือถูกเปรียบเทียบ และการแข่งขันแบบเอาตัวเองรอดและไร้ความกรุณา ซึ่งเป็นอุปสรรคขวางกั้นการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติของมนุษย์

เมื่อเกิดความปลอดภัยและเชื่อมั่นแล้ว สุนทรียสนทนายังช่วยหล่อเลี้ยงให้เกิดความใกล้ชิดสนิทสนม ไปจนถึงความผูกพัน เสริมแรงบวกของสมองชั้นกลางของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกและสัมพันธภาพแล้ว สมองชั้นนอกก็จะเปิดกว้าง สร้างสรรค์ เกิดนวัตกรรมการเรียนรู้มากมายในพื้นที่หรือวัฒนธรรมกลุ่มที่ปลอดภัย

และเมื่อพูดถึงความรู้ เรามักคิดว่าเป็นสิ่งที่แยกออกจากความสัมพันธ์ เป็น "สิ่ง"ที่ดำรงอยู่อย่างเป็นเอกเทศ เช่น อยู่ในตำรับตำราหรืออยู่ในผู้คนที่เราจะสามารถดึงออกมาใช้งานได้ แต่ในสมมติฐานที่ว่า สรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงและเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน ความรู้ก็มีเงื่อนไขการดำรงอยู่ไม่ต่างกัน คือเป็นไปตามเหตุปัจจัยของความสัมพันธ์ เราสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ อย่างไร จะส่งผลต่อมุมมองหรือความเข้าใจที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ อย่างนั้น นอกจากนี้ สัมพันธภาพยังส่งผลต่อการแลกเปลี่ยนความรู้ของผู้คนในองค์กรหรือสังคมอีกด้วย

ความรู้อันเกิดมาแต่ความใกล้ชิดสนิทสนม (Intimate knowledge) ระหว่างคนในองค์กรเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ท่ามกลางการแบ่งแยก ความลดหลั่น และช่องว่างทางสังคม ภายใต้โครงสร้างองค์กรแนวดิ่ง มีส่วนทำให้ผู้คนสัมพันธ์กันอย่างผิวเผิน ห่างเหิน โดยยึดเอากรอบคิดแบบระบบมาตรฐานและผู้เชี่ยวชาญนิยมเป็นสรณะ

ในภาวการณ์เช่นนี้ การที่จะสร้างสรรค์ให้บรรยากาศแห่งการเรียนรู้ได้ฟื้นคืนกลับมานั้นจึงต้องการสัมพันธภาพที่ดีเป็นสำคัญ ดังที่ มาการ์เร็ต วีทเล่ย์ ได้กล่าวว่า มนุษย์มักจะเลือกแบ่งปันความรู้แก่กันและกันในสัมพันธภาพที่ดี กล่าวโดยง่ายก็คือ เราเลือกคุยกับคนที่เราชอบหรือไว้วางใจนั่นเอง

เมื่อเราได้สัมพันธ์กับโลกอย่างใกล้ชิด เราจะได้เรียนรู้โลกทรรศน์หรือมุมมองและความเชื่อที่แตกต่างหลากหลาย และเมื่อความเชื่อเดิมที่เรายึดมั่นอย่างตายตัวมาตลอดถูกท้าทาย ก็จะส่งผลให้เกิด ภาวะเปราะบาง ที่อาจทำให้รู้สึกหมิ่นเหม่ ไม่มั่นใจ อึดอัด ปั่นป่วน โกลาหล ซึ่งถือเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นได้ก่อนการ แปรเปลี่ยน ด้านใน

ทั้งนี้การเรียนรู้ที่สำคัญจะเกิดขึ้นเมื่อเราสืบค้นเข้าไปในโลกภายในของเราเอง จนเห็นข้อจำกัด หรือจุดบอด หรือมุมมืดภายในที่เรามองไม่เห็นมาก่อนนั่นเอง

เราไม่สามารถบังคับหรือใช้อำนาจในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านในของผู้คนได้ แต่เราเชื้อเชิญและช่วยสร้างโอกาสเหล่านี้ได้ ดังนั้น ภารกิจหลักคือการโฮส (เป็นเจ้าภาพ) หรือดูแลพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่ยอมรับความปลอดภัย เปราะบาง และเปลี่ยนแปลง โดยเจ้าภาพช่วยทำหน้าที่เชื้อเชิญให้ผู้คนได้มาหันหน้าเข้าหากัน เปิดใจเรียนรู้จากกันและกันด้วยความเคารพ ในขณะที่บรรยากาศหลักของสังคมปัจจุบันคือการแก่งแย่งแข่งขัน การสื่อสารเชิงลบที่กระตุ้นความวิตกกังวลและความกลัว พื้นที่ของสุนทรียสนทนาจึงเป็นเสมือนบ่อน้ำในทะเลทราย ที่นิ่งใส สงบเย็น ปลอดภัย ดังที่คำว่า HOST อาจขยายความได้เป็น Human Oasis for Spiritual Transformation หรือ แอ่งน้ำเพื่อความงอกงามแห่งจิตวิญญาณมนุษย์

โดยหากเราร่วมกันสร้างพื้นที่เหล่านี้ขึ้นมาในสังคม ให้เป็นที่ที่ผู้คนสามารถหันหน้าเข้าหากัน สื่อสารและสัมพันธ์กันได้อย่างแท้จริง ตามวาระเรื่องราวที่แต่ละคนถือว่า สำคัญอย่างแท้จริงในชีวิต รับฟังและใส่ใจในกันและกันได้อย่างเกื้อกูล อารยธรรมแห่งการเรียนรู้ผ่านการสนทนาของสังคมยุคใหม่ก็อาจได้รับการฟื้นฟูให้เกิดขึ้นได้ และไม่เป็นเพียงตำนานที่เราโหยหา หรือดำรงอยู่ในเพียงบางเสี้ยวส่วนของสังคมอีกต่อไป

การฟัง




การฟังเป็นการกระทำที่เรียบง่าย สิ่งที่เราต้องทำคือดำรงอยู่ในปัจจุบัน และมีความอดทน แต่เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างอื่นอย่างใดอีก เราไม่ต้องให้คำปรึกษา หรือสอน หรือทำตัวเป็นผู้รู้ เราเพียงแต่ยินดีที่จะนั่งอยู่ที่นั่นและรับฟัง ถ้าเราทำได้เช่นนั้น เราจะสร้างสรรค์ห้วงเวลาที่เป็นการเยียวยาอย่างแท้จริงให้บังเกิดขึ้น

ฉันได้พบเห็นพลังการเยียวยาของการฟังที่ดีมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้นจึงอยากรู้ว่าคุณเคยสังเกตเห็นเหมือนกันหรือไม่ มันอาจอยู่ในบางเวลาที่เพื่อนได้เล่าเรื่องที่เจ็บปวดจนคุณพูดอะไรไม่ออก คุณไม่สามารถคิดหาคำพูดอะไรได้เลย คุณจึงเพียงแต่นั่งฟังอย่างใกล้ชิด แต่ไม่พูดอะไรสักคำ และผลของการฟังอย่างเงียบงันด้วยหัวใจของคุณส่งผลอย่างไรบ้าง

หญิงสาวผิวดำชาวแอฟริกาใต้ได้ให้บทเรียนสำคัญของการฟังแก่เพื่อนของฉัน เธอนั่งอยู่ในวงของผู้หญิงจากชาติต่างๆและแต่ละคนมีโอกาสเล่าเรื่องของชีวิตตน เมื่อถึงรอบของหญิงสาวผู้นั้น เธอเริ่มเล่าด้วยเสียงเบาๆถึงเรื่องจริงอันโหดร้าย เป็นเรื่องที่ตัวเธอพบว่าปู่ย่าของตนถูกฆ่าตายในหมู่บ้าน หลายคนที่มาจากประเทศตะวันตกเมื่อพบเห็นความเจ็บปวดเช่นนั้น ต่างมีสัญชาตญาณที่จะทำอะไรบางอย่าง พวกเธออยากแก้ไขเพื่อให้มันดีขึ้น อะไรก็ได้ที่ทำให้ความเจ็บปวดจากโศกนาฏกรรมของชีวิตอันอ่อนเยาว์ผู้นี้บรรเทาลงได้ หญิงสาวผู้นั้นรับรู้ถึงความเห็นอกเห็นใจแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคนอื่นๆเริ่มขยับใกล้เข้ามา เธอยกมือทั้งสองข้างขึ้น เหมือนกับจะผลักไสความปรารถนาที่อยากช่วยเหลือของผู้อื่น เธอพูดว่า “ฉันไม่ได้ต้องการให้พวกคุณแก้ไข ฉันเพียงอยากให้พวกคุณฟังเท่านั้น”

เธอได้สอนผู้หญิงหลายคนในวันนั้นว่าเพียงการฟังก็เพียงพอ ถ้าเราสามารถเล่าเรื่องราวและรู้ว่ามีคนรับฟัง เราก็ได้รับการเยียวยาแล้ว ระหว่างกระบวนการรับฟังของคณะกรรมการหาข้อเท็จจริงและสมานฉันท์ของประเทศแอฟริกาใต้ หลายคนได้ให้การถึงเหตุการณ์อันร้ายกาจที่พวกเขาประสบระหว่างระบอบเหยียดผิวปกครองอยู่กล่าวว่าพวกเขาได้รับการเยียวยาจากการให้การของตนเอง พวกเขารู้ว่ามีคนจำนวนมากกำลังฟังเรื่องราวของตนอยู่ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตาบอดจากการถูกตำรวจยิงเข้าที่ใบหน้าในระยะประชิดกล่าวว่า “ผมรู้สึกว่าสิ่งที่นำการมองเห็นกลับคืนมาคือการมาที่นี่และบอกเล่าเรื่องราว ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้ตัวเองป่วยอยู่ตลอดเวลาคือการไม่สามารถเล่าเรื่องนี้ให้กับใคร แต่ตอนนี้ดูเหมือนผมได้รับการมองเห็นกลับคืนมาจากการมาที่นี่และเล่าเรื่องราวให้พวกคุณฟัง”

ทำไมการได้รับฟังจึงสลายความเจ็บปวดลงได้ ฉันไม่รู้คำตอบทั้งหมด แต่ฉันรู้แน่ว่ามันเป็นผลบางอย่างจากขที่การฟังก่อให้เกิดความสัมพันธ์ วิทยาศาสตร์บอกให้เรารู้ว่าไม่มีสิ่งใดในจักรวาลอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือไม่อิงอาศัยกับสิ่งอื่น ทุกสิ่งเป็นตัวตนขึ้นมาจากความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นจุลอนุภาคที่แบ่งปันพลังงาน หรือระบบนิเวศน์ที่แบ่งปันอาหาร ในข่ายใยชีวิตนั้นไม่มีชีวิตใดที่อยู่เพียงลำพัง

การอยู่ร่วมกันเป็นสภาวะปกติของเรา ในเวลานี้ที่เราแยกตัวห่างจากกันเรื่อยๆ แต่ความต้องการและโหยหาต่อการมีสัมพันธภาพของเราก็ไม่ได้หายไป ทุกคนมีเรื่องราวและต้องการเล่าเรื่องราวของเขาเพื่อให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ถ้าไม่มีใครฟัง เราก็เล่าเรื่องเหล่านั้นให้ตัวเองฟังและเราก็เสียสติ คำว่า “สุขภาพ” ในภาษาอังกฤษมาจากรากศัพท์เดียวกับคำว่า “หนึ่งเดียว” เราไม่อาจมีสุขภาพดีได้ถ้าขาดความสัมพันธ์กับใคร และคำว่า “หนึ่งเดียว” นี้ก็มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า “ศักดิสิทธิ์”

การฟังทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น มันช่วยให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน มีสุขภาพดีขึ้น และมีความศักดิสิทธิ์มากขึ้น การไม่ฟังกันสร้างความแยกส่วน และการแยกส่วนนี้เป็นสาเหตต้นกำเนิดแห่งความทุกข์ทั้งปวง ท่านอาคบิชอพ เดสมอนด์ ตูตู (Archbishop Desmond Tutu) กล่าวถึงยุคสมัยปัจจุบันนี้ว่าเป็นเวลาที่ความสัมพันธ์ทุกอย่างของเรา “แตกสลายอย่างสิ้นเชิง” ทุกหนทุกแห่งในครอบครัวของโลก เราเห็นการแยกตัวและความหวาดกลัวระหว่างกันและกัน ตัวอย่างเช่น ในทุกประเทศ มีเด็กวัยรุ่นมากมายเพียงใดที่กล่าวว่าไม่มีใครฟังพวกเขา รู้สึกถูกละเลยและไม่เห็นคุณค่า ในความเจ็บปวดนั้นพวกเขารวมกลุ่มกันเพื่อสร้างวัฒนธรรมของตนเอง หรือหันเข้าหาตัวเองและฆ่าตัวตาย ฉันได้ฟังจากครูผู้ยิ่งใหญ่สองท่าน มาลิโดมา โซเม่ (Malidoma Some′) จากเบอร์กิโน ฟาสโซ (Burkino Fasso) ในแอฟริกาตะวันตก และปาร์เกอร์ พาล์มเมอร์ (Parker Palmer) จากสหรัฐอเมริกา ทั้งสองท่านได้ให้ข้อสังเกตเดียวกันนี้ว่า “คุณบอกได้ว่าสังคมใดมีปัญหาเมื่อพวกผู้ใหญ่เดินข้ามถนนเพื่อหลีกเลี่ยงการพบกับวัยรุ่น” เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างสังคมที่มีสุขภาพแข็งแรงหากเราปฏิเสธที่จะพบปะและพูดคุยกัน แต่ถ้าเราพบปะพูดคุยกัน เราจะถักทอโลกที่เป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นโลกที่ศักดิสิทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง

ยุคนี้เป็นยุคที่เต็มไปด้วยเสียงดัง ผู้คนตะโกนใส่กันในสิ่งพิมพ์ ในที่ทำงาน และในโทรทัศน์ ฉันเชื่อว่าความดังของเสียงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความต้องการที่จะได้รับฟังของเรา ในสถานที่สาธารณะ ในสื่อ เราให้ความสนใจกับผู้ที่มีเสียงดังที่และแรงที่สุด คนจึงส่งเสียงดังเพื่อให้ได้รับการสนใจ และพวกเขาจะทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ผู้อื่นสังเกตเห็น สิ่งต่างๆยิ่งส่งเสียงดังขึ้นจนกระทั่งเราต้องหาทางนั่งลงและรับฟัง พวกเราส่วนใหญ่ชอบที่จะให้สิ่งต่างๆสงบลง เราจึงเริ่มส่วนของเราด้วยการลดเสียงของตนเองลงด้วยความเต็มใจที่จะรับฟัง

ครูในโรงเรียนผู้หนึ่งเล่าให้ฉันฟังว่าเด็กอายุสิบหกปีคนหนึ่งก่อเหตุวุ่นวาย ตะโกนด้วยความโกรธ พูดข่มขู่เธอ ความรุนแรงถึงขั้นที่เธออาจจะเรียกเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายให้ปกป้องเธอจากการถูกคุกคาม แทนที่จะทำเช่นนั้น เธอกลับนั่งลงและถามเด็กคนนั้นให้พูดคุยกับเธอ ต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะทำให้เขาเย็นลงเพราะเขาอยู่ในอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอย่างมากและเอาแต่เดินไปมาอยู่ในห้อง แต่ในที่สุดเด็กคนนั้นก็เดินมาที่ครูและเริ่มเล่าเรื่องราวชีวิตเขาให้ฟัง เธอเพียงแต่ฟัง ไม่มีใครเคยฟังเขาพูดมาเป็นเวลานานแล้ว ความเงียบที่เธอสนใจฟังทำให้เกิดพื้นที่สำหรับเขาเพื่อที่จะฟังเสียงของตัวเอง เธอไม่ได้ให้ข้อแนะนำอะไร ไม่ต้องคิดหาหนทางให้กับชีวิตของเด็กคนนั้น เขาหาหนทางให้กับชีวิตของตนเองได้เมื่อเธอฟังเขาพูด

ฉันชอบประโยคในพระคัมภีร์ที่ว่า “เมื่อคนสองคนหรือมากกว่านั้นเข้ามารวมกัน ฉันอยู่ในที่นั้น” สำหรับฉัน มันเป็นคำอธิบายสำหรับช่วงเวลาศักดิสิทธิ์ของการฟังอย่างแท้จริง สุขภาวะ ความเป็นหนึ่งเดียว และความศักดิสิทธิ์ของสัมพันธภาพใหม่ก่อตัวขึ้น ในขณะที่ฟัง เราไม่จำเป็นต้องชอบเรื่องราวนั้น หรือแม้กระทั่งผู้ที่กำลังพูด แต่การฟังสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้น ทำให้เราใกล้ชิดกันและกันมากขึ้น

ในด้านการเยียวยาผู้เสียหายของกระบวนการยุติธรรม ผู้เสียหายจากการกระทำผิดทางอาญาพบกับผู้ที่ก่อคดี พ่อแม่ของเด็กที่ถูกฆาตกรรมพบกับฆาตกร ในสภาวะที่ไม่อาจจินตนาการได้ มีการถามคำถามและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ชายหนุ่มคนหนึ่งผู้ซึ่งฆ่าเด็กวัยรุ่นได้เรียนรู้ว่าผู้ที่เขาฆ่าเป็นใครและการเสียชีวิตของเธอมีความหมายต่อครอบครัวอย่างไร สิ่งต่างๆที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนในขณะที่ลั่นไกสังหาร ผู้ต้องหาข่มขืนได้ฟังว่าผู้ถูกข่มขืนรู้สึกอย่างไร บางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้ และเขาเปิดเผยถึงความบ้าคลั่งอันมืดบอดที่กระตุ้นให้เกิดกระทำของเขา หลังจากเวลาผ่านไป คนอาจหวังว่าความหวาดกลัวและความเกลียดชังต่อกันจะสิ้นสุดลงในความสัมพันธ์ในลักษณะที่เข้าใจกันและให้อภัยต่อกัน

ฉันอยากให้พวกเราทุกคนมีส่วนในการเยียวยาอันยิ่งใหญ่ มันเป็นที่ต้องการในทุกหนทุกแห่ง ลองคิดว่าใครบ้างที่คุณจะเข้าหาได้ เขาอาจเป็นคนที่คุณไม่รู้จัก ไม่ชอบใจ หรือมีลักษณะการใช้ชีวิตที่ดูจะลึกลับสำหรับคุณ อะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับการเริ่มสนทนากับคนเหล่านั้น คุณสามารถถามความคิดเห็นหรือคำอธิบายและนั่งอย่างเงียบๆเพื่อฟังคำตอบจากเขาหรือเธอเหล่านั้นได้ไหม คุณจะสามารถหักห้ามใจจากการโต้แย้ง การปกป้อง หรือการพูดอะไรออกมาสักระยะหนึ่งได้ไหม คุณสามารถโอบอุ้มให้คนผู้นั้นให้บอกเล่าภาพของสิ่งต่างๆที่เขาเห็น ที่เป็นด้านหนึ่งของเรื่องราวได้ไหม

เราต้องใช้ความกล้าหาญในการเริ่มการสนทนาเยี่ยงนี้ แต่การฟัง แทนที่จะเป็นการโต้แย้ง เป็นสิ่งที่ง่ายขึ้นมากเมื่อฉันได้ฝึกฝนบทบาทใหม่นี้เพียงไม่กี่ครั้ง ฉันพบว่ามันเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งทีเดียว และฉันเรียนรู้สิ่งต่างๆที่ฉันไม่อาจรู้ได้เลยหากฉันพูดขัดจังหวะขึ้นหรือให้คำแนะนำออกไป

ตอนนี้ฉันรู้ว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือเปลี่ยนแปลงโลกได้จากการโต้แย้งด้วยเหตุผลที่ดีของตัวเอง แม้จะด้วยความปรารถนาดีก็ตาม สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อฉันได้เคลื่อนเข้าหาความเป็นหนึ่งเดียว เมื่อฉันเคลื่อนเข้าหาผู้อื่นโดยผ่านทางความอดทนที่จะฟังอย่างแท้จริง

เขียนโดย มาร์กาเรต วีทลี่ย์
แปลโดย นพ.กิจจา เจียรวัฒนกนก

Monday, July 2

สุนทรียสนทนากับงานพัฒนาองค์กร (OD)

สุนทรียสนทนา(Dialogue) กับ งาน OD (Organizational Development)

สุนทรียสนทนา เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่พัฒนามาจากแนวคิดและปฏิบัติที่หลากหลาย ทั้งตะวันตกและตะวันออก โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้จักตัวเองที่จะช่วยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ในระดับทัศนคติหรือโลกทัศน์ ไปจนถึงระดับพฤติกรรมและวิถีการดำเนินชีวิต เพื่อให้เกิดความสุขทั้งในระดับบุคคลและองค์รวมของทีมงานหรือองค์กร
โดยกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมดยืนอยู่บนหลักการที่ว่า
1. ความรู้อยู่ในตัวคนทุกคน และอยู่ในความสัมพันธ์ที่มีต่อกันและกัน ไม่ใช่ “ข้อมูล” หรือ “ความคิด” ที่แยกออกจากบริบทที่เป็นจริงๆ ทั้งนี้ไม่มีความรู้ที่ดีที่สุดเพียงชุดเดียว
2. ความรู้ร่วมเกิดขึ้นเมื่อมีการแบ่งปันความรู้สึกนึกคิด มุมมองที่หลากหลาย จากประสบการณ์ตรงที่มีชีวิตและหลากหลายให้กันและกัน ในบรรยากาศที่ปลอดภัย ไว้วางใจ ผ่อนคลายและตื่นตัว
3. ดังนั้น “การสอนแบบบรรยาย” ในฐานะการให้ความรู้ทางเดียวแบบให้ข้อมูลนั้น จึงถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมด แต่เน้นการสืบค้นความรู้ของผู้เข้าร่วมซึ่งจะส่งผลต่อกาเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน (Sustained self-inquiry and learning)

ในทางตะวันออก องค์ประกอบที่สำคัญของการศึกษาคือ การฝึกการรู้เท่าทันโลกภายในและโลกภายนอกไปพร้อมๆกันนั้น ทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นไปพ้นระดับความคิดล้วนๆที่ไม่สามารถก่อให้เกิดการมองเห็นแบบแผนพฤติกรรมของตัวเองได้

ส่วนความรู้จากศาสตร์ทางตะวันตก ได้แก่ ความเข้าใจในวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ และจิตวิทยาแบบ Voice Dialogue
ในวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่นั้น แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการและความเป็นผู้นำนั้นเน้นความเท่าเทียม การมีส่วนร่วมและการร่วมไม้ร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่างให้เกียรติและความเคารพในตัวมนุษย์อย่างแท้จริง ต่างไปจากแนวคิดแบบเครื่องจักรกลไกที่แยกส่วนและก่อให้เกิดความแบ่งแยก และบรรยากาศของการเอาตัวรอดและแข่งขัน โดยเชื่อมโยงกับความเข้าใจเกี่ยวกับสมอง คลื่นสมอง โหมดชีวิต และการทำงานของสมองทั้ง ๓ ชั้น ที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน อารมณ์ความรู้สึกและความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง

ทั้งนี้ทางสถาบันขวัญเมือง ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ แบบไตรภาค ๓ เอส (State, Stage, Shadow)โดยอ้างงานการพัฒนาจิตแบบบูรณาการ ของ เคน วิลเบอร์ (Ken Wilber) ดังนี้

๑.สภาวะจิต (State of consciousness)
การสร้างสภาวะแห่งความผ่อนคลาย ปลอดภัย ไว้วางใจ ให้เป็นพื้นที่หรือบรรยากาศที่เกื้อกูลแก่การเรียนรู้ และการสืบค้นด้านในของผู้เรียน เพื่อค้นพบโลกภายใน กรอบคิด กระบวนทัศน์ หรือทัศนะอันจำกัด ที่ถูกสร้างขึ้นและทำซ้ำในการสร้าง “ความจริง” (Projected reality) ของตัวเองขึ้น เพื่อนำไปสู่การเขียนโลกใบใหม่ โดยเห็นว่าสภาวะจิตของความปกป้องที่มีพื้นฐานของความเครียด กลัว วิตกกังวล ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ทำให้กระบวนการเรียนรู้หดตัว ดังนั้นในอีกมิติหนึ่ง เราเล่นเพื่อปลุกความสนใจใคร่รู้แบบเด็กที่เยาว์วัยให้เกิดขึ้น เปิดพื้นที่ให้กับ “เจ้าตัวเล็ก” ที่สนใจใคร่รู้ตลอดเวลา (Inquisitive Mind)
ทั้งนี้การดูแลสภาวะจิตนั้นหมายถึงดูแลวาระของร่างกายด้วย ให้เวลาแก่ร่างกายได้ฟื้นฟูพลัง เป็นพลศึกษาภาคผู้ใหญ่ ชีวิตที่มีกายากาลไม่ว่าในรูปแบบไหน เช่น ไทฉีฉวน เบญจลีลามหาสติ (Mindful body movement with 5 Rhythms) ที่อาจเรียกอีกอย่างว่า คลื่นกาย (Body wave) ที่เป็นการถ่ายทอดพลังชีวิตออกมาอย่างสร้างสรรค์และอิสระ ไร้แบบแผนที่ตายตัว
นอกจากนี้การดูแลสภาวะสามารถทำได้ผ่านงานศิลป์ และมิติของสุนทรียศาสตร์ที่หลากหลาย เช่น การละคร วรรณศิลป์ วิจิตศิลป์ ดนตรี เป็นต้น เหล่านี้ล้วนหลอมรวมอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ของขวัญเมืองเพื่อให้คนได้ดำรงสภาวะตื่นรู้ (Awakening mind)

๒.ระดับจิตร่วม (Stage of consciousness)
หากได้ดูแผนภูมิเชิงจิตวิทยาของวิลเบอร์ (psychograph) จะเห็นว่าพัฒนาการด้านนี้มีหลายมิติมาก ทั้งนี้งานของขวัญเมืองเน้นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และระบบคุณค่าที่ส่งผลเชิงพฤติกรรม และแบบแผนความสัมพันธ์ในระหว่างผู้คนในองค์กรหรือที่บ้านที่ส่งผลต่อการงอกงามของวัฒนธรรมใหม่ ที่อาจนำไปสู่โครงสร้างการทำงาน ทั้งนี้การกระทำหรือปฏิบัติการ หรือการฝึกฝนที่เป็นจริง สม่ำเสมออย่างเป็นแผงหรือเป็นชุมชนนั้นจะช่วยดำรงสุขภาวะร่วม (Well-Interbeing) ที่พึงปรารถนาให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าวิถีปฏิบัติที่เป็นจริงนั้นสำคัญมาก เราพูดคุยกันอย่างสำคัญพอๆกับที่เราพูดคุยกันเรื่องอะไร เราสัมพันธ์กันอย่างไร (Relationship agenda) สำคัญพอๆกับที่ว่าเราสัมพันธ์กันเพื่ออะไร (Organizational vision or goal)

๓.เงามืด (Shadow) สร้างสังคมประชาธิปไตยด้านใน (Creating an internal democracy)
เงามืด คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ อุดมคติ (Ideal) ที่เราต้องการที่จะเป็น อยู่ในระดับจิตไร้สำนึก ดังนั้นเรามักเก็บซ่อนหรือกดเงามืดไว้โดยไม่รู้ตัว เป็นความไม่เท่าเทียมด้านใน ในโลกภายในหรือสังคมด้านในก็ต้องการสิทธิ์เสียงที่เสมอภาคหรือต้องการประชาธิปไตยเช่นกัน เพื่อให้ศักยภาพที่แฝงอยู่ในตัวเราและที่เกิดมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์ได้ปรากฎอย่างสมบูรณ์ เราอาจไม่สามารถกำจัดเงามืดได้ด้วยการฉายแสงส่องเข้าไปให้แรงกล้า แต่ยอมรับถึงการดำรงอยู่ของเงามืดหรือศักยภาพที่เรากดทับไว้ ที่มักสำแดงอานุภาพในแบบของอารมณ์ลบ การตัดสินพิพากษาอย่างเป็นอัตโนมัติ โดยการเรียนรู้ในเรื่อง Voice Dialogue จะช่วยทำให้เราเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้อย่างเป็นประสบการณ์ตรง มากกว่าการคิดใคร่ครวญเอาเอง

เมื่อเปรียบเทียบกับ OD
หากมองกระบวนการของ OD โดยทั่วไปที่เน้นความสนุกสนาน และการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการเพื่อก่อให้เกิดความปรองดองและความรักใคร่สามัคคีในทีมงานหรือองค์กรนั้นมักได้ผลในระยะสั้น ถือเป็นการสร้างความเป็นทีม (Team building) และอาจไม่ได้เน้นในเรื่องการเรียนรู้อย่างเป็นทีม (Team learning) ที่ต้องการอาศัยการรับฟังอย่างลึกซึ้ง การดูแลตัวเองให้อยู่ในภาวะตื่นรู้ (Awakening state of mind) อย่างต่อเนื่อง และเรียนรู้จากความแตกต่างที่มักเป็นปัจจัยแห่งความขัดแย้งเสมอ
หากมองจากกรอบคิดของสมองหรือปัญญา ๓ ฐาน การสร้างความเป็นทีมหรือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น คือการทำงานกับสมองพื้นฐาน (Basic brain) ในส่วนของสัญชาติญาณการแห่งความอยู่รอด โดยOD อาจมุ่งสร้างบรรยากาศของความเป็นกันเองสนุกสนาน โดยหวังว่าจะช่วยคลี่คลายช่องว่างหรือความขัดแย้งที่มีอยู่ในองค์กร อย่างน้อยก็ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง ที่จะทำให้เกิดความรู้สึกรักใคร่ไมตรีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนของสมองชั้นกลาง หรือสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่เป็นเรื่องของความรู้สึกผูกพันและความเป็นพวกพ้องเดียวกัน (Mammalian brain)

ทั้งนี้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสมองชั้นนอกสุดที่เป็นชั้นของความคิด (Human brain) ที่มีความทรงจำ ทั้งความเจ็บปวดและความสุข มีความกลัวที่สร้างจากความคิดในอดีต และมองไปในอนาคต หากการเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงการเปลี่ยนสภาวะจิต (State of consciousness) ซึ่งมีความไหลเลื่อนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยไม่ทำงานกับจิตในระดับการรับรู้ (Stage of consciousness) หรือการให้ความหมายต่อตัวเองและสิ่งต่างๆที่ตนมองนั้น การเปลี่ยนแปลงนั้นก็จะไม่ยกระดับความคิดเห็นหรือทัศนคติที่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและการทำงานเป็นทีมในระยะยาวอีกด้วย สามัคคีธรรมจึงเกิดขึ้นในความสนุกสนานและความสุขที่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แต่สุนทรียสนทนาเป็นแนวทางปฏิบัติ (Practical guideline) ที่จะช่วยหล่อเลี้ยงสุขภาวะในการทำงานและการทำงานเป็นทีมให้ยั่งยืนยิ่งขึ้นเมื่อเกิดการปฏิบัติร่วมกันอย่างเป็นชุมชนหรือองค์กร จนกลายเป็นวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันที่เน้นความร่วมไม้ร่วมมือ และการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

จำนวนคน จำนวนวัน กับประสิทธิภาพการเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลง
ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง จำนวนผู้เข้าร่วมและระยะเวลาของการเรียนรู้นั้นส่งผลต่อบรรยากาศโดยรวมและกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน จากการทำงานกับ ๓๐ กว่าองค์กร ในช่วงระยะเวลา ๗ ปีที่ผ่านมา สถาบันขวัญเมืองพบว่า จำนวนคนที่จะช่วยให้เกิดการพูดคุยเชื่อมสัมพันธ์อย่างถ้วนทั่ว รวมทั้งการที่คณะวิทยากร(กระบวนกร)จะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดจนเกิดการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งเพียงพอนั้นอยู่ในปริมาณ ๑๕-๓๐ คน ในระยะเวลา ๔ วันเป็นต้นไป เนื่องจากเนื้อหาในการเรียนรู้นั้นจำต้องใช้เวลาในการใคร่ครวญ ตรึกตรองอย่างละเอียด โดยเปรียบเทียบกับประสบการณ์ตรงในชีวิตของแต่ละคน เปรียบได้กับการออกเดินทางเพื่อค้นหาความรู้อันล้ำค่า นั่นคือความรู้จักตัวเอง (Self-discovery) และความรู้จักกันและกัน โดยในแต่ละวันจะเน้นให้เกิดสภาวะจิตที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้เชิงลึก ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ไม่เคร่งเครียด ไม่เป็นทางการ และมีความเป็นมิตรต่อกันและกัน
โดยสรุป สุนทรียสนทนาช่วยสร้างโอกาสให้เกิดกระบวนการเรีนยรู้ทั้งแนวราบ(รู้จักผู้อื่น) และแนวดิ่ง (รู้จักตนเอง) โดยเน้นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม (Paradigm change toward behavioral change) มากไปกว่าการปรับเปลี่ยนเพียงพฤติกรรมในระยะสั้น และเป็นแนวทางที่ไม่อิงศาสนาหรือลัทธิความเชื่อใดๆ หากชื่นชมแนวทางที่หลากหลายที่จะช่วยยกระดับจิตของมนุษย์ วัฒนธรรมและสังคมให้วิวัฒน์ไปสู่ความดี ความงามและความจริงที่สามัญชนคนธรรมดาในสังคมยุคใหม่สามารถสร้างได้ร่วมกัน

Sunday, May 27

เลื่อนไหลในความโกลาหล

ช่วงที่ผ่านมามีการสนทนาในหมู่เครือข่ายที่สนใจในเรื่องการพัฒนาจิตบนเวบไซด์ของสถาบันขวัญเมือง เรียกว่า วงน้ำชาเสมือน (
www.wongnamcha.com) ที่เราสามารถพบปะสังสรรค์กันได้ทุกวัน โดยไม่ต้องอยู่ที่เดียวกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ออกรสเหมือนได้ซดน้ำชากาแฟและเห็นหน้าค่าตาและได้ยินน้ำเสียงกันจริงๆ แต่ก็ได้สร้างสีสรรค์มากมายให้กับการสืบค้นเนื้อหาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ การดำเนินชีวิต การพัฒนากายจิตของตัวเอง รวมถึงสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์ยุคนี้

ในจำนวนผู้คนที่กระตือรือล้นมากที่สุดคือพี่เม (เมธาวี เลิศรัตนา) ที่มักนำเอาเรื่องราวดีๆ และความเข้าใจในวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่มาบอกเล่าและเทียบเคียงกับเรื่องราวของชีวิตต่างที่เชื่อมโยงกันอยู่ และได้ช่วยหยิบยกงานเขียนของ นพ. ประสาน ต่างใจ ผู้เป็นที่ศรัทธาและเคารพยิ่งมาขยายผลทางความคิดอยู่อย่างสม่ำเสมอ

เรื่องหนึ่งที่ดูเหมือนจะกลายเป็นเนื้อเป็นตัวเธอไปแล้วคือ ทฤษฎีไร้ระเบียบ หรือทฤษฎีเคออส (Chaos Theory) ซึ่งช่วยอธิบายปรากฏการณ์และพฤติกรรมของระบบธรรมชาติและจักรวาล ทั้งเล็กและใหญ่ ที่มีธรรมชาติซับซ้อน เกินกว่าจะสามารถทำนายหรือคาดการณ์อย่างตรงไปตรงมาได้ ยิ่งระบบเศรษฐกิจและสังคมทุกวันนี้เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น ที่สิ่งหนึ่งขยับอีกอย่างก็ขยับเคลื่อนไหวตาม ถือได้ว่าเป็นระบบชีวิตที่มีความไหวตัวสูงมาก อย่างที่ไม่สามารถควบคุมกำกับได้ดังใจคิด

ใครคิดจะทำอะไรทุกวันนี้อาจต้องคิดแล้วคิดอีก หลายคนก็ต้องไปพึ่งพาเรื่องราวทางจิตวิญญาณหรือสิ่งที่มองไม่เห็น หรืออำนาจที่เหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิบายได้มาเผชิญหน้ากับความโกลาหลปั่นป่วน ไร้ระเบียบแบบแผนอันชัดเจนที่ชีวิตเผชิญอยู่อย่างเสียไม่ได้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าปรมาจารย์ทั้งหลายที่อธิบายเรื่องราวของสิ่งที่มองไม่เห็น หรือสามารถทำนายทายทักฟันธงลงไปในชีวิตอันอลหม่าน เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น หรือแม้แต่การตลาดด้านวัตถุมลคงทั้งหลายกำลังมาแรงยิ่งกว่าสิ่งใดๆ อาจถึงคราวที่นักพูดและหมอผีทั้งหลายจะได้กลับมาเป็นผู้นำที่เริ่มน่าเชื่อถืออีกครั้งในยุคไฮเทคนี้



อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเรื่องเค-ออสนี้ อาจช่วยทำความเข้าใจกับการดำเนินชีวิตธรรมดาไม่มากก็น้อย เพราะเป็นการมองว่า โลกมันเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง เชื่อมโยง เคลื่อนไหว ไม่เป็นไปได้ดัง "ใจเรา"ที่มักมีแนวทาง กรอบคิดอะไร "ชัดเจน" โลกรอบๆตัวเราที่หมุนเปลี่ยนไปในความน่าจะเป็นทั้งมวล ทว่า เราจะยินยอมให้ตัวเราได้เริงระบำไปพร้อมๆกับความอลหม่านสับสนได้อย่างไร

เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่า ช่วงที่ผ่านมานี้ผมได้รับสาน์นแห่งการเรียนรู้นี้อยู่เรื่อยๆราวกับว่าเป็นบทเรียนที่สำคัญและที่ต้องทำความเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง และยังมีนัยสำคัญในเรื่องการบริหารองค์กรที่ต้องการให้เกิดความสร้างสรรค์ นวัตกรรม การปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที ในความเกาะติดนัวเนีย ก็ยังต้องเปิดพื้นที่ให้กับความไร้ระเบียบ ที่ถือว่าเป็นโอกาสแห่งการพัฒนา ดังที่มาร์กาเร็ต วีทลี่ คุรุแห่งการบริหารองค์กรในกระบวนทัศน์ใหม่ ถือว่าหากไม่ยอมเชื้อเชิญเคออสเข้ามาในการทำงาน ก็อย่าได้หวังให้เกิดความสร้างสรรค์ใดๆ อีกทั้งจะไม่ช่วยให้ส่วนต่างๆขององค์กรได้เกิดความมุ่งมั่นในการจัดการตัวเองดังที่ระบบชีวิตพึงจะเป็นอีกด้วย

เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเข้าเรียนการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสร้างสรรค์ ๕ จังหวะกับคุณทิม โบรทัน (Tim Broughton) ถือได้ว่าเป็นกระบวนการภาวนาในกายที่เคลื่อนไหว ซึ่งช่วยพัฒนาสติ และความตื่นรู้ได้อย่างรื่นรมย์ รูปแบบของระบำภาวนาจนเหงื่อแตกนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยนักเต้นหญิง และผู้ค้นคว้าทางจิตวิญญาณชาวอเมริกัน ชื่อ Gabriel Roth ที่ตอนนี้กำลังแพร่หลายเป็นอย่างยิ่งในสังคมยุคสมองโตแต่ตัวลีบนี้ ถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้วิถีแห่งการดูแลสภาวจิตนั้นมีความรื่นรมย์ได้ ไม่จำเป็นต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อให้กายจิตดีขึ้นเสมอไป เพราะแม้แต่ในทางพุทธเอง ก็มิได้ส่งเสริมการปรนเปรอชีวิตไปทางด้านใดด้านหนึ่ง

แต่ละจังหวะจะมีคุณภาพเฉพาะในดนตรี ซึ่งจะสื่อหรือสะท้อนโลกภายในของเราให้ออกมาในการร่ายรำ หนึ่งในจังหวะทั้งห้าคือ เคออส (Chaos) หรือจังหวะแห่งความไร้ระเบียบแบบแผน เป็นภาวะแห่งการเวียนวนอลหม่าน ไม่มีหลักยึด จะเรียกได้ว่าเป็นอนิจจังไปเสียทั้งหมดก็คงไม่ผิดนัก โดยการเต้นทำให้เรารู้สึกได้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับคลื่นพลังแห่งความปั่นป่วนนั้น เพียงแค่ยอมรับให้เราและภาวะเช่นนี้ไม่แยกออกจากกันอีกต่อไป

เมื่อย้อนกลับมามองการดำเนินชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม ความไร้ระเบียบมักกระตุ้นให้เราต้องเผชิญกับภาวะแห่งความหมิ่นเหม่ ความไม่รู้ และเปราะบาง ซึ่งเป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้ว่าสิ่งที่เราเห็นหรือรับรู้อยู่นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นดังที่เราคิดหรือที่คาดหวังไว้ และเราต้องพร้อมที่จะถูกทำให้ "ขัดใจ" ซึ่งอาจขัดกับหลักของแนวคิดที่มุ่งเน้นเป้าหมายแน่นอน ซึ่งได้กลายเป็นแนวคิดหลักของสังคมยุคอุตสาหรกรรมนิยมไปแล้ว แม้แต่บ้านเราที่ยังเคยพึ่งพิงแนวคิดแบบ “ธรรมชาติ” และความพอเพียง และเน้นความสัมพันธ์ที่ประสมกลมกลืนกันอย่างมีส่วนร่วม ก็ยังหนีไม่พ้นการพยายามจัดการ ควบคุม แยกส่วน โดยถือว่าจะมีผลจากงานที่กระทำลงไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นแนวคิดแห่งการควบคุมกำกับโลกและชีวิตให้เป็นไปดังใจคิด ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลสำเร็จอย่างมากมายมหาศาล แต่ก็เกิดขึ้นพร้อมกับความขัดแย้งและความทุกข์เช่นกัน

การได้ทำงานร่วมกับองค์กรต่างๆที่ต้องการการเยียวยาความสัมพันธ์ภายในเพื่อพัฒนาต่อไปให้ก้าวหน้ามั่นคงโดยเอาหัวใจของความเป็นมนุษย์เป็นสาระสำคัญนั้น สิ่งที่ผมได้พบอยู่เรื่อยๆคือ แบบแผนความสัมพันธ์หรือโครงสร้างอำนาจในองค์กรได้ก่อให้เกิดโรคร้ายแห่งยุคสมัย ผู้คนเจ็บป่วยทางความรู้สึก ความเหลื่อมล้ำสูงต่ำไม่ทัดเทียมก่อให้เกิดอาการไม่อยากทำงาน ไร้แรงบันดาลใจ รู้สึกด้อยค่า ไม่มีส่วนร่วมในการคิดทำ ความทุกข์เหล่านี้แพร่หลาย เรื้อรังและบางรายก็ถึงสาหัสจนไม่อาจทนได้อีกต่อไป เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนคุณสมบัติหนึ่งขององค์กรเหล่านี้ คือการไม่สามารถยอมรับภาวะไร้ระเบียบ หรือไม่สามารถจัดการความเป็นองค์กรจัดการตัวเองของมนุษย์ ได้น้อยมาก และมีผลให้เกิดความสร้างสรรค์น้อยตามไปด้วย

อาจถึงคราวที่เราจำต้องกลับมาเฝ้ามองความโกลาหลที่เกิดขึ้นอย่างสงบนิ่ง ที่มิได้หมายความว่าหยุด หากเลื่อนไหลไปกับภาวะการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างตื่นรู้และเป็นหนึ่งเดียวกันให้มากขึ้น เพื่อจะได้มองเห็นสิ่งที่ดำรงอยู่ที่ลึกลงไปจากระดับปรากฏการณ์ที่ผิวเผิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมองว่าตัวเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของความเคลื่อนไหวและโลกที่เรามองเห็นเช่นกัน เมื่อนั้นการกระทำใดๆก็จะผุดออกมาจากความเป็นหนึ่งเดียวกัน มากกว่าความแยกส่วนและความขัดแย้ง

Friday, May 18

สิ่งที่คิดไม่ถึง

สิ่งที่คิดไม่ถึง

เมื่อวานได้มีโอกาสพาครอบครัวไปกินข้าวเย็นกัน แม่ได้ให้แง่คิดในการใช้ชีวิตที่ดีมากๆ ที่ผมอาจละเลยมาเสมอ หรือไม่ทันได้คิดคือแนวทางของการอยู่ร่วมกัน แม่บอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะประสบกับสิ่งที่ตัวเองพอใจและไม่พอใจ ซึ่งบางทีเป็นเพียงประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาเพียงชั่วขณะ ส่วนมากอารมณ์ที่พอใจก็จะผ่านไป ส่วนที่ไม่พอใจนั้นมักไม่ยอมให้ผ่าน และพยายามทำความ “คิด” เพื่อทำความเข้าใจกับมัน เช่นว่า


“เอ..เขาทำอย่างนี้เป็นเพราะเขาไม่ชอบใจอะไรในตัวฉันหรือเปล่า” หรือ
“ฉันไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า” หรือ
“ช่วงนี้ชีวิตเขาคงประสบกับข้อจำกัดในตัวเองบางอย่างมั้ง เขาเลยมีพฤติกรรมเช่นนี้”
“เขาต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ที่ทำให้เป็นเช่นนี้”
“เอ...หรือฉันเองนั่นแหล่ะที่เป็นปัญหา”
ไม่ว่าจะคิดไปในทางที่ “เขาคงมีปัญหาในตัวเอง” หรือ “ฉันมีปัญหาที่ฉันไม่รู้”
ก็เป็นการสร้างเรื่องราวขึ้นมาจากสิ่งที่แม่เรียกว่า “น้ำผึ้งหยดเดียว”


แต่โดยส่วนใหญ่คนเรามักจะคิดถึง “เขา” ที่ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจ และพยายามคิดว่าเขามีปัญหาอะไร และหลายๆครั้งก็ไม่ได้คิดถึงเขาเพื่อจะประทุษร้าย หรือ คิดลบ แต่ด้วยความรักและห่วงใยดีๆนี่เองที่ทำให้เราพยายามคิดแล้วคิดอีก เราอาจเรียกว่า เป็นการวิเคราะห์อย่างกรุณา

ไม่เท่านั้นเรายังพยายามช่วยกันคิดอีก เพราะคิดคนเดียวอาจไม่รอบด้านพอ เราเลยชักชวนผู้คนผู้คนให้มาช่วยกันคิด ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความเข้าที่ละเอียดลึกซึ้งลงไปว่า เขาคนนั้นมีปัญหาอะไร และอะไรทำให้เขาต้องเป็นเช่นนั้น

ยิ่งคิดและคุยกันไป “เขา” คนนี้เริ่มปรากฎชัดขึ้นเรื่อยๆ มีรายละเอียดมากขึ้น และเราอาจเชื่อว่าเป็นบทวิเคราะห์ที่รอบด้าน แม่นยำและใกล้เคียงความเป็นจริงเข้าไปทุกที การคิดร่วมกันถือเป็นปัญญาร่วมอย่างหนึ่งที่สังคมกำลังขาดแคลนเป็นอย่างยิ่ง การที่ได้มาร่วมกันและช่วยกันสืบค้นให้ลงลึกถึงทุกแง่ทุกมุมของความเป็นเขานั้น อาจทำให้เราค้นพบ “คำตอบ” หรือ “ทางออก” ให้เขาได้ แต่การยิ่งช่วยคิดกลายเป็นการตอกย้ำให้ความคิดกลายเป็นความจริง(เรามักปักใจเชื่อว่าอย่างนั้น) ขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ หรืออาจเรียกว่าตั้งใจคิดแต่ไม่ตั้งใจทำให้มันเป็นมายาภาพแห่งความจริง แล้วความจริงตามมุมมองของเราก็เริ่มกลายเป็นความจริงทั้งหมด สมบูรณ์เข้มแข็งขึ้น ยิ่งได้รับการถ่ายทอดบอกต่อกันต่อไปเรื่อยๆ ภาพแห่งความจริงนี้ก็แพร่กระจายหรือแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ปักใจทุกดวงให้ยอมรับไปตามๆกันว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ



จริงๆแล้วโลกเต็มไปด้วยความรู้ที่เกิดจากความคิด ยิ่งในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาษาและศิลปศาสตร์แขนงต่างๆ ความคิดมีบทบาทสำคัญในการก็ร่างสร้าง “ความรู้” ให้กับอารยธรรมมนุษย์ แล้วเราจะไม่คิดได้อย่างไร ในเมื่อเราเป็นมนุษย์คนหนึ่งร่วมเผ่าพันธุ์กับมนุษยชาติทั้งมวล การคิดเป็นสิ่งที่เราทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ง่ายๆและคุ้นเคยดี ไม่ต้องได้รับการฝึกปรือจากระบบการศึกษาใดๆเราก็สามารถคิดได้เรื่อยๆ แม้ว่าจะมีการจัดระดับว่าคิดอย่างไรถึงจะเรียกว่าทรงปัญญาหรือดูมีเหตุผลและความเป็นวิชาการหรือหลักการรองรับ แต่พ่อค้าแม่ขายชาวไร่ชาวนาก็คิดได้ทั้งนั้น การคิดไม่จำเป็นต้องเข้าโรงเรียนใดๆ

เราคุ้นเคยกับการเฝ้าสังเกตธรรมชาติหรือสิ่งรอบๆตัวเรา ไปพร้อมๆไปกับการใช้ความคิดเพื่อเข้าใจสิ่งเหล่านั้น เช่น เราสังเกตได้ว่าปีนี้ฝนตกเร็ว ทำให้ต้นลิ้นจี่หน้าบ้านออกลูกดกและเร็ว เพราะเราเชื่อว่าทุกอย่างมีเหตุและผลในตัวมันเอง ยิ่งพุทธศาสนาก็สอนว่าสิ่งทั้งหลายล้วนมีมาแต่เหตุปัจจัยทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่ดำรงอยู่อย่างปราศจากเหตุปัจจัยเลย หากเราเข้าใจเหตุปัจจัยเหล่านี้ก็จะทำให้เราเข้าใจว่าผลที่เกิดขึ้นไปด้วยได้

เราอาจคิดในใจว่า “อืม..เราจะช่วยเห็นเขาอย่างไรดี ไม่อยากเห็นเขาต้องมีปัญหาอย่างนี้ต่อไป และฉันเองก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย” เรามักรู้สึกไปเองว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อสิ่งที่เป็นอยู่จะดีขึ้น นี่เป็นวาระที่มักปรากฎอยู่เรื่อยๆ ความคิดที่ว่า “โลกมันคงไม่ดีขึ้นจากการไม่ทำอะไรของเราหรอก” หรือ “สิ่งสร้างสรรค์ที่ดีงามจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราคิดและลงไม้ลงมือกระทำการ มันไม่อาจเกิดขึ้นจากการไม่สร้างเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์อันพึงปรารถนาภายหลังหรอก”

ทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเรา แต่เรากลับไปคิดถึง “เขา” แทนที่จะตั้งคำถามกับตัวเองว่า เออ..แล้วใครเป็นคนไม่พอใจล่ะ ตัวฉันที่ไม่พอใจนั้นเป็นใคร แล้วทำไมถึงเกิดอารมณ์ลบขึ้นมาได้ แสดงว่ามีอะไรบางอย่างในตัวฉันที่เมื่อได้รับการกระทบก็เกิดอาการตะหงิดๆหรือขุ่นมัวขึ้นมาได้

เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดการตีความ โดยอาศัยประสบการณ์ในอดีตมาช่วยตีความ โดยเฉพาะเป็นประสบการณ์ที่เป็นลบทั้งนั้นที่จะเข้ามาเสริมบทวิเคราะห์ของเราให้มั่นคงและแข็งแรงยิ่งขึ้น และยิ่งได้คิดร่วมกันกับคนอื่นก็อาจจะทำให้เราเกิดความมั่นใจว่าสิ่งที่เรามองเห็นถูกต้องแล้ว

ความมั่นใจในความถูกต้องของความคิดเรานั้นเป็นอุปสรรคของการมองเห็นด้านอื่นๆของความจริง ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครสามารถมองเห็นความจริงได้ทั้งหมด แต่เราอาจทำให้ตัวเรามองเห็นในมุมมองอื่นๆได้มากขึ้นกว่าที่เห็นอยู่ โดยเฉพาะในมุมที่เราไม่ต้องการจะมอง หรือมุมมองที่จะทำให้เรารู้สึกกระอักกระอ่วนต่อต้าน

ในการใช้ชีวิตเราใช้การคิดในการดำเนินชีวิตและทำให้เรื่องราวต่างๆดำเนินไปอย่างที่เราต้องการได้ไม่น้อย เราก็เลยคุ้นเคยกับการแก้ปัญหาหรือคลี่คลายปัญหาด้วยการคิด แต่อนิจจาความคิดไม่ใช่ความรู้ อย่างไรเสีย ความคิดก็ยังเป็นความคิดอยู่วันยังค่ำ เวลาเราคิดถึงกลิ่นดอกกุหลาบ ความคิดนี้ก็หาใช้ประสบการณ์ตรงที่เรามีต่อดอกกุหลาบได้ ดังที่ปราชญ์ตะวันออกของเราทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น กฤษณมูรติ รพินฐนาฎ ฐากูร โอโช และนักปฏิบัติทั้งหลายล้วนเห็นว่า ความคิด ไม่ใช่ความรู้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากประสบการณ์ในอดีต ไม่เป็นปัจจุบัน ความคิดล้วนเป็นผลผลิตของสิ่งที่เกิดขึ้นและตายลงไปแล้ว ผ่านไปแล้ว ไม่เป็นจริงในปัจจบันอีกต่อไป แต่ตัวตนของเราคือสิ่งที่ต้องการดำรงอยู่ ไม่ยอมแปรเปลี่ยน ไม่ยอมตายลง และเป็นตัวที่รู้สึกคุ้นเคยและเป็นตัวที่ “มีความรู้” ยินดีในการอ้างอิงความรู้ ข้อมูลหรือหลักการที่ได้รับมาจากอดีต เพื่อจะไม่ต้องเผชิญกับความไม่รู้แห่งอนาคต ดังนั้นเราจึงมักคิดเพื่อทำความเข้าใจและจัดการโลกรอบๆตัวเรา

ลึกๆแล้วเราสนใจใคร่รู้เสมอ ทำให้ต้องมีแนวโน้มจะปฏิเสธการอยู่อย่างไม่รู้ เราปรารถนาความมั่นใจมากกว่าความลังเลสงสัย เราไม่ต้องการศรัธาอนาคตหากปราศจากหลักยึดใดๆ ทั้งๆที่จริงๆแล้วศรัทธานั้นสำคัญเพราะช่วยทำให้เรานาวาชีวิตในความไม่มีหลักยึดในท้องทะเลกว้างแห่งความไม่รู้ ความลังเลสงสัยหรือความคลุมเครือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชีวิตเราอย่างยิ่ง ดังนั้น เราต้องรู้ให้ได้

ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีอะไรเสียหายที่จะคิด แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหายที่จะไม่คิดเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองได้มากน้อยเพียงใด เพราะบางทีอารมณ์ลบที่เกิดขึ้นนั้นมันอาจไม่ได้มีที่มาจากเจตนาร้าย หรือเจตนาที่เป็นลบใดๆเลย เป็นเพียงน้ำผึ้งหนึ่งหยด ที่หยาดลงมากลางใจเราเพียงชั่ววูบเดียว และด้วยความอนุมัติของเรา เราก็ยอมให้เหล่าแมลงวันแมลงหวี่เข้ามาตอมน้ำผึ้งเพียงหยดเดียวในใจเราจนโกลาหลวุ่นวายไปหมด ความรู้สึกไม่ปลอดภัยก็อาจลุกลามเข้าไปใหญ่จนต้องหาพรรคหาพวกมาสนับสนุนความถูกต้องของเราเอง

บางที่การที่เราจะเข้าใจน้ำผึ้งหยดได้ก็ด้วยการไม่คิด ไม่ต้องวิเคราะห์ ไม่ต้องช่วยกันคิดหรือช่วยกันสื่อสารบทวิเคราะห์ที่มักมีความเชิงลบ ที่โดยทั่วไปอาจไม่มีคำเรียก เพราะคำว่านินทาอาจแรงไปนิด คือการสื่อสารแบบให้ร้าย แต่คิดว่าการนินทาแบบอ่อนๆคือการพยายามวิเคราะห์ข้อจำกัดของคนอื่นนี่แหล่ะ

แต่เฝ้าดูภาชนะที่เป็นรองรับความคิดหรืออารมณ์ความรู้สึกอีกที ว่าเมื่อถูกกระทบนั้นสิ่งแรงที่เข้ามาให้สมองคืออะไร เช่น “นายคนนี้ไม่ชอบฉันหรืองัยนะ” นี่แหล่ะน้ำผึ้งหยดแรก หยดมาแล้ว ถ้าอยากหาคำตอบอาจต้องสื่อสารอย่างกรุณาและซื่อตรง แทนที่จะมานั่งวิเคราะห์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว

บางทีการดูแลสัมพันธภาพใช้การลงไม้ลงมือทางกายมากกว่าการใช้เวลาในการคิด เช่นการกินข้าว หรือออกไปจ่ายตลาด หรือเดินเล่นร่วมกันและถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันไป หรือบางครั้งไม่ต้องอาศัยการสนทนาอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ทำงานกับสมองส่วนกลาง หรือสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ทำหน้าที่ในการสัมผัสสัมพันธ์กับชีวิตอื่นๆ เป็นการสัมผัสตรงและให้กระบวนการของจิตไร้สำนึกทำหน้าที่ค้นหาการเชื่อมโยงถึงกันและกันอย่างไม่ต้องใส่ความเป็นนักคิดผู้ยิ่งใหญ๋ให้กับตัวเองก็เป็นได้

ไมตรีจิตที่เรามีต่อผู้คนหรือคนที่เรารู้สึกไม่พอใจ และช่วยรับประกัน “ความอยู่รอด” หรือความรู้สึก “ปลอดภัย” และปกติ อาจทำให้ความกลัวหรือความไม่ไว้วางใจอันเกิดจากการคิดค่อยๆจางคลายหายไปในตัวเราเองด้วย

เมื่อเราใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น เราก็อาจค่อยๆเห็นโลกใบใหม่ปรากฎขึ้นในโลกใบเดิม ความรู้ในสิ่งต่างๆหรือผู้คนต่างๆจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสัมผัสเชื่อมโยงตรงอย่างปราศจากเงาแห่งความคิดหรือความกลัว เรารู้ไปตามสิ่งที่เราเป็นและตามความสัมพันธ์ที่เรามีกับสิ่งนั้น หากเป็นความสัมพันธ์ที่แบ่งแยกเราออกจากสิ่งใด เราย่อมไม่มีทางเข้าถึงหรือเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามจริงได้ ผมเชื่อว่าความรู้ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากความรัก เพราะความรักทำให้เราเปิดใจรับรู้สิ่งทั้งหลาย แต่ความกลัวทำให้ใจเราปิด ดังนั้นถ้ายังรู้สึกไม่รักก็อย่าแอบอ้างว่าเข้าใจเลย แม้กระนั้นความรักหรือความเปิดรับอย่างเดียวก็อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งหรือผู้คนทั้งหลายได้อย่างที่เป็น แต่อาศัยการเฝ้ามองและใคร่ครวญอย่างเนิ่นนาน โดยเฉพาะการเฝ้ามองดูตัวเราเองในฐานะที่เป็นประธานแห่งการรับรู้และตีความ หากเราเข้าใจอดีตของเรา ที่มักแสดงตัวผ่านอารมร์และความรู้สึกทางกายในแต่ละปัจจุบันขณะ ก็อาจช่วยเพิ่มโอกาสแห่งการเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น

อย่างน้อยการยอมรับว่า “เราไม่ชอบสิ่งที่เธอทำ” (แทนที่จะเป็นไม่ชอบเธอ) หรือ “สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฉันไม่พอใจ และรบกวนจิตใจฉัน จนทำให้หัวใจฉันปิดลง” ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ซื่อตรงที่สุดในการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เข้ามากระทบในชีวิต เป็นการจัดการยอมรับกับน้ำผึ้งหยดแรกก่อนที่แมลงวันจะมาตอม แมลงวันคือความคิดหลังจากเกิดอารมณ์กระทบ แล้วการสืบค้นกับตัวเองและคนที่เกี่ยวข้องอย่างตรงไปตรงมาก็อาจช่วยให้น้ำผึ้งนั้นแปรเปลี่ยนเป็นการค้นพบกันและกัน หล่อเลี้ยงมิตรภาพให้แน่นแฟ้นที่จะ “อยู่ร่วม” กันได้ด้วยการยอมรับความแตกต่าง ที่แม้ “ความไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ชัดแจ้งแดงแจ๋” ทางความคิดใดๆก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เป็นความรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน บริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากความกลัวใดๆ นี้จึงเป็นสิ่งที่ “คิดไม่ถึง” เลยทีเดียว

Friday, April 27

กู้วิกฤตมิตรภาพ



เสี่ยงสู้..กู้วิกฤตมิตรภาพ


ชีวิตโดยเดี่ยว..เฝ้ามองหาเพื่อนและมวลมิตร
แต่การเข้าถึงความเป็นกัลยาณมิตร หรือเพื่อนที่แสนดีนั้นอาจหมายถึงการเอาชีวิตเข้าแลก
หรืออาจหมายถึงการที่ต้องยอมปล่อยทิ้งความอบอุ่นปลอดภัยให้สูญสลายไปกับความโดดเดี่ยว
และก้าวล่วงไปสู่พื้นที่แห่งความสิ้นหวัง และค้นพบขุมพลังของหมาจนตรอก


เราทุกคนต่างมีรอยแผลในใจ และแสวงหาความปลอดภัยให้กับแผลเก่าเหล่านั้นไม่ให้เปิดออกมาอีกครั้ง
เราหวังว่ามิตรหมู่ทั้งหลายจะช่วยให้เราไม่ต้องเปิดแผลที่เจ็บปวดอีก
และดำเนินชีวิตต่อไปอย่างปกติ ไม่ต้องพะวักพะวงว่าความขาดพร่องของเราจะกลับมาเล่นงานเราอีก

แต่จนแล้วจนรอด รอยแผลก็กำเริบเสิบสานรุกรานชีวิตเราเป็นระยะๆ ไม่หยุดหย่อน แบบที่เราไม่รู้ตัว
แม้เราพยายามปกปิด ละเลย แล้วเดินหน้าต่อ และพยายามไม่มองมาข้างหลัง
แล้วปลอบประโลมตัวเองว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็หายไปเอง"
แต่จนแล้วจนรอด เราไม่เคยรอดได้จริงๆ


มิตรภาพไม่ได้มาด้วยเพียงความรู้สึกที่ดีที่เรามีให้กับตัวเองหรือคนรอบข้าง
แต่มาได้ด้วยความซื่อตรง จริงแท้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในตัวเรา
ยอมรับอย่างที่เป็น ไม่ตัดสิน หรือพิพากษา หรือแม้พิพากษาก็ยอมรับว่าเราพิพากษาตัวเอง
เป้าหมายของการพัฒนาด้านใน ควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชน และมิตรภาพที่จริงแท้ ที่เริ่มจากเราเอง


ภาพลักษณ์หรือบทบาทที่ช่วยปกป้องคุ้มครองเราให้ปลอดภัยมาตลอดนั้น เมื่อถึงเวลาก็ต้องทำลายรื้อถอนลง เพื่อให้เราได้เปลือยเปล่าท่ามกลางโอกาสแห่งความเป็นไปได้ของชีวิตทั้งมวล
"ฉันไม่ใช่ ฉัน อย่างที่เคยคิด...ฉันคือความเป็นไปได้ทั้งมวล"

ไม่ว่าเราพยายามจะเป็นคนดีเพียงใด เป็นคนสำเร็จ คนเก่ง หรือคนที่น่ารัก
หรือไม่ว่าเราจะพยายามเป็นคนเลว คนชั่ว ทำตัวให้ไม่เป็นที่รัก หรือน่ารังเกียจหมั่นไส้ ในสายตาผู้คน
เพื่อว่าเราจะได้รู้สึกอิสระจากความคาดหวังของสังคม หรือไม่ผิดหวังในตัวเอง
นั่นคือ ตราบใดที่เรายังพยายามอยู่ หมายถึง เรากำลังแยกตัวเองออกจากความจริงแท้ของตัวเอง
ที่ดำรงอยู่ในความเปลี่ยนแปลง


บางครั้งการได้ลิ้มลองชิมรสชาดของบทบาทที่เราไม่คุ้นเคยดูบ้าง
เป็นคนกร้าวร้าวบ้าง หรือเป็นคนอ่อนเอนไหวพริ้วบ้าง อย่างไม่ตัดสินหรือพิพากษา
ก็น่าจะเปิดชีวิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และค้นพบว่า ถึงที่สุดแล้ว เรามีทางเลือกเสมอ
ที่จะเป็นอะไรก็ได้ ดังใจปรารถนา
ไม่ว่าทุกข์หรือสุข


เมื่อเราจริงแท้กับตัวเองได้ พลังแห่งการยอมรับศิโรราบให้กับความจริงแท้และเปลือยเปล่านี้
ย่อมสำแดงปรากฎ แผ่กระจายไปสัมผัสชีวิตทั้งหลายที่เราเกี่ยวพันด้วย
เราไม่ต้องกลัวความโดดเดี่ยวอีกต่อไป เพราะนั่นเป็นเพียงมายาภาพที่เราเคยสงสารตัวเอง
เราไม่ต้องกลัวความล้มเหลวอีกต่อไป เพราะมันมิอาจทำให้ความรักของเราเปลี่ยนแปลงได้

การดำรงอยู่อย่างจริงแท้กับตัวเอง ไม่ใช่การได้ชัยชนะเหนืออะไร เพราะไม่มีอะไรแพ้หรือชนะ
ความเปลือยเปล่าก็ไม่ได้ดีไปกว่าอะไร มันเป็นเพียงความเปลือยเปล่า ที่ไร้วาระและความคาดหวัง
การไม่แสวงหาเกราะกำบังหรือคำปลอบประโลมใดๆ เพราะลมหายใจเข้าออกได้ดูแลฉันแล้ว


เพียงซื่อตรงและจริงแท้ โลกใหม่ก็ปรากฎอยู่เบื้องหน้า และเบื้องลึก
แต่นี่อาจถึงแก่อสัญกรรมแห่งอัตตา และการต้องเผชิญกับความหวั่นไหวและวิตกกัลวลอย่างสุดขีด
ความประหวั่นพรั่นพรึงที่เราจะไม่มีทำนบให้เกาะ ได้แต่เพียงลอยคออยู่ในมหาสมุทรที่เวิ้งว้าง
หากโชคดี อาจมีท่อนไม้สักต้น ลอยมาให้เกาะ
ไม่ได้...เกาะไม่ได้เชียว เรากระโดดลงจากท่าน้ำเพราะจะหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำมิใช่หรือ
แล้วจะกลัวจมน้ำทำไมกัน
กลัวจะเป็นหนึ่งเดียวกับห้วงมหรรณพที่ยิ่งใหญ่ไปใย






Wednesday, April 25

เล่าเรื่องนาโรปะที่วงจิตวิวัฒน์ (ปี๔๗)


เมื่อผมเข้าเรียนที่นาโรปะเมื่อ ๘ ปีก่อน ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจ เพราะว่าคุณพ่ออยากให้เรียน MBA แต่ผมต่อรองว่า ขอเป็น MA เฉยๆได้ใหม คุณพ่อก็เลยถามว่าแล้วจะไปเรียนที่ไหน ผมก็บอกว่า มหาวิทยาลัยนาโรปะ คุณพ่อก็ถามว่า ติดอันดับอะไรบ้าง (หัวเราะ) เพราะว่าไม่มีใครรู้จัก แต่ผมปรึกษาหลายๆ คนแล้ว อ.สุลักษณ์ ก็แนะนำที่นี่ ความจริง ชูมากเกอร์ คอลเลจ (Schumacher College) ก็น่าสนใจ แต่เนื่องจากไม่มีหลักสูตรประจำ มีแต่ course สั้นๆ ก็เลยไปเรียนที่นาโรปะ ตอนแรกตั้งใจไปเรียนเรื่อง Engaged Buddhism แต่คิดไปคิดมา ก็มาดูหลักสูตรผู้นำสิ่งแวดล้อม ซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจ เพราะเขาใช้คำว่า The Union of Science, Spirit and Action เป็น theme ของหลักสูตรการศึกษา คือเพื่อให้เข้าใจวิธีคิด กรอบความคิดทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ศาสตร์ทั้งหมดที่เป็นมา เข้าใจมิติของความศักดิ์สิทธิ์ แล้วต้องนำไปสู่การรับใช้ผู้อื่น และการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ความศักดิ์สิทธิ์ถ้าหากไม่ได้ดำรงอยู่ในวิถีชีวิตแล้ว ก็เป็นเพียงแค่ความศักดิ์สิทธิ์ที่เราคิดเอาเอง
แนวคิอีกประการหนึ่งของหลักสูตรนี้ คือนิเวศวิทยาแนวลึก, System Theory, Chaos Theory และนำ principle ทางด้านมานุษยวิทยามาสอนด้วย เช่น Cultural Ecology ผมจึงเลือกเรียนสาขานี้เพราะเห็นว่าท้าทายดี

Course แรกก็เป็นอย่างที่เขียนไว้ในเอกสารประกอบ คือต้องออกไปอยู่ทะเลทราย ต้องพาตัวเองเข้าไป เป็นทั้งความรู้ เป็นทั้งตัวทดสอบความรู้ และเข้าไปหาความรู้ เพราะนาโรปะถือว่าความรู้เกิดขึ้นมาจากกระบวนการสัมพันธ์กับธรรมชาติ

นาโรปะเป็นมหาวิทยาลัยเล็กๆ ที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มคนเล็กๆ คล้ายๆ กับกลุ่มจิตวิวัฒน์ แล้วคิดว่าจะมีกระบวนการเรียนรู้และการศึกษาอย่างไร ที่ทำให้ผู้เรียนสามารถค้นพบความสุขในการเรียน แล้วเปลี่ยนแปลงตัวเอง เท่าทันตัวเอง ผู้ก่อตั้งคือ เชอเกียม ตรุงปะ (Chögyam Trungpa, Rinpoche) กับลูกศิษย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นศิลปินบ้าง เป็นนักวิทยาศาสตร์บ้าง อลัน กินสเบิร์ก กวีเอกร่วมสมัยของอเมริกา ก็เป็นลูกศิษย์คนหนึ่ง ที่มาช่วยก่อตั้งมหาวิทยาลัยด้วย มีการสอนเปิดสอนในหลายคณะ เช่น จิตวิทยาการศึกษา ดนตรี ศิลปะบำบัด โดยส่วนใหญ่ผู้เรียนจะเป็นชาวอเมริกัน แต่ก็มีจากอังกฤษบ้าง หลายๆ คนที่มาเรียนก็เพื่อเยียวยาตัวเอง เข้าใจตัวเอง และไปรับใช้คนอื่น มีนักศึกษาประมาณ ๑ พันคน (นพ.ประเวศ: เดี๋ยวนี้ มี ๑,๕๐๐ คน)

ตอนแรกมหาวิทยาลัยก็ไม่มีเงิน เพราะรัฐไม่อุดหนุน ค่าเล่าเรียนจึงสูง เนื้อหาวิชาส่วนใหญ่ จะมี ๓ เรื่องหลักๆ คือ หนึ่ง เรื่องการเข้าใจตนเอง มีวิชาภาวนา ที่ใช้คำว่า contemplative ไม่ได้ใช้คำว่า meditation เพราะคนที่นับถือศาสนาอื่น ก็มาเรียนได้ มีการแสวงหารูปแบบที่จะพัฒนาการทำงานด้านใน การได้ยินเสียงของตัวเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเสียงของเรา อาจจะเป็นเสียงของคนอื่น หรือเป็นเสียงของพระเจ้าก็ได้

สอง เรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับโลก มีการเรียนพัฒนาการของระบบชีวิต ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ อาจารย์ก็จะให้อ่านทฤษฎีวิวัฒนาการแล้ววิพากษ์ทฤษฎีเหล่านี้ เรียนจนถึงการเกิดขึ้นของทุนนิยม และทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ใน scale ที่ใหญ่และซับซ้อนมากขึ้น เรียนทฤษฎีระบบ โดยใช้หนังสือของ โจแอนนา เมซี (Joanna Macy) ซึ่งถือว่าเป็น scholar ที่โยงกับพุทธศาสนาในเรื่องอิทัปปัจจยตา โยงเข้ากับ General System Theory เธอใช้ภาษาบาลีในการเขียนหนังสือมาก คนที่ไม่ใช่พุทธอย่างเพื่อนผม อ่านแล้วก็หงุดหงิด เพราะไม่รู้ภาษาบาลีสันสกฤต

สาม เรื่องการพัฒนา leadership ความเป็นผู้นำ หมายถึง การทำงานเป็นกลุ่ม การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง การพัฒนาการฟัง การประสานความขัดแย้ง คือทักษะทุกอย่างที่เกี่ยวกับการสร้างองค์การ หลักสูตรที่ผมเรียน แบ่งเป็น ๓ area แต่ภาควิชาอื่นๆ เช่น ดนตรี ศิลปะ หรือ psychology ซึ่งนาโรปะมีหลากหลายมาก ทั้งการใช้กาย จิต มีสาขาใหม่คือ ecopsychology คือการใช้ธรรมชาติเป็นตัวบำบัด ที่ทำให้เราเยียวยา และปรับจิตใจให้สูงขึ้น จุดที่ผมคิดว่าเป็นข้อเด่นของนาโรปะ คือการรักษาขนาดให้เล็ก เพราะมีผลต่อการสร้างบรรยากาศความเสมอภาคในการเรียน ที่เข้าใจกันว่าฝรั่งมีความเท่าทียมกันในชั้นเรียน ก็ถูกในระดับหนึ่ง คือลูกศิษย์สามารถแย้งอาจารย์ได้ แต่ผมก็คิดว่า power relationship หรือประเด็นเรื่องอำนาจ ยังเป็นปัญหาอยู่ในบรรยากาศของการเรียน ที่นาโรปะพยายามทำคือ ลูกศิษย์กับอาจารย์สามารถเรียนไปด้วยกันได้ อาจารย์ก็สามารถไม่รู้ได้ ยอมรับตรงๆ ว่าไม่รู้แล้วค้นหาร่วมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ก่อตั้งเน้นมาโดยตลอด หลักเรื่องการดำรงอยู่กับความไม่รู้ การไว้วางใจชีวิต การอยู่กับความเปราะบาง vulnerable เป็นจุดที่ผมรู้สึกว่า ในฐานะที่เติบโตมาทางพุทธเถรวาท ไม่ค่อยได้สัมผัส โดยเฉพาะเรื่องการเปราะบาง ในหนังสือซึ่งมีแปลเป็นภาษาไทย เรื่อง Shambhala เชอเกียม บอกว่า หัวใจของนักรบ ต้องเป็นหัวใจที่เปราะบางและแตกได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเป็นหัวใจที่มั่นคง เชื่อมั่น แล้วก็รู้ ซึ่งผมคิดว่าเป็น principle หรือหลักการบางอย่างของนาโรปะ ที่มีผลทำให้ให้เปิดกว้างต่อความคิดสร้างสรรค์ และ innovation ความรู้ถูกสร้างขึ้นมาร่วมกันระหว่างครูกับศิษย์ คืออาจารย์จะมีความรู้และมีประสบการณ์มาก แต่เวลาร่วมอยู่ในกระบวนการสอน ในการเรียนรู้ร่วมกัน ก็มักจะมีอะไรที่ใหม่และสดเกิดขึ้นเสมอๆ

พื้นฐานของความไว้วางใจ จะใช้คำว่า basic goodness คือความดีความงาม ศักดิ์ศรี ความสง่างามของชีวิต ความสง่างามของความเป็นมนุษย์ มีอยู่แล้ว ไม่สามารถทำลายได้ ซึ่งตรงกับวิธีคิดของชนเผ่าดั้งเดิมของอเมริกา ที่เรียกว่าอินเดียนแดง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่นาโรปะพยายามนำมาสอดประสานระหว่างความคิดทางพุทธ อินเดียนแดง และวิทยาศาสตร์ อาจารย์คนหนึ่งบอกว่า ไม่ว่าจะนอนดึกขนาดไหน ก็จะตื่นขึ้นมาแต่เช้า เพราะช่วยให้ตนเองมีพลังและช่วยให้สามารถเดินอยู่บนขอบได้ตลอดเวลา และบอกว่าชีวิตของการเรียนรู้ ต้องเดินอยู่บนขอบ ต้องพบความเสี่ยง พบกับอะไรที่มาปะทะมาชนได้ตลอดเวลา
ในแง่ของกระบวนการเรียนรู้ที่ผมอยากจะพูดถึง คือการนำพิธีกรรมมาใช้กระบวนการศึกษา หน้าที่ของพิธีกรรรมจะมีหลายประการ เชื่อมโยงกับที่ใช้กันในสังคมดั้งเดิม ชุมชนดั้งเดิมอยู่แล้ว เชื่อมโยงกับจิตที่แตกออก กับธรรมชาติ ทุกๆ class จะมีธรรมเนียมว่า ผู้เรียนจะนั่งเป็นวงกลมอย่างนี้ พอจบ class ก็จะมีพิธีกรรมเล็กๆ

สำหรับการภาวนา หมายถึงการนั่งตามลมหายใจ จะมีครูสอนภาวนาเป็นผู้ให้คำปรึกษา เมื่อนักเรียนที่ไม่คุ้นเคยหรือว่ามีปัญหาเกี่ยวกับภาวนา ก็สามารถ sign up และขอพบอาจารย์ได้ นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยจะมีห้องภาวนา ขนาด ๓๐ เบาะ เปิดตั้งแต่เช้า นักศึกษา staff ของมหาวิทยาลัย หรืออาจารย์ สามารถเข้าไปใช้ได้ตลอดเวลา

กลับมาเรื่องพิธีกรรมอีกนิด ก็คือ พิธีกรรมที่เป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นพิธีกรรมเก่าดั้งเดิม จะมีการค้นพิธีกรรมใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ พวกผมจะถูกฝึก ถูกสั่งการบ้านให้คิดพิธีกรรม แล้วนำมาเสนอให้เพื่อนๆ ทำด้วยกัน ทำตัวเป็นชนเผ่า บางคนก็ใช้การเคลื่อนไหวร่างกาย บางคนก็ใช้การร้อง ฉะนั้น ก็จะหลากหลาย เพื่อนผมหลายคน ใช้พิธีกรรมการร้อง มีสีสันมาก อย่างการร้องโอมมมมม เป็นต้น กรณีนี้ จะเห็นได้ว่า กระบวนการเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากนักศึกษาด้วย หรือการออกไปอยู่ในทะเลทราย อดอาหาร ๓วัน ก่อนออกเดินทาง ครูก็จะแนะนำว่า ให้ฝึกสร้างพิธีกรรมที่จะอยู่กับตัวเอง เพราะเวลาอยู่กับตัวเอง จิตจะฟุ้งง่าย ต้องอาศัยพิธีกรรมช่วย ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือว่าคุยกับมดที่ผ่านไปมา ถามไปเลยว่า ชีวิตผมสับสนมาก ขอคำตอบหน่อย แล้วก็ให้ฟังจริงๆ แต่มดก็เมิน ไม่อยากคุยด้วย (หัวเราะ) คือการออกทะเลทราย (อยู่ในรัฐยูทาห์ ใกล้ๆ กับอริโซนา สวยงามมาก) ในสมัยก่อนเขาใช้คำว่า “Vision Quest” มหาวิทยาลัยเชื่อว่าถ้าปล่อยให้อยู่คนเดียว ในที่ไกลๆ เคว้งคว้าง เวิ้งว้าง จะมีผลต่อวิธีคิด (นพ.ประเวศ: มีเขียนว่า ออกไปแก้ผ้ากลางทะเลทราย) อาจารย์บอกว่าอาจจะเจออะไรดีๆ ผมก็ลองทุกอย่าง แต่ไม่เจออะไรสักที คืออาจารย์จะให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า การออกไปอยู่กับตัวเองครั้งนี้ ต้องการจะรู้เรื่องอะไร เราสามารถขอให้พลังของธรรมชาตินำความกระจ่างชัดเข้ามาในใจเราได้ ในด้านหนึ่ง นี่เป็นกระบวนการที่ช่วยให้เราทำหมายเหตุชีวิต คล้ายการบวชในบ้านเรา ที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนสถานะจากเด็กกลายเป็นหนุ่ม การออกไปอยู่กับตนเองในธรรมชาติ ผมคิดว่าคงมาจากแรงบันดาลใจของหลายๆ คนที่ไปเรียนรู้มาจากอินเดียนแดง ประกอบกับเอาความรู้ความเข้าใจทางด้าน psychology สาย คาร์ล จุง (Carl Gustav Jung) ที่เป็นเรื่องของจิต เป็นเรื่องการตีความระบบสัญลักษณ์ เพราะว่าเมื่อเราออกจากทะเลทราย ก็จะมานั่งล้อมวง แล้วเล่าให้อาจารย์ฟัง อาจารย์ก็จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราในช่วง ๓ วัน มีนัยสำคัญอย่างไรต่อชีวิตเรา เราตั้งโจทย์ของตัวเองอย่างไร ก็จะมีการตีความเชิงสัญลักษณ์ ในแง่หนึ่งก็ช่วยให้นักเรียนเข้าในตัวเอง เช่น ถ้าบางคนเห็นนกหรืองู อาจารย์ก็จะถามว่า ปรกติคุณมองนกหรืองูอย่างไร โดยไม่ต้องคิด สัญลักษณ์พวกนี้มีความหมายอย่างไร เขาใช้คำว่า synchronisity ความประจวบเหมาะของเหตุการณ์และความหมาย ไม่ใช่อุบัติเหตุ นี่เป็นกระบวนการหนึ่งที่ทุกคนต้องผ่านในการศึกษาระดับปริญญาโท ซึ่งจะโยงเข้ากับความเข้าใจเรื่องนิเวศวิทยาแนวลึก เพราะหากไม่ได้เข้าไปอยู่ตรงนั้น เพียงแต่อ่านหนังสือเกี่ยวกับนิเวศวิทยาลัยแนวลึก ก็จะไม่สามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้

พวกเราเคยเชิญนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ของสถาบันวิจัยทางอากาศที่อยู่ในโบลเดอร์ (Boulder) ซึ่งเป็นสถาบันที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา และกำลังวิจัยเรื่องโลกร้อน argument ของเขาคือ โลกร้อนอยู่แล้ว แต่คนไปคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุหลัก แม้เขาจะไม่ปฏิเสธว่ามนุษย์มีส่วนทำให้โลกร้อนยิ่งขึ้นก็ตาม โดยเขาเข้าไปอยู่ในป่า ภาวนา แล้วก็ทำงานในห้องแลป นักศึกษานาโรปะ จึงชวนมาร่วมเวที เพราะนาโรปะจะมีการจัดเวที brownbag lunch คือการถือขนมมานั่งกินมื้อกลางวันในวงสนทนาได้ เป็นกันเองมาก และพิธีกรรมหนึ่งก็คือการทำงานกับอารมณ์ ผมคิดว่า เป็นบรรยากาศทั่วไป ทุกชั้น ทุกสถานที่ ในนาโรปะ คือการให้คุณค่ากับการเข้าใจตนเอง เข้าใจอารมณ์ตัวเอง เพราะคนที่มาเรียนนาโรปะส่วนใหญ่จะใช้ความคิดมาก แต่เข้าใจเรื่องอารมณ์และการทำงานแบบกลุ่มน้อย เป็นเรื่องปกติที่นักศึกษาจะพูดเรื่องที่ตัวเองกลัว หรือเสียใจ แล้วร้องไห้ขึ้นมา การร้องไห้หรือการแสดงอารมณ์ความเศร้า เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในบรรยากาศของการศึกษา และสำคัญมาก เพราะอยากจะเอื้อเฟื้อให้คนได้สัมผัสแล้วไม่ปฏิเสธอารมณ์ของตัวเอง แต่ก็ไม่ปล่อยให้รุนแรงมากขึ้น
กลับมาที่หลักของการดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ เมื่อตอนที่ผมไปเรียน ผมไม่เคยอ่าน Mission ของนาโรปะหรืออ่านแบบไม่ได้สนใจมากนัก แต่พอเรียนจบแล้วกลับมาทำงาน เมื่ออ่านพันธกิจ ๖ ประการของนาโรปะ จะตรงกับกระบวนการเรียนรู้ที่สัมผัสมาเลย ซึ่งทำให้เปลี่ยนตัวเองมาก เพราะเมื่อก่อน ผมเป็นคนที่เหนียม ไม่แน่ใจ มีภาพลักษณ์ของตัวเองเยอะ ว่าควรเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้คิดว่าตัวเองคือใคร ซึ่งก็ถูกยัดเยียดมาในกระบวนการศึกษา ในกระบวนการเติบโต ในความเป็นผู้ชาย ทีนี้กระบวนการทั้งหลายในแต่ละวิชา ก็ช่วยทีละนิดทีละหน่อย ทำให้รับรู้ในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วก็นำมาประยุกต์ได้

ประการที่ ๑ คือ ความรู้เท่าทันปัจจุบันขณะ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของการเรียนรู้ การสร้างความรู้ เป็นการฝึกฝนและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง ซึ่งตรงกับหลักการทางพุทธซึ่งพวกเราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว แต่กระบวนการศึกษาในตะวันตก หลักการนี้ถือว่าเป็นข้อแรก ที่สำคัญที่สุด เพราะหากเราสามารถรู้เท่าทันปัจจุบันขณะได้มากขึ้น จะทำให้เรารับรู้ประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้น ทำให้กระบวนการเรียนรู้ละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเท่าทันความคิด ความรู้สึก การเกิดขึ้นของความคิดต่างๆ อารมณ์ต่างๆ และการอยู่ในปัจจุบันขณะ ก็จะมีคุณลักษณะต่างๆ ที่สามารถสำแดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นความคิดอ่านแม่นยำ ความเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น

หลักการที่ ๒ คือ การสร้างสรรค์ชุมชนแห่งการเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องการแสวงหาของปัจเจกเท่านั้น และประสิทธิภาพก็ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องเรียนที่แยกสัดส่วนจากสิ่งแวดล้อม แต่ว่าจะต้องเกิดจากปฏิสัมพันธ์ dynamic จากการปะทะสังสรรค์ที่เรามีต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ฉะนั้น บรรยากาศของกัลยาณมิตรหรือการเรียนรู้ จะทำให้เกิดการทดลองการมีชีวิต ท้าทาย ทดสอบสติปัญญา ความรู้ และการรับรู้ของนักศึกษา เป้าหมายการเรียนรู้ในแต่ละวิชา ระบุว่าจริงๆ แล้ว คนที่มาเรียน เมื่อจบออกไป จะหาสมดุลในชีวิตอย่างไร การทำวิชาชีพจะเป็นอย่างไร เพื่อนผมหลายคนบ่นว่า มาลงภาวนาตั้ง ๙ หน่วยกิต จบออกไปจะทำอะไรกิน (หัวเราะ) ใครจะรู้ ใครจะเข้าใจบ้าง ว่าการภาวนามีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
หลักการที่ ๓ คือ บ่มเพาะการเปิดกว้าง ซึ่งแยกย่อยออกไปอีก คือเขาถือว่า graduate จะต้องมีคุณลักษณะอย่างไร ทั้งหมด ๕ ประการด้วยกัน

๓.๑ นักศึกษาต้องมีความเปิดใจและเคารพในประสบการณ์ตรงของตัวเอง ไม่เฉพาะความคิด ประสบการณ์คือทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึก บัณฑิตที่พึงปรารถนาของนาโรปะ จะต้องมองเห็นประสบการณ์ตรงเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา เพราะถ้าพลาดการรับรู้ประสบการณ์ตรงเหล่านี้ การเรียนรู้ก็จะไม่เกิดขึ้น การบ่มเพาะความสนใจใคร่รู้ในโลก ในสิ่งที่อยู่รอบข้าง สามารถดำรงอยู่และยอมรับในสิ่งที่เราเป็นได้อย่างไม่แปลกแยก ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่งของโจทย์การศึกษาในนาโรปะ ไม่แปลกแยกกับความคิด ไม่แปลกแยกกับความเป็นตัวเอง

๓.๒ ทักษะการสื่อสาร การสร้างความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์ คือต้องเรียนรู้ที่จะชื่นชมคุณค่าในประสบการณ์ตรงของคนอื่น มีการฝึก dialogue ของ เดวิด โบห์ม ซึ่งจะคล้ายๆ กับของเควกเกอร์ ต้องรับฟังและเคารพ เมื่อได้ยินเสียงข้างในของตนเอง ก็ต้องเคารพในประสบการณ์ข้างในของคนอื่นด้วย เพราะทักษะในการสื่อสารจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราสามารถชื่นชมประสบการณ์ข้างในของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะในการเขียน พูด ฟัง หรือทักษะในศิลปะแขนงต่างๆ เช่น ศิลปะแบบเคลื่อนไหว ทัศนศิลป์ ฯลฯ

๓.๓ มีการวิเคราะห์ที่แหลมคม ลุ่มลึก เป็นเรื่องพุทธิปัญญา เข้าใจหลักการต่างๆ เชื่อมโยงได้อย่างมีวิพากษ์ วิจารณ์ มีวิจารณญาณและมีปัญญา มีความสามารถในการเปิดพื้นที่เรียนรู้ ความตั้งใจที่จะแสวงหาความสดใหม่

๓.๔ การชื่นชมในความมั่งคั่งในภูมิปัญญาของโลก ว่ามีความหลากหลายเหมือนความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นของชนเผ่า ในศาสนาต่างๆ

ในนาโรปะจะมี World Wisdom Chair คือมีผู้อาวุโสคนหนึ่งไปอยู่ประจำ เป็นเทอมๆ เหมือนปราชญ์ประจำสถาบัน ตอนที่ผมอยู่ จะมีแรบไบ (rabbi) ซึ่งทุกเดือนหรือทุก ๒ อาทิตย์ ก็จะมีการนำเสนอเรื่องที่ตนเองสนใจและมีความรู้ โดยเปิดให้คนเข้าฟังได้โดยไม่ต้องเสียเงิน เมื่อครบเทอม ก็จะเลือกกรรมการคนอื่นต่อไป
๓.๕ การกระทำที่มีประสิทธิภาพ บัณทิตจะต้องกระทำเป็น ไม่ใช่คิดเป็นอย่างเดียว สามารถนำความรู้ไปกระทำให้ทะลุปรุโปร่ง

(หลักการที่ ๔ มรดกแห่งการศึกษาแนวพุทธ หลักการที่ ๕ วิถีแห่งภูมิปัญญาโลก และหลักการที่ ๖ การไม่ฝักใฝ่ในลัทธิความเชื่อหรือศาสนาใดๆ และความเปิดกว้าง, “บทเรียนจากมหาวิทยาลัยนาโรปะ”
โดย ณัฐฬส วังวิญญู)

มี paper อีกชิ้นหนึ่งเรื่อง “เบญจคุณ” ที่ผมแปลจาก “Five Wisdoms” ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงระหว่างคุณลักษณะทั้ง ๕ จะคล้ายๆ กับนพลักษณ์ แต่ว่าอาจจะมาทางสายธิเบต เช่น แต่ละคุณลักษณะจะเผยตัวอย่างไรในแต่ละคน มีวิธีการอย่างไร เช่น สีแดงของผมมีมากเกินไป สีน้ำเงินของผมมีน้อย ผมต้องการสีน้ำเงินมาก ก็จะมีกระบวนการ เป็นห้อง ๕ ห้องที่ออกแบบไม่เหมือนกัน แต่ละห้องจะระบายสีแต่ละสี แล้วรูปลักษณะของห้องเป็นกระบวนการที่ช่วยให้เราดึงลักษณะบางอย่างออกมา ไม่ว่าจะเป็นความใจเย็น ความสงบ หรือว่าความจัดจ้าน บางคนมีความจัดจ้านน้อยไปหน่อย ก็จะมีห้องฝึกการแสดงออก บางคนใช้ความคิดมาก อยู่กับกายน้อย บางคนอยู่กับกายมากไป ก็ไม่ค่อยดี คือช่วยให้คนเรียนได้ค้นหาสมดุลของตัวเอง คือจะมี course ที่เปิดให้คนข้างนอกมาร่วมเรียนด้วยได้ ไม่จำกัดความรู้และอายุ ส่วนใหญ่อาจารย์ที่ไปสอน ก็เพราะอยากจะ cross discipline ก้าวไปสู่พรมแดนความรู้ของคนอื่นบ้าง ว่าคนอื่นคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในแง่ของการเรียนที่หลากหลาย ก็จะแบ่งพื้นที่ไว้ให้นักศึกษาได้ออกแบบการเรียน ว่าอยากจะอ่านหนังสือเล่มไหน การเลือกสถานที่เรียน อาจจะนัดหมายที่ร้านกาแฟ หรือที่ห้องสมุดก็ได้

ผมไม่มีโอกาสได้เรียนกับเชอเกียม ตรุงปะ เพราะท่านเสียชีวิตไปก่อนแล้ว ตอนที่เชอเกียมยังมีชีวิตอยู่ ก็จะมีเรื่องมากมายให้ได้ชื่นชมและหมั่นไส้ เขาเป็นคนแปลกๆ ที่ไม่ธรรมดา แต่ก็มีวิธีการสื่อสารกับชาวตะวันตกได้ดีมาก เชอเกียมชอบสอนเรื่องความคิดฉับพลัน ความคิดแรก มหาวิทยาลัยนาโรปะจะให้ฝึกเรื่องการจับความคิดแรก บ่อยๆ เพราะส่วนใหญ่เราจะถูกความคิดที่ ๒ - ๓ ทับถมความคิดแรกซึ่งดีที่สุด ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการฝึกพู่กัน ยิงธนู จัดดอกไม้ หรือพิธีชงชา พิธีกรรมและกระบวนการเหล่านี้มีขึ้นเพื่อฝึกการปล่อยพื้นที่ว่างให้กับความคิดแรก เชอเกียม บอกว่าทำโต๊ะให้ว่าง แล้วอาหารอันโอชะจะถูกส่งมาจากสรวงสวรรค์ การทำโต๊ะให้ว่างก็คือการอดอาหาร (หัวเราะ) แล้วอาหารอันโอชะจะถูกนำมาจากสรวงสวรรค์
อ.เอกวิทย์: สังเกตดูว่าการเรียนที่นี่ ค่อนข้างจะหลากหลาย


คุณณัฐฬส: มีหลายแบบครับ อาจารย์สอน วิธีการสอน และวิธีการให้คะแนนจะมีหลายแบบ บางวิชาอาจารย์ก็จะถามว่า ทำไมเราให้คะแนนตัวเองเท่านี้ และไปถามเพื่อนๆว่า พัฒนาการของเราเป็นอย่างไร
อย่างวิชา Group Dynamic เป็นวิชาที่ค่อนข้างยากเพราะมีความขัดแย้งกันสูง หลายๆ คนที่มาเรียนก็คาดหวังที่จะออกไปเป็นนักสิ่งแวดล้อม ไปทำงาน policy อะไรอย่างนี้ แต่หลายคนก็ไม่ได้สนใจจะดูตัวเอง สนใจแต่จะได้ MAไปสมัครเข้า UN หรือรัฐบาล ฉะนั้น พอมาเจอกระบวนการอย่างนี้ ก็จะรับไม่ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายที่รับไม่ได้ ว่าร้องไห้กันทำไม แต่ผมยอมรับว่า ครูที่สอนเรื่องเหล่านี้ จะต้องมีประสบการณ์สูงมาก เพราะการจัดการความขัดแย้งในห้องเรียนขนาด ๔๐ คน แล้วเริ่มด่าทอกัน คนที่จะมีปัญญาจัดการได้ ต้องแสดงให้เห็นเลยว่ามีวิธีการอย่างไร

ในปัจจุบัน มีทฤษฎีหรือหนังสือมากมายเกี่ยวกับเรื่อง group dynamic เรื่อง Field Theory ทฤษฎีสนามพลังของกลุ่ม เปรียบเทียบได้กับศิลปะการป้องกันตัว ไอกิโด้ ซึ่งก็เป็นศาสตร์ที่น่าสนใจอีกด้านหนึ่งและควรจะปรับมาใช้กับบ้านเราได้บ้าง


อ.เอกวิทย์: มีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยข้างเคียงมาเรียนบ้างหรือเปล่า


คุณณัฐฬส: ก็มีบ้างครับ อย่างเช่น มาจากมหาวิทยาลัยโคโรลาโด ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่สนใจมาทางนี้มากกว่า แต่บางคนก็ไม่เคยรู้จักเลย คนที่เป็นฝ่ายซ้ายมากๆ ก็จะมองว่านาโรปะเป็นมหาวิทยาลัยของพวกคร่ำครวญกับชีวิตตัวเอง (หัวเราะ) ไม่ทำอะไร ไม่มี action ไม่มีจุดยืนทางการเมือง ซึ่งก็มีส่วนที่เป็นจริง คือคณะที่เรียนไปทางกวีนิพนธ์ อักษรศาสตร์ ศิลปะ หรือดนตรี ก็จะไม่มี action ในเชิงการเมืองมาก ไม่เหมือนนักศึกษาสิ่งแวดล้อม อย่างเช่นเพื่อนผม เคยเอาโซ่ล็อกคอตัวเองไว้กับร้านกาแฟสตาร์บัคที่มาเปิดใหม่ เพราะจะมาทำลายร้านกาแฟเล็กๆ ในเมืองโบลเดอร์ ซึ่งมีร้านกาแฟเล็กๆ น่ารักๆ มากมาย เพื่อนผมไม่ยอม ก็โดนจับไป


อ.เอกวิทย์: นาโรปะเป็นมหาวิทยาลัยทางเลือกที่น่าทึ่ง แต่ไม่ทราบว่า เท่าที่คุณณัฐฬสสังเกต คนที่เข้าเรียนมากน้อยเพียงใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้


คุณณัฐฬส: ผมไม่แน่ใจว่าจะตอบได้หรือเปล่า ถ้าดูจากคนที่ผมรู้จัก ผมเชื่อว่าถ้าคนที่มาเรียนแล้วสามารถเปลี่ยนตัวเองได้มีอยู่จริงไม่มากก็น้อย เพราะแต่ละปี ก็มีนักศึกษาเป็นพันคน และนักศึกษาจะถูกฝึกให้เปลี่ยนวิธีคิด จากการเรียนเพื่อไปสมัครงานที่ไหน ให้เป็นเรียนเพื่อจะสร้างงานของตัวเองเหมือนกับการสร้างพิธีกรรม บางคนอาจจะเป็นอาสาสมัคร กลับไปอยู่บ้าน ไปเป็นกรรมการในท้องถิ่นตัวเอง บางคนก็ไปเป็นครู และที่เป็นกันมาก คือ counsellor เดี๋ยวนี้ ก็จะมีเครือข่าย มี e-mail ส่งมาบอกว่า มีศิษย์เก่านาโรปะอยู่ที่นั่นที่นี่

อ.เอกวิทย์: ไม่ทราบว่านาโรปะมีการรับรองวิทยฐานะ ที่จะมีผลต่อการเรียนจบแล้วไปทำงานไหม


คุณณัฐฬส: ผมคิดว่า ก.พ. คงไม่รู้จัก ของไทยคงไม่มีการรับรอง แต่ว่าถ้าเทียบดูเนื้อหาวิชา ก็ไม่ห่างจากหลักสูตรที่อื่นมาก เพียงแต่มีวิธีการสอนและเนื้อหาบางอย่างที่แปลกออกไป อย่างผมเรียนตั้ง ๖๐ หน่วยกิต ในขณะที่หลักสูตรทั่วไปต้องการแค่ ๓๐ หน่วยกิต ถือว่าเป็นการเสริมเนื้อหาเข้าไป อย่างวิชาดนตรี หรือวิชา visual art ก็เป็นหลักสูตรที่น่าสนใจ หรือผมไปเรียนสีน้ำ เขาก็ไม่ได้สอนเทคนิคอะไรมาก แต่บอกว่า ศิลปะไม่ใช่การวาดภาพเหมือน แต่คือการสอนใจตัวเอง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งที่เรามอง ที่เราชื่นชม และอย่าลากพู่กันจนกระทั่งไม่มีเราเสียก่อน คือจะฝึกในการมอง ฝึกจิต แล้วจึงค่อยทำ ผมคิดว่า ความเข้าใจเรื่องการภาวนาก็มีผลต่อการออกแบบหลักสูตร ออกแบบวิชา

นพ.ประเวศ: ผมไปเยี่ยมนาโรปะเมื่อ ๒ สัปดาห์ก่อน ที่ประทับใจคือ เวลาเดินเข้าไป คนทั้งหมดจะมีหน้าตายิ้มแย้ม มีความสุข ตั้งแต่ผู้บริหาร ครู พนักงาน นักศึกษา ที่น่าสนใจ คือผมได้คุยกับอธิการบดี รองอธิการบดี และหัวหน้าแผนก religious ทำให้ทราบ คนที่เป็นครูจะมาเข้าเรียนเพิ่มเติม เพื่อให้เห็นจิตใจตนเอง และเข้าใจจิตใจผู้อื่น แล้วครูก็จะกลับไปสอนศิษย์ เป็นกระบวนการที่ดีมาก เป็นจุดที่ยิ่งใหญ่ เพราะของเราจะเรียนแต่เทคนิค ไม่เข้าใจตนเอง และความเป็นมนุษย์

อ.สุมน: สิ่งที่ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก คือเรื่องความเปราะบางของจิตใจ เพราะเวลาพัฒนาจิต เราจะบอกว่าเพื่อให้จิตแข็งแกร่ง เข้มแข็ง แต่คุณมาพูดถึงความเปราะบาง หมายความว่าอย่างไร อ่อนไหวหรือโรแมนติก ถ้าภาษาอังกฤษจะเข้าใจ แต่พอมาเป็นหัวใจเปราะบาง พร้อมที่จะแตกสลาย จะไม่เข้าใจ

คุณณัฐฬส: ความเข้าใจของผม เขาจะใช้ image ของพระโพธิสัตว์ ลักษณะเด่นก็คือความสามารถในการฟัง โดยเฉพาะเรื่องราวความยุ่งยากได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งหัวใจที่จะเข้าไปรับฟังได้ ต้องไม่แข็งกระด้าง ที่เขาใช้คำว่า vulnerable หมายถึง broken ได้ รับรู้ได้ ไหวตัว และตื่นตัว อีกคำหนึ่งที่ใช้คือ surrender หรือศิโรราบ ผมคิดว่า เรื่องนี้ถกเถียงได้ว่าภาวะความเป็นผู้นำที่ต้องการ ความเข้มแข็งที่ว่าเป็นอะไรได้บ้าง อ่อนโยนได้อย่างไร ทุกข์ไปกับสิ่งที่เรารับรู้ได้หรือไม่ พระโพธิสัตว์รับรู้ความทุกข์และเป็นหนึ่งเดียวกับความทุกข์ หมายความว่าอย่างไร เพราะเชื่อว่า เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกับความทุกข์ ไม่ปฏิเสธความทุกข์ action จะเกิดขึ้นจากความเมตตา แต่ใจจะต้อง broken heart, compassion ต้องเกิดมาจากใจที่ broken heart แต่นำมาตีความในเถรวาท ผมไม่รู้ว่าจะใช้ภาษาอะไร คนอื่นอาจจะช่วยเสริม

อ.เอกวิทย์: ความเข้าใจของผม คำว่า ความเปราะบาง vulnerable ในภาษาของการเล่นไพ่บริดจ์ หมายความถึงจุดที่จะต้องตัดสินใจ ว่าจะทิ้งไพ่หรือไม่ แต่คนที่จะทิ้งไพ่ได้ถูกต้อง ต้องเป็นคนที่เฉลียวฉลาด แหลมคม มีความอ่อนไหวสูงพอที่จะเข้าใจคนอื่น เข้าใจสถานการณ์ เข้าใจชีวิต นำไปสู่การเรียนรู้ และตัดสินใจที่ถูกต้อง

นพ.ประเวศ: ความหมายอีกประการหนึ่ง ก็คือการเปิดให้กับความเสี่ยงที่อะไรจะเกิดขึ้น เช่น การทำงานเพื่อส่วนรวม จะต้องถูกกระทบ

คุณวิศิษฐ์: เพื่อให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเชื่อมโยงกับกระบวนการเรียนรู้ ผมคิดว่า ความเปราะบาง คือการนำตัวเองเข้าไปสู่ความเสี่ยง ในการเรียนรู้ จะมี ๒ โหมดหลักๆ ในชีวิต คือ โหมดปกป้องตัวเอง กับ โหมดเรียนรู้ พื้นฐานที่สุดของโหมดปกป้อง คือความกลัว การนำตัวเองไปสู่จุด vulnerability หรือจุดเปราะบาง เมื่อนำพาตัวเองไปที่ๆ เรากลัว หรือเสี่ยงภัยบ่อยๆ พบกับการท้าทายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด ตัวเองก็จะไม่กลัว

อีกด้านหนึ่ง เมื่อเรานำพาตัวเองไปสู่สิ่งที่เรากลัว หรือ uncomfortable zone ที่เราไม่สะดวกสบาย การเรียนรู้จะเกิดขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่อยู่ในความสะดวกสบายเดิมๆ ความคิดเดิมๆ ความรู้สึกเดิมๆ และไม่เปลี่ยน

ทีนี้ ในแง่หัวใจแตกสลาย คือมีการศึกษาและสังเกตองค์ทะไลลามะ เมื่อมีการสนทนากับนักวิทยาศาสตร์ เรื่องความเมตตากรุณา เมื่อท่านฟังความทุกข์ของคนอื่น ท่านจะ suffer ทันทีภายใน ๒-๓ วินาที ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเรื่องราวที่ท่านได้ยิน หลังจากนั้น ท่านก็ฟื้นคืนสดชื่นขึ้นมาทันที คือมันเป็นพลังของการรับรู้ความทุกข์ของคนอื่นถึงก้นบึ้งที่หัวใจของเราแตกสลายได้

นพ.โกมาตร: ผมเข้าใจว่า การตีความสามารถแตกต่างกันได้ ผมนึกถึงการสัมมนาที่หาดใหญ่ คุณสุรภี (ชูตระกูล) ซึ่งแลคุณสุภาพรจนถึงนาทีสุดท้าย เล่าว่า ในจังหวะที่ต้องดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ใกล้ตาย จะมีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งทั่วร่างกาย ชนิดแทบทนไม่ได้ แม้แต่จะขยับแขนขา ก็ต้องค่อยๆ ยกเป็นมิลลิเมตร ทีนี้คนดูแลก็เป็นมนุษย์ บางครั้งก็ไม่สามารถอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นได้ตลอดเวลา ส่วนผู้ป่วยเองก็หงุดหงิด เพราะว่าครั้งหนึ่งเคยควบคุม เคยจัดการกับชีวิตตัวเองได้ ปัจจุบัน แม้แต่เวลาคันก็ต้องเรียกคนอื่นมาเกาให้ พออยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น คุณสุภาพร ซึ่งปฏิบัติมาตลอด ก็จะหงุดหงิด จิตใจขุ่นมัว คนดูแลก็อยู่ในความบีบคั้น และเหนื่อยกับการดูแลข้ามวันข้ามคืน ก็จะเกิดการปะทะกัน ผมคิดว่าจุดนี้คือความเปราะบาง และถ้าเราไม่เปิดตัวเองกับความเปราะบางนั้น เราก็จะไปไม่พ้น และเรียนรู้จะไม่เกิดขึ้น เพราะไม่เห็นความเปราะบางของตัวเอง นักรบแท้จริง จะต้องมีสุขภาวะที่เข้าไปในเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความเปราะบางนี้ เพื่อจะได้เติบโต และเรียนรู้ ดีกว่าการหวังว่าไม่ต้องพบ ไม่ต้องคิด แต่หงุดหงิดต่อไป หรือหาทางปกป้องตัวเองด้วยวิธีการเดิม ก็ไม่มีทางจะได้เรียนรู้

อ.เอกวิทย์: ดูเสมือนหนึ่งว่า นักรบชั้นยอด ศิลปิน กับพระสงฆ์ จะมีจิตอยู่ในระดับเดียวกัน

นพ.โกมาตร: คือพอแปล vulnerability เป็นความเปราะบาง จะมีลักษณะของความสุ่มเสียง ความหมิ่นเหม่ เกิดสิ่งที่ใจเรายากจะรับได้ มีความไม่แน่นอน

อ.จุมพล: เวลาฟังคุณณัฐฬสพูดถึง vulnerability เรื่องของความเปราะบาง ความรู้สึกแรกก็คิดในเชิงคำหมายว่า ถ้าเราใช้คำภาษาไทย ว่า “เปราะบาง” เราจะติดกับประสบการณ์เดิม เช่น แก้ว ที่เราเรียกว่าเปราะบาง แตกสลายได้ง่าย แล้วกลับมารวมกันลำบาก แต่พอฟังไประยะหนึ่ง ก็มีความรู้สึกว่า คำนี้มีความหมายกว้างมากกว่านั้นมาก

ผมรู้สึกว่า vulnerability เป็นศักยภาพ เป็นความสามารถของคน ที่พร้อมจะเปลี่ยน ซึ่งจะต้องยอมรับอะไรเข้ามา จึงจะเปลี่ยนได้ ถ้าใช้คำว่า บอบบาง แทน เปราะบาง อาจจะมีความหมายที่ผิด แต่ว่าจริงๆ ก็คือ ยอมให้อะไรซึมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเราได้ ไม่ไปสกัดกั้น หรือปกป้องเหมือนที่พูด พอซึมเข้ามา ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปทันที แล้วหลังจากนั้นก็จะเกิดไปเป็นสิ่งใหม่

แต่ถ้าจะพูดอย่างหยาบๆ ในทางจิตวิทยา เราพูดเรื่อง flexibility ว่าการจะ flexible ได้ ก็ต้องยอมรับสิ่งใหม่เข้ามาก่อน และพร้อมจะเปลี่ยนเมื่อมีสิ่งใหม่เข้ามา ในความหมายนั้น ผมมองว่าเป็นศักยภาพ และธรรมชาติของสรรพสิ่งด้วย

คุณเดวิด: Vulnerable comes from the Latin language meaning to wound or to be wounded. I was thinking of the distinction Ajahn Buddhadassa made between 'everyday language' (phasaa khon) and 'Dhamma language (phasaa Thamma) . An example of the word 'vulnerable' in everyday language would be: the government's position on this problem is vulnerable, which means the opposition could easily attack it and wound the government. So the government runs around and tries to make its position stronger. Or in a military situation or a war, you say your position is vulnerable; it means you have a weak spot in your defenses which could be attacked easily by the enemy. This is everyday language.


Vulnerable, in my opinion, also has a spiritual or a Dharma meaning, which is related to compassion. The word 'compassison' comes from two Latin words: 'com' means 'with'; 'passion' means 'to suffer.' (For example, the recent Mel Gibson movie - The Passion of Jesus Christ.) So compassion means to suffer with, which is to be vulneralbe. To make yourself vulnerable spiritually means to dare to suffer with someone, and thus to make yourself vulnerable. One of the great symbols of daring to be vulnerable, to be compassionate is Chaw Mae Kuan In. In Chinese this means 'the one who hears the cries of the world' - and this is a wonderful symbol. Who among us dares to hear the cries of the world - we all turn away from a beggar on the street.


So when Khun Nutt was speaking about professors or teachers daring to be vulnerable, it has the meaning of being able to admit that maybe their intellectual position may have some weak spots and thus be vulnerable. Teachers have to be able to admit that they could be wrong, or that there are other perspectives to look at what they are teaching. I think that is the meaning in this context.


As for the word 'surrender' - usually it is translated in Thai as yom phae, which means to give up or admit defeat in competition or battle. That is everyday language (phasaa khon). But in a spiritual context as in Christianity or Islam it has a different meaning. (Incidentally, the word 'Islam' means 'to surrender.') Surrender to what? To give yourself totally to what we call God, because in this belief system everything comes from the Divine (God or Allah), so now we must be willing to give everything back. The gift to the Divine that the Christian can make is to surrender oneself completely. So in this context surrender has a diffrent meaning. Surrender is usually associated with being vulnerable - to be willing suffer anything that life brings to you and to willing to offer (bucha) it to God in surrender. Surrender in this context would have a meaning more closely with the Thai words 'ploy wang.'

Now and then if you go deep in meditation, if you want to see what Anatta actually is, then you must clearly see that everything you think and feel and believe that you are is in fact not true. When you see this, you must be willing to surrender (ploy wang) everything. And most of us do not want to do this.

For example when the police in the US arrest a man with a gun, they say "surrender your weapon," which means to release or turn over your gun. So to surrender is to give up something. A Buddhist friend of mine said that the deepest meaning of the Thai words 'Tham Than', is much more than to be generous, to be charitable, to donate food or money to temples or monks - that is everyday language (phasaa khon). But the deepest meaning (phasaa thamma) is to give yourself totally to the teaching of the Buddha. For example to the name of Ajahn Buddhadassa means the 'slave of the Buddha' - or one who gives everything up to the Buddha, Dharma, Sangha.

นพ.โกมาตร: กลับมาที่ท่านพุทธทาส เพราะว่าการยินยอมเป็นทาส จะมีความหมายของการอ่อนน้อมต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่

อ.สุมน: หัวใจเปราะบาง น่าจะรวมถึงความรักด้วย แต่พอคุณเดวิดอธิบายคำว่า compassion จะลึกกว่า ดังนั้น เป็นเรื่องภาษาคนกับภาษาธรรม ถ้าคุณณัฐฬส จะอธิบายเรื่องความเปราะบาง โดยใช้ภาษาคน ว่าความเปราะบางก็ได้ แต่ในภาษาธรรม จะต้องอธิบายคำต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงนี้ด้วย ว่าป็นอย่างไร
นพ.ประสาน: พวกเราส่วนใหญ่อายุยังน้อย ผมอายุมากกว่าเพื่อน มีบางช่วงที่คิดว่าใกล้จะตาย ซึ่งทุกคนต้องรู้สึกอย่างนี้ เมื่ออายุถึงขั้นหนึ่ง เมื่อรู้สึกขึ้นมาแล้ว จะทำอย่างไร ตอนนั้นเราจะ vulnerable ต่อความรู้สึกนั้นมาก ขอบคุณ เดวิด ที่ทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้น ผมรู้สึกอย่างนี้ คือบางครั้งหัวใจสั่น รู้สึกเจ็บตรงนั้นตรงนี้ ก็คิดในใจว่า ถ้าความตายใกล้เข้ามา เราจะทำอย่างไร พร้อมจะรู้สึกหรือพร้อมจะแก้ไขอย่างไร เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ เมื่อรู้สึกบ่อยขึ้นๆ มากขึ้นๆ ถึงจุดๆ หนึ่ง คล้ายกับว่าจะบรรลุ ผมจะใช้วิธีแยกตัวเองออกเป็น ๒ ส่วน ต้องใช้ความพยายามและสมาธิสูงมาก คือให้กาย suffer ไป เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องของกาย จึงอยากจะถามคุณหมอโกมาตรว่า ตอนที่คุณสุภาพรเจ็บ แล้วสุรภีทนไม่ได้ คุณสุภาพรเธอทำอย่างไร ในช่วงนั้น

อ.เอกวิทย์: ขอกลับมาที่นาโรปะอีกนิด ผมอ่านคุณณัฐฬสมาก่อน รู้สึกชื่นชม และคิดว่าประสบการณ์การเรียนรู้ที่นาโรปะ สำคัญและลึกซึ้งพอที่จะเผยแพร่ให้กับมหาวิทยาลัยที่ต้องการปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้ คุณณัฐฬสน่าจะมีโอกาสได้เสวนาแบบเดวิด โบห์ม กับอาจารย์มหาวิทยาลัยมากขึ้น พวกเราที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่อาจจะเป็นสื่อนำไปสู่สังเวียนเหล่านี้ได้ ผมอยากให้มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยไทย อย่างพลิกโฉมหน้าการเรียนรู้มาสู่ความเป็นจริงของจิตใจ

ถ้าเป็นไปได้ อยากจะชวนไป มอ. ผมคิดเอาเองว่า นาโรปะคงไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่ดีสมบูรณ์แบบ แต่แนวทางหลักๆ น่าจะมีประโยชน์ต่อการสร้างเวทีการเรียนรู้ที่ดี ที่น่าจะได้ผลคือการเรียนรู้จักตัวเองทุกแง่มุม ทั้งปัญญา อารมณ์ เรียนรู้โลกปัจจุบันขณะ เรียนรู้ความเป็นจริงของสรรพสิ่ง เป็นหัวใจของการเรียนรู้ที่ดี ผมให้คะแนนนาโรปะสูง ในการสร้างสรรค์บรรยากาศ และกระบวนการเรียนรู้ได้ลึกซึ้ง เข้มแข็ง ก็ขอเชิญชวนไว้

นพ.โกมาตร: เรื่องของสุภาพรคงไปพูดกันในตอนบ่าย ถ้ามีโอกาส แต่ในช่วงต่อไป อยากจะให้คุณณัฐฬส นำเสนอเรื่อง Deep Ecology บ้าง เพราะเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ

นพ.โกมาตร: ผมคิดว่าเรื่องสันติภาพคงอยู่กับเราไปอีกนาน อาจจะมีสักครั้งหนึ่งที่เราจะได้พูดคุยเรื่องนี้มากขึ้น เพราะเป็น ๑ ใน ๑๒ ข้อยุทธศาสตร์การทำงานเรื่องจิตวิญญาณ และอาจจะเป็นภารกิจทางจริยธรรมของยุคสมัยนี้อีกด้วย อ.สรยุทธ บอกว่า หลังจากที่คุยกันแล้ว มีเรื่องของการจัดการจะขอหารือ เพราะกลุ่มเคลื่อนไปได้ด้วยการจัดการ เพราะมีความริเริ่มบางอย่างเกิดขึ้น มีงานที่เราอยากจะให้ช่วย และอยากจะไปช่วยคนอื่นบ้าง

แต่ว่าตอนนี้ ควรจะใช้ประโยชน์จากคุณณัฐฬส ให้เต็มที่ เพราะทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วันนี้ได้ประโยชน์มาก อยากให้คุณณัฐฬส นำเสนอเพิ่มเติมสำหรับส่วนที่ยังไม่ได้คุยกันมากนัก เรื่องแนวคิดกับความเคลื่อนไหวหนึ่งที่มีขอบเขตกว้างขวาง คือเรื่อง Deep Ecology ตอนบ่าย ก็คงจะเป็นการพูดคุยกัน ดีกว่าฟังคนหนึ่งคนใดพูดไปเรื่อยๆ ถ้าใครสงสัย อยากจะถามหรืออยากจะเสริมอะไรก็ให้เป็นธรรมชาติ แบบสุนทรียสนทนาครับ

คุณณัฐฬส: เรื่องนิเวศวิทยาแนวลึก ต้องยกความดีให้คุณหมอโกมาตร ที่ให้ผมทำวิจัยอยู่ปีหนึ่ง แต่เลยมาเป็น ๒ ปี (นพ.โกมาตร: ลึกมาก) (หัวเราะ) ก็เป็นความเคลื่อนไหวที่อยากจะชวนแลกเปลี่ยน นิเวศวิทยาแนวลึก เป็นการเคลื่อนไหวในเชิงเปลี่ยนกระบวนทัศน์การมองตัวเองของมนุษย์ การมองธรรมชาติ เพราะเมื่อเรามองอย่างไร ความสัมพันธ์ต่อสิ่งต่างๆ ก็จะเป็นไปตามนั้น คนที่ใช้คำนี้เป็นคนแรก เป็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญา ชาวนอร์เวย์ เป็นนักไต่เขา เป็นศาสตราจารย์แก่ๆ ใจดีคนหนึ่งที่อาศัยอยู่คนเดียวบนภูเขา คล้ายฤาษี นานๆ ครั้งก็จะลงมาสอนบ้าง คุยกับผู้คนแถวๆ ร้านกาแฟบ้าง ในช่วงปี ๑๙๖๐ เนื่องจากเขาเป็นคนรักธรรมชาติและการป่ายปีน จึงได้เดินทางไปทั่วโลก และตั้งข้อสังเกตต่อกระบวนการสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ว่ามีวิธีการมองหรือโลกทัศน์ที่แตกต่างกัน ๒ ประเภท คือ

นิเวศวิทยาแนวตื้น Shallow Ecology ซึ่งมองว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลางของจักวาล ถูกสร้างขึ้นมาให้ปกครอง ครอบครองและใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรของโลก เป็นผู้ที่มีอำนาจ ฉลาดปราดเปรื่อง เป็นโลกทัศน์ Anthropocentric หรือมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ที่แฝงอยู่ลึกในมิติของการมอง หรืออย่างที่ ฟริตจ๊อฟ คาปร้า พูดว่า โลกทัศน์ ๓ เรื่องที่ฝังลึกมากๆ คือมนุษย์เป็นศูนย์กลางของธรรมชาติ ผู้ชายเป็นใหญ่ และเรื่อง race

วิธีมองแบบนิเวศวิทยาแนวตื้น ในอีกแง่หนึ่งเป็นการมองปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นวัตถุ และพยายามใช้วัตถุเข้ามาแทนที่ ว่าเทคโนโลยีสามารถแก้ไขได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมลพิษหรือทรัพยากร เป็นกรอบการมองโดยไม่ตั้งคำถามกับกรอบวิธีคิดเรื่องการพัฒนา ทุนนิยม หรือโลกาภิวัตน์ที่ดำเนินอยู่

ส่วนมองแบบนิเวศวิทยาแนวลึก คือการเห็นว่าจริงๆ แล้วมนุษย์ใม่ได้เป็นศูนย์กลางของธรรมชาติ และตั้งคำถามว่ารากเหง้าของปัญหาเริ่มขึ้นเมื่อมีคำว่าสิ่งแวดล้อม มีคำว่าป่า หรือธรรมชาติ ในความหมายที่แยกออกจากตัวเราขึ้น กล่าวคือในแต่ละวัฒนธรรมจะมีการ split ออกจากธรรมชาติ ช้าหรือเร็วต่างกันไป บางคนว่าการ split เกิดขึ้นตั้งแต่มีการพัฒนาเครื่องมือทางการเกษตร เป็นการแทรกแซงธรรมชาติ เพราะมนุษย์อยากจะเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการเก็บของป่า หาผลหมากรากไม้ มาเป็นการตั้งหลักแหล่ง และเข้าแทรกแซง แต่ยังไม่ถึงขนาดครอบงำ

ในวิธีคิดทางสิ่งแวดล้อม อาร์เน เนส เห็นว่า สามารถแบ่งออกได้เป็นสองเรื่องหลักๆ ดังกล่าว จึงตั้ง platform ขึ้นมาเป็นตุ๊กตาให้คนช่วยกันคิดมากกว่าจะเป็นกรอบตัดสินทางความถูกความผิด เพราะเขาคิดว่าน่าจะมาช่วยกันคิดใหม่ เผอิญงานเขียนของเขาได้สร้างความเคลื่อนไหว เช่นเดียวกับงานเขียนอื่นๆ จากสายวิทยาศาสตร์ เช่น แกรี่ ชไนเดอร์ (Gary Snyder) หรือทางสายเทววิทยาเชิงนิเวศ ที่มีความพยายามตีความคำสอนใหม่ เรื่องกำเนิดโลก กำเนิดมนุษย์ แต่ส่วนใหญ่ก็จะตีความเข้าข้างตัวเอง ไม่ว่าจะในศาสนาคริสต์หรือพุทธ

ผมเคยจัด workshop เรื่อง Deep Ecology ให้กับพระสงฆ์หลายครั้ง พระก็จะพูดว่า สัตว์มีกรรมเป็นของตัวเอง สมควรจะเป็นอาหารของเรา แล้วความเมตตา ความกรุณา อยู่ตรงไหน การเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ที่ทำให้รู้สึกถ่อมตัวอยู่ตรงไหน ผมว่าเหล่านี้เป็นการตีความที่ฝังลึก ทำให้รู้สึกว่าตัวเองถูกต้องในการกระทำที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ในแวดวงจิตวิทยาก็เริ่มเห็นว่า trauma ทั้งหลายจะเริ่มจากจากวิถีชีวิต ก็ไม่กลมกลืน แต่ขาดจากธรรมชาติ นอกจากมนุษย์สมัยใหม่จะมีการดำรงอยู่ที่แยกกับคนอื่น และธรรมชาติแล้ว ยังอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ที่สังคมพยายามจะสร้างกรอบของการดำรงชีวิตขึ้นมาอีกด้วย
Clarissa Pinkola Este เขียนหนังสือเรื่อง Women Who Run with the Wolves บอกว่ามนุษย์ทุกคนมีความดิบ (wild) หรือเถื่อนในความหมายที่ไม่บวกและลบ มีความอิสระ ความดิบ ความสด แต่ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นศาสนา การศึกษา และกรอบทางวัฒนธรรม ทำให้ความดิบ ซึ่งเขาใช้อุปมาอุปไมย “หมาป่า” ที่อยู่ในตัวมนุษย์ จะถูกกักเอาไว้ เป็นมลภาวะบางอย่างที่ต้องช่วยกันปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ก็จะมีกลุ่มนักคิดทางนิเวศวิทยาแนวลึก พยายามค้นหากระบวนการรศึกษาในรูปแบบต่างๆ อย่างเช่น โจแอนนา เมซี ซึ่งเป็นนักนิเวศวิทยาแนวลึก พยายามหาวิธีการช่วยทำให้คนมีประสบการณ์ตรงที่มีพลังเพียงพอจะทำให้เปลี่ยนวิธีคิด วิธีมอง และตระหนักว่าตนเองไม่ได้แยกออกจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการภาวนา หรือการออกวิเวกไปอยู่กลางธรรมชาติ

ตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงด้านใน คือเจ้าหน้าที่ป่าไม้ชาวอเมริกันคนหนึ่ง ชื่อ อัลโด ลีโอโพลด์ (Aldo Leopold) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมทรัพยากรสัตว์ป่า คือการยิงหมาป่าหรือกวาง เมื่อมีจำนวนมากเกินไป เป็นต้น เช้าวันหนึ่ง เมื่อเขาเห็นหมาป่าชราตัวหนึ่งในระยะไกล ก็เอาปืนยิงจนล้มลง แล้วจึงเดินเข้าไปดูให้แน่ใจว่าตายสนิท เมื่อไปถึง หมาป่าตัวนั้นยังคงลืมตาอยู่ ทำให้เขาเห็นประกายตาสีเขียววาวเป็นประกาย ค่อยๆ หรี่ลงๆ จนดับไป ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ เหมือนกับพบประสบการณ์ทางจิตวิญญาณบางอย่างที่งดงาม ทำให้เขาคิดว่า สิ่งนี้หรือที่มนุษย์คิดว่าเป็นนายเหนือ ทั้งที่ความงามเหล่านี้มนุษย์สร้างขึ้นไม่ได้ มันมีค่า มีความสง่างามในตัวเอง นับตั้งแต่วันนั้น เขาก็เปลี่ยนความรู้สึกที่มองว่ามนุษย์เป็นประธานเหนือสิ่งอื่นใด มาเป็นนักคิดคนสำคัญในการนำเสนอความคิดเชิงนิเวศแนวลึก ผ่านงานเขียน และกิจกรรมต่างๆ
ประสบการณ์ตรงแบบนี้ เป็นสิ่งที่นักนิเวศวิทยาแนวลึก พยายามนำข้ามาในกระบวนการการศึกษา ให้เราได้ตระหนัก ไม่ใช่แค่คิดว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
สำหรับหลัก ๘ ประการ ที่โดดเด่นออกมาจากวิธีคิดแบบเดิมอย่างชัดเจน คือ ๑. นิเวศแนวลึกจะมองว่า ความเจริญงอกงาม ความอยู่ดีมีสุขของมนุษย์ และสรรพสิ่ง มีค่าในตัวเอง ไม่ขึ้นกับประโยชน์ใช้สอยของมนุษย์ มักมีคนตั้งคำถามว่า ที่บอกว่ามนุษย์ประเสริฐที่สุด เป็นเพราะอะไร ในส่วนตัวผมคิดว่า ความประเสริฐของมนุษย์อยู่ที่การมีความสามารถมากกว่า แต่ไม่ใช่การมีคุณค่ามากกว่า ถ้ามองจากบริบทของนิเวศ เช่น ไม้สักอาจจะขึ้นได้สูงกว่าหญ้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม้สักมีค่าในเชิงนิเวศมากกว่า คือเก่งกว่าไม่ได้หมายความว่าดีกว่าในเชิงคุณค่า ซึ่งการตีความในลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมหรือศาสนายังไม่ชัดเจนนัก
๒. ความหลากหลายและความมั่นคงของรูปแบบชีวิตและวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มีค่าในตัวเอง เกื้อหนุนให้มนุษย์และสรรพสิ่งบรรลุถึงความงอกงาม หมายความว่า ความหลากหลายช่วยอุ้มชูให้สังคมมนุษย์ หรือระบบชีวิตอื่นงอกงามได้มากขึ้น ไม่ไช่การหักล้าง แต่ช่วยเสริมกันและกัน ในขณะที่เรากำลังมีปัญหาภาคใต้ เราจะมี diversity management อย่างไรในระดับสังคม และจะมีขันติธรรมในทางวัฒนธรรมอย่างไร สิ่งนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเราคงไม่สามารถเข้าใจเขาได้ทั้งหมด

๓. มนุษย์ไม่มีสิทธิลิดรอนหรือทำลายความหลายหลายของชีวิต โดยปราศจากความจำเป็นที่แท้จริง เขาใช้คำว่าความจำเป็นที่แท้จริง เพราะตั้งใจจะให้เกิดการถกเถียง ว่าความจำเป็นของใคร เพราะคนที่อยู่อลาสก้า กับคนที่ในแถบ Tropical ย่อมมีความจำเป็นต่างกัน

๔. เป็นหัวข้อที่ค่อนข้าง controversial เหมือนกันในแง่ประชากร คือสังคมและวัฒนธรรมมนุษย์จะงอกงามได้ขึ้นอยู่กับว่า เราจะลดจำนวนประชากรลงหรือไม่ เพราะประชากรมนุษย์ไปกดขี่ประชากรของ species อื่น ซึ่งมีค่าต่อโลก และต่อความหลากหลาย สุขภาวะของโลกขึ้นอยู่กับ species อื่นๆ ด้วย การลดหรือควบคุมประชากรมนุษย์จะทำให้ชีวิตอื่นๆ ได้บรรลุถึงวิวัฒนาการของตนเองด้วย เพราะชีวิตอื่นๆ ก็ยังอยู่กระบวนการวิวัฒนาการ ยังเจริญงอกงามอยู่ ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นี้

๕. เป็น statement ที่เข้าใจได้ไม่ยาก คือมนุษย์ได้เข้าไปก้าวก่าย แทรกแซง โลกของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในระดับที่เกินสมดุลแล้ว และสถานการณ์ต่างๆ เลวร้าย รวดเร็ว และรุนแรงขึ้น

๖. เป็นเรื่องของปฏิบัติการ คือจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การผลิต และการใช้เทคโนโลยีในระดับอุดมคติ อุดมการณ์ หรือการศึกษา สำนึกของสังคม วัฒนธรรมพื้นฐานของสังคม จะต้องเปลี่ยนแปลงในระดับรากฐานอย่างสิ้นเชิง

๗. จุดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์ คือการทำให้สังคมเข้าถึงและชื่นชมคุณค่าแท้ของชีวิต มากกว่าการยกระดับการครองชีพให้ดีขึ้น เป็น statement ที่พูดถึงระบบบริโภคนิยม ตราบใดที่เรายังยึดถือปริมาณมากกว่าคุณภาพ บริโภคนิยมก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เรื่องนี้จะมาเข้ากับเรื่องจิตวิญญาณ คือการเข้าถึงคุณค่าและความหมายของชีวิต ว่าชีวิตมีความงดงาม และความสุขในตัวเอง

๘. เนื่องจากมันเป็น platform เขาจึงเขียนว่า ถ้าใครเห็นด้วยกับหลักการดังกล่าวข้างต้น ก็ย่อมจะมี “พันธกิจ” ไม่โดยตรงก็โดยอ้อมที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น

นี่คือ หลัก ๘ ประการ ซึ่งได้ส่งไปยังที่ต่างๆ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ในแง่ของแรงโต้กลับ แต่ก็มีการยอมรับกันมาก อย่าง feminist จะมองว่า ใช้คำว่ามนุษย์เป็นใหญ่ไม่ได้ เพราะมีเพียงผู้ชายเท่านั้น ก็ต้องทำงานในมิตินั้นด้วย อย่าไปเหมาว่าเป็นมนุษย์ทั้งหมด ให้ดูความสมดุลระหว่างชาย – หญิง ด้วย feminism จะวิเคราะห์ว่า ความสำคัญระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ มีความคล้ายคลึงกับความสัมพันธ์ของหญิง-ชาย ในแง่ความไม่เท่าเทียมกันบางประการ

ทางด้าน social ecology ก็จะเน้นหนักไปในการวิเคราะห์เรื่องชนชั้น ว่าต้องจัดการเรื่อง class ให้ได้ก่อน แล้วปัญหานิเวศจะหมดไปเอง ก็เป็นความคิดที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่บ้าง

ส่วนความเคลื่อนไหวในบ้านเรา ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะแต่ละคนจะมีนิยาม สร้างความหมายของตัวเอง เช่น กลุ่มเคลื่อนไหวทางทรัพยากรธรรมชาติ มีการเอามิติทางวัฒนธรรม การมองโลก ระบบป่า ระบบดิน ระบบน้ำ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาใช้ แต่คนรุ่นใหม่ยังเข้าใจน้อยมาก ส่วนใหญ่จะมีการใช้พิธีกรรมต่างๆ อย่างโหยหามากกว่า เป็นเรื่องน่าห่วง ว่าวิธีคิดเชิงนิเวศจะอยู่ในคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ได้มีวิถีชีวิตใกล้กับธรรมชาติแล้ว

นพ.โกมาตร: ก็เป็นอย่างสั้นๆ ย่อๆ เพราะความเคลื่อนไหวของแนวคิดดังกล่าวกว้างขวางกว่านี้มาก ผมเคยฟังพ่อหลวงจอนิ โอ่โดเชา พูดในการประชุมคราวหนึ่งว่า มนุษย์อาจจะสร้างยานอะพอลโล สร้างจรวดพุ่งไปในอวกาศได้ แต่สร้างปลาซิวตัวเล็กๆ ไม่ได้เลย ความวิจิตรของปลาซิวยิ่งใหญ่กว่ายานอะพอลโล ทัศนะอย่างนี้อาจจะเป็น Deep Ecology แบบความรู้พื้นบ้าน นอกจากนี้ พ่อหลวงจอนิ ยังพูดเรื่องสุขภาพด้วยว่า สุขภาพของคน คือการไปไหนมาไหนแล้วไม่อายในวัฒนธรรม และกำพืดของตนเอง
นพ.วิธาน: เป็นกึ่งๆ คำถามถึงณัฐฬส โดยเชื่อมโยงกับข้อมูลที่คุณเดวิดเคยให้เรื่อง climate change ว่าในอีก ๑๖ ปีข้างหน้า จะมีปัญหาเรื่องวิกฤตการณ์ในเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่นตอนนี้มีปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งผมยังไม่เข้าใจมากนัก คือแม่น้ำกก ที่เชียงราย หน้าแล้งจะตื้นเขินมาก จนเรือแล่นไม่ได้ แต่พอช่วงหน้าฝน น้ำก็จะท่วม ทำไมช่วงที่น้ำท่วม ก็ท่วมบ้านท่วมเมืองหมด แต่พอหน้าแล้งก็ไม่มีน้ำใช้ มีวิธีอย่างไร ที่จะนำองค์ความรู้เรื่องจิตวิญญาณ หรือเรื่องนิเวศวิทยาแนวลึก มาจัดการเรื่องน้ำให้เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อน ในขณะนี้ มีการใช้รถขุดรอกกลางแม่น้ำกก เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ในแง่ spiritual จะมีความเหมาะสมหรือไม่ และในแง่ของ manage เราจะจัดการอย่างไร

อ.เอกวิทย์: ผมรู้สึกชื่นชมต่อความวิริยะอุตสาหะในการเข้าถึงความรู้ของคุณณัฐฬสมาก แต่ยังไม่ได้ยินคุณกล่าวถึงทฤษฎีกายา (Gaia) ว่าดาวพระเคราะห์โลกนี้ มีชีวิตของตนเอง ผมคิดว่า มนุษย์เปรียบเหมือนเหาหรือหมัดที่อยู่ในตัวสัตว์ ที่เรียกว่าโลก แต่มนุษย์บังอาจทำตัวเป็นนาย ควบคุมธรรมชาติให้มารับใช้มนุษย์ แล้วก็อ้าง ว่าเป็นอาณัติของพระเจ้าที่ให้มนุษย์นำสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมาทำให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ในมิติของ Deep Ecology เราจะเปลี่ยนกระบวนทัศน์และสำนึกใหม่ให้กว้างขวาง ให้ยอมรับนับถือ แม่ธรณี แม่คงคา แม่โพสพ แล้วไม่ด่าว่าคนที่เชื่ออย่างนี้ได้อย่างไร

ส่วนประเด็นที่ ๒ เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ผมได้อ่าน World Watch Institute ปี ๒๐๐๔ เขายังยืนยันอยู่ว่า ภูมิปัญญาชาวบ้านที่ในหลายๆ ประเทศนำมาใช้เพื่อปกป้องน้ำ ดิน และสิ่งแวดล้อม ทำงานได้ผลมาก ก็หมายความว่า ชาวเมืองรุ่นใหม่ ยอมรับทฤษฎีเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของป่า ป่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าหรือพระธรรมชาติเจ้าประทานให้มนุษย์ได้กินได้ใช้ ยังเป็นความดีงามที่ต้องเคารพ คนเมืองอาจจะไม่แยแส ไม่เคารพ แต่ชาวบ้านนอก ชาวชนบท เช่น ชาวกระเหรี่ยง ชาวเขา ยังเคารพอยู่ ทำให้เขาไม่ทำลายธรรมชาติ ซึ่ง World Watch Institute นำไปชื่นชม และเผยแพร่ โดยเฉพาะความสำเร็จทาง เชียงราย เชียงใหม่ น่าน เป็นต้น

เพราะฉะนั้น Deep Ecology เป็นทฤษฎีที่จะทำให้คนตั้งกระบวนทัศน์กันใหม่ แต่การปกป้องและคืนความสมดุลให้ธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ Deep Ecology จะต้องเข้าไปอยู่ในใจคนให้ได้ คุณณัฐฬสจะมีความเห็นอย่างไรหรือไม่กับเรื่องดังกล่าว

นพ.ประเวศ: ปัญหาของโลกที่หนักๆ คงจะเป็นเรื่องของโครงสร้างต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทางความคิด สังคม และเศรษฐกิจ ตามมาด้วย การศึกษา กฎหมาย ซึ่งเป็นความขัดแย้งกัน เพราะทุนกับเงิน ถ้ามองดูจะเห็นว่าเป็นของแปลกมาก เพราะสามารถเติมศูนย์ไปได้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ย่อมจะไปขัดแย้งกับความเป็นจริงที่ว่าทรัพยากรในจักรวาลมีเท่าเดิม ส่วนเงินมีค่าสูงขึ้นๆ แม้ว่าทรัพยากรในจักรวาลคือความจริง เงินคือมายา แต่มนุษย์ได้เข้าไปช่วยให้มีสถาบันรองรับมายาคตินี้ จึงนำไปสู่ความขัดแย้ง ไปสู่การตลาด ไปสู่ความเชื่อว่าเงินมีค่า เป็นกำไรชีวิต เป็นกำไรชุมชน เป็นกำไรของรัฐ จนนำไปสู่การทำลายทรัพยากร ธรรมชาติ และความขัดแย้งกันในที่สุด ถ้าไม่มีกองทัพรองรับ ไม่มีกฎหมายรองรับ เงินก็จะไร้ค่าโดยสิ้นเชิง
การมอง ให้มองถึง ๔ เรื่องใหญ่ๆ คือ

๑. เรื่องชุมชนเข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกันในเรื่องข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และการเงิน อย่างเช่นที่เราพยายามเรียกร้องสิทธิชุมชนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการทำมาหากิน ในการใช้ทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ในการทำมาหากิน ในการสื่อสาร และในการมีระบบการเงินของชุมชน สิ่งเหล่านี้คือ ภูมิคุ้มกันชุมชน ในการรักษาสิ่งแวดล้อม ทำอะไรก็ได้เพื่อก่อให้เกิดชุมชนเข้มแข็งทั่วทั้งโลก อย่างที่ สก๊อต เพก ได้กล่าวไว้ในหนังสือ A World Waiting to Be Born ว่าโลกในอนาคตคือโลกแห่งความเป็นชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับโลกในอุดมคติของพุทธศาสนา เพราะ “สังฆะ” คือ learning community ท่านพุทธทาส พูดว่า สังคมที่ดี ควรจะเป็นชุมชนเล็กๆ ที่เชื่อมโยงกันเป็น network

๒. เรื่องนโยบายอุตสาหกรรม หมายถึงทิศทางการพัฒนา แต่เป็นเรื่องที่มีคนทำน้อย มหาวิทยาลัยไม่ทำเลย เรื่อง public policy เพราะถ้าเราอ่านรัฐธรรมนูญ ในมาตรา ๓ จะเขียนไว้ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” ถ้าจะใช้ในเรื่องใหญ่ที่สุด ก็คือเรื่องกำหนดทิศทางการพัฒนา เพราะทิศทางจะกระทบหมดทุกคน

๓. เรื่อง New Consciousness หรือเรื่องจิตสำนึก ที่กลุ่มจิตวิวัฒน์ทำอยู่

๔. เรื่องสันติวิธี เพราะโครงสร้างที่ก่อตัว ทำให้การกระทบมีความรุนแรง
ที่พูดมาเป็นลำดับ สสส. ก็กำลังเข้าไปทำอยู่ในทั้ง ๔ เรื่อง
นพ.โกมาตร: ความจริงผมชอบที่จะคิดว่า โลกเปลี่ยนไปทันทีที่เราเปลี่ยน แม้ภารกิจจะมาอยู่ที่ตัวเรามาก แต่ไม่ใช่การแบกไว้ เพราะโลกไม่ได้เป็นไปตามความคิดของเรา เราอาจจะหวังผลสำเร็จจากงานบางอย่างไม่ได้ แต่ก็ทำไปตามเสียงภายในของตนเอง และพร้อมจะทุ่มเทให้กับสิ่งนี้ เพราะให้ความหมายกับการมีชีวิตของเราได้

และอย่างที่คุณวิศิษฐ์พูดถึง morphic resonance หรือปัญญาญาณอันยิ่งใหญ่กว่าเรา ใช่ว่าเราจะยิ่งใหญ่อหังการ์มากว่าจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ เพราะจะเข้าไปสู่กรอบเดิมที่ถือว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลาง ซึ่งตรงนี้ก็เป็นปมที่ฝังอยู่ในตัวเรามานานพอสมควร

นพ.ประสาน: อยากจะชี้ว่า การสร้างชุมชนเข้มแข็งอย่างที่ อ.ประเวศ ว่า เป็นเรื่องดี แต่เมื่อชุมชนเข้มแข็ง มนุษย์ก็จะเกิดมามาก เมื่อมนุษย์มีมาก สัตว์และต้นไม้ก็ต้องน้อยลงไปเป็นธรรมดา ในที่สุด โดยธรรมชาติ ป่าแห่งใดมีสิงโตมาก กวางจะน้อยลง พอถึงจุดหนึ่ง สิงโตจะตายเอง พอตายแล้ว กวางก็จะมีมากขึ้น มนุษย์เราเมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็จะต้องตายเกือบหมด ระหว่างนี้ นอกจากการหว่านความดี ความงาม ความจริง ไปเรื่อยๆ แล้ว ก็ต้องทำใจให้รับรู้เรื่องเหล่านี้ด้วย เพราะเป็นกลไกของ Chaos Theory หรือ self-organization ธรรมดาๆ ดังนั้น อย่าไปวิตกมากนัก เรื่องวิกฤตต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องรบกันทางภาคใต้ เพราะต้องเป็นไปเช่นนั้นเอง เราต้องเข้าใจ แล้วจะไม่กระวนกระวาย ดิ้นรนเกินไปจนใช่เหตุ
เมื่อเราพูดถึงพระแม่ธรณี แม่คงคา ทุกคำจะขึ้นต้นด้วยแม่ตลอด เพราะแม่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด แม่คือผู้ให้ ผู้ทะนุถนอม ผู้อุ้มชู เพราะฉะนั้น feminist จะลึกยิ่งกว่า Deep Ecology เพราะพูดถึงความไม่เท่าเทียมกัน หรือการแบ่งแยก reductionism โดยเหยียบย่ำสตรี

นพ.โกมาตร: ถ้าเราคิดไปในแนวนั้น จะเป็นการลดความหลากหลายลงไปเหลือแกนเดียว คือเรื่องหญิงชายหรือเปล่าครับ

นพ.ประสาน: ไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว

นพ.โกมาตร: ภารกิจของเราคือการหว่านไปเรื่อย พร้อมกับช่วย hospice paradigm เก่า และเป็นหมอตำแยให้กับกระบวนทัศน์ใหม่ คือการหา soft landing ให้กับมนุษยชาติ

อ.จุมพล: ระบบนิเวศเป็นระบบที่ใหญ่ และคลุมระบบย่อยๆ มากมายอยู่ภายใน แต่วิธีคิดที่ผิดมาตลอด คือการคิดว่าระบบย่อยใหญ่กว่าระบบใหญ่ เช่น การเอาระบบเศรษฐกิจมาคลุมเหนือระบบนิเวศ เป็นการเอาเล็กมาคลุมใหญ่ สิ่งที่เราจะทำได้ค่อนข้างดี คือทำให้เกิดจิตสำนึกใหม่ ในระบบนิเวศ เมื่อเขาคิดถูกและมองเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงของสรรพสิ่ง ผมเชื่อว่าการกระทำจะสอดรับกับวิธีคิดของเขา และหากทุกคนคิดอย่างนี้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเกิดผลกระทบที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ หรือระบบการเมืองในที่สุด

การคิด การขยับ หรือการกระทำของเรา ถ้าเป็นความตั้งใจดี ทำดี ระบบใหญ่จะเกิดการกระทบกระเทือนไปในทางที่ดี ผมไม่อยากให้มีการหว่านอย่างสะเปะสะปะ ควรตั้งใจหว่าน แต่ไม่หวังผลอะไร ขณะเดียวกัน ก็เชื่อว่าสิ่งที่ทำจะได้ผล เพราะมีความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงกันอยู่
อ.เอกวิทย์: ผมชอบมองโลกในแง่ดี ทั้งๆ ที่มีเรื่องเลวร้ายมากมาย ผมคิดว่า ในโลกนี้ มีคนที่ตั้งวงพูดคุยแบบเรามากมาย ทั้งในอเมริกา ยุโรป เอเชีย ข้อพิสูจน์ของผมคือ เมื่อเราเอ่ยถ้อยคำที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมหรือนิเวศวิทยา คนเข้าใจกันมาก โดยเฉพาะชาวบ้านในต่างจังหวัด ที่ต้องเผชิญกับมลพิษต่างๆ เราควรจะเกื้อกูลให้สิ่งเหล่านี้เกิดมากขึ้น ผมเชื่อว่า ในไม่ช้าจะมีรุ่งอรุณของกระบวนทัศน์ใหม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่จะทันใจพวกเราหรือเปล่า ไม่มีใครรับรองได้
ผมสะสมข้อมูลไว้มาก เมื่ออ่านบทความของคุณณัฐฬส ทำให้เห็นชัดเจนตรงกัน ว่าโลกมีกลไกที่เรียนรู้และปรับตัวเองอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมีมนุษย์อยู่หรือไม่ก็ตาม แม้แต่ภูเขาไฟระเบิด ก็คือการปรับตัวของโลกเพื่อเข้าสู่สมดุล เหมือนร่างกายมนุษย์ ทั้งหมดนี้ ถ้าเรามีความรู้เรื่องนี้ดีมากขึ้นเท่าไร จิตสำนึกเราก็พร้อมที่จะรับรุ่งอรุณของกระบวนทัศน์ใหม่มากขึ้นเท่านั้น

อ.สุมน: ได้เรียนรู้จากคุณณัฐฬสมาก และติดใจประโยคหนึ่งในบทความที่ลูกชายถามพ่อว่า “ภูเขาข้างหน้า บริษัทอะไรสร้าง” คือรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างวัย ก่อให้เกิดความแตกต่าง ทั้งทางกาย ฐานความรู้ การคิด และโลกทัศน์ จะแตกต่างกันมาก เช่นนี้ละกระมัง ธรรมชาติจึงปรับให้คนอายุมากตายไปเสีย
อย่างไรก็ตาม คุณณัฐฬส ได้พูดถึง social ecology น้อยมาก ก็ขอฝากการบ้านว่า ควรจะดูลึกลงไปให้เรื่องดังกล่าวด้วย

นพ.ประเวศ: เรียน อ.สุมน ในทางชีววิทยา จะมี Apoptosis (programmed cell death) คือการโปรแกรมให้ตัวเองตาย เพื่อให้เซลล์ใหม่เกิดขึ้นได้ เซลล์ที่ไม่ยอมตายคือเซลล์มะเร็ง ซึ่งทำให้ระบบทั้งหมดเสียหาย ถ้าพิจารณาในทางสังคม สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วตายยากก็คือ ระบบราชการนั่นเอง

ถ้าเราดูสมองของคน นีโอคอร์เท็กซ์ ถูกสร้างไว้เพื่อบรรลุธรรมอย่างชัดเจน ในระยะไกลคนจะบรรลุธรรมหมด แต่จะต้องเรียนรู้จากปัญหา อย่างเช่นหลานผม จะชอบตะปบมุ้งลวด ผมต้องคอยบอกว่าอย่าตะปบเดี๋ยวมุ้งจะขาด เขาก็ไม่เข้าใจว่ามันจะขาดได้อย่างไร ต้องตะปบให้ขาดเสียก่อนจึงจะรู้ มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ต้องเกิดเรื่องก่อนจึงจะเรียนรู้ ถ้าเรามองให้ทะลุ ก็จะรู้สึกว่า พอทนได้ แต่ถ้าเรามองว่าจะตายแล้ว ไม่มีทาง เราก็จะทนไม่ได้ เช่นเรื่อง Chaordic คือมี chaos แต่ก็มี order ด้วย ถ้าเราทะลุ chaos ไปได้ ผมมองว่า ในที่สุดมนุษย์จะบรรลุธรรมหมด ด้วยนีโอคอร์เท็กซ์ที่เรามีอยู่

คุณวิศิษฐ์: ที่ อ.สุมน พูดคำว่า social ecology อ.ประเวศ พูดเรื่องนิพพานลักษณะของนีโอคอร์เท็กซ์ ซึ่งรวม prefrontal lobe หรือสมองส่วนหน้าเอาไว้ด้วย เรื่องเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกัน ที่ผมอยากจะพูดคือ ในกระบวนการเรียนรู้ จำเป็นต้องมี chaos ในระบบชีวิต จึงจะเกิดการเรียนรู้ ใน autopoiesis ที่แปลว่า self making เครือข่ายอันสลับซับซ้อนที่ดูเหมือนโกลาหลวุ่นวาย แต่มีระเบียบภายในอย่างยิ่ง จะมีการผลักดันตัวเองให้หนีสมดุล far from equilibrium แต่ยังคงมีสมดุลอยู่ ในภาวะนี้ ทำให้เกิดตัวเลือกของการเรียนรู้ โดยวงจรป้อนกลับทั้งหลายจะมีอยู่ ๒ ประเภท
ประเภทที่ ๑ ก่อให้เกิดสมดุล ซึ่งมีอยู่แล้วในระบบชีวิต (balance loop)
ประเภทที่ ๒ ไปดัน ไปขับเคลื่อน ให้เกิดการหนีสมดุล เรียกว่า amplifying loop เพราะสิ่งที่ก่อให้เกิดการขยายตัวของวงจร ที่ผลักดันมนุษย์ให้อยู่ในความไม่สมดุล ให้อยู่ใน vulnerability นั้น ก็เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เป็น sensitivity คือละเอียดอ่อนอย่างมหาศาล และถ้าใส่ตัวกวน (attractor) เข้าไป วงจรดังกล่าวก็จะคว้าหมับ แล้วขยายผลอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง transformation ในตัวบุคคลอย่างรวดเร็ว รุนแรง ในแง่ social ecology ก็คือ วงจร amplifying loop จะดำรงอยู่ในสังคมมนุษย์ และในเครือข่ายก็จะมีวงจรสมดุลและวงจรขยาย ดังนั้น ถ้าคว้าหมับก็จะกระจายไปอย่างรวดเร็ว เราจะเห็นถึงพลังจากการเคลื่อนตัวดังกล่าวได้ในอินเตอร์เน็ต แม้ในกระบวนการเรียนรู้ผ่านปากต่อปากก็เร็วมาก และมีคุณภาพ ทำให้ผมมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำอยู่ แม้ว่าอะไรที่ต้องเผชิญก็เผชิญ แต่เป็นการเผชิญอย่างมีความหวัง
นพ.โกมาตร: ในการประชุมที่หาดใหญ่ พระไพศาล ได้พูดสรุปในตอนท้าย ว่ามีฝรั่งถาม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า ชาวพุทธเป็นอย่างไร ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ตอบว่า “Buddhist is a person who hopes for the best but prepares for the worst.” พระไพศาล บอกว่า เป็นนิยามที่ดีสำหรับทั่วๆ ไป แต่จิตวิวัฒน์ต้องไม่หวังมาก เพราะอยู่เหนือความคาดหวัง ที่เราประชุมในวันนี้ คือการเห็น the worst ด้วย แต่ก็เบิกบานได้

นพ.ประเวศ: ที่คุณวิศิษฐ์พูด คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นเส้นตรง แต่เกิดวูบ ถ้าอยู่ใน loop นั้น