สุนทรียสนทนา(Dialogue) กับ งาน OD (Organizational Development)
สุนทรียสนทนา เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่พัฒนามาจากแนวคิดและปฏิบัติที่หลากหลาย ทั้งตะวันตกและตะวันออก โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้จักตัวเองที่จะช่วยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ในระดับทัศนคติหรือโลกทัศน์ ไปจนถึงระดับพฤติกรรมและวิถีการดำเนินชีวิต เพื่อให้เกิดความสุขทั้งในระดับบุคคลและองค์รวมของทีมงานหรือองค์กร
โดยกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมดยืนอยู่บนหลักการที่ว่า
1. ความรู้อยู่ในตัวคนทุกคน และอยู่ในความสัมพันธ์ที่มีต่อกันและกัน ไม่ใช่ “ข้อมูล” หรือ “ความคิด” ที่แยกออกจากบริบทที่เป็นจริงๆ ทั้งนี้ไม่มีความรู้ที่ดีที่สุดเพียงชุดเดียว
2. ความรู้ร่วมเกิดขึ้นเมื่อมีการแบ่งปันความรู้สึกนึกคิด มุมมองที่หลากหลาย จากประสบการณ์ตรงที่มีชีวิตและหลากหลายให้กันและกัน ในบรรยากาศที่ปลอดภัย ไว้วางใจ ผ่อนคลายและตื่นตัว
3. ดังนั้น “การสอนแบบบรรยาย” ในฐานะการให้ความรู้ทางเดียวแบบให้ข้อมูลนั้น จึงถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมด แต่เน้นการสืบค้นความรู้ของผู้เข้าร่วมซึ่งจะส่งผลต่อกาเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน (Sustained self-inquiry and learning)
ในทางตะวันออก องค์ประกอบที่สำคัญของการศึกษาคือ การฝึกการรู้เท่าทันโลกภายในและโลกภายนอกไปพร้อมๆกันนั้น ทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นไปพ้นระดับความคิดล้วนๆที่ไม่สามารถก่อให้เกิดการมองเห็นแบบแผนพฤติกรรมของตัวเองได้
ส่วนความรู้จากศาสตร์ทางตะวันตก ได้แก่ ความเข้าใจในวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ และจิตวิทยาแบบ Voice Dialogue
ในวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่นั้น แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการและความเป็นผู้นำนั้นเน้นความเท่าเทียม การมีส่วนร่วมและการร่วมไม้ร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่างให้เกียรติและความเคารพในตัวมนุษย์อย่างแท้จริง ต่างไปจากแนวคิดแบบเครื่องจักรกลไกที่แยกส่วนและก่อให้เกิดความแบ่งแยก และบรรยากาศของการเอาตัวรอดและแข่งขัน โดยเชื่อมโยงกับความเข้าใจเกี่ยวกับสมอง คลื่นสมอง โหมดชีวิต และการทำงานของสมองทั้ง ๓ ชั้น ที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน อารมณ์ความรู้สึกและความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง
ทั้งนี้ทางสถาบันขวัญเมือง ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ แบบไตรภาค ๓ เอส (State, Stage, Shadow)โดยอ้างงานการพัฒนาจิตแบบบูรณาการ ของ เคน วิลเบอร์ (Ken Wilber) ดังนี้
๑.สภาวะจิต (State of consciousness)
การสร้างสภาวะแห่งความผ่อนคลาย ปลอดภัย ไว้วางใจ ให้เป็นพื้นที่หรือบรรยากาศที่เกื้อกูลแก่การเรียนรู้ และการสืบค้นด้านในของผู้เรียน เพื่อค้นพบโลกภายใน กรอบคิด กระบวนทัศน์ หรือทัศนะอันจำกัด ที่ถูกสร้างขึ้นและทำซ้ำในการสร้าง “ความจริง” (Projected reality) ของตัวเองขึ้น เพื่อนำไปสู่การเขียนโลกใบใหม่ โดยเห็นว่าสภาวะจิตของความปกป้องที่มีพื้นฐานของความเครียด กลัว วิตกกังวล ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ทำให้กระบวนการเรียนรู้หดตัว ดังนั้นในอีกมิติหนึ่ง เราเล่นเพื่อปลุกความสนใจใคร่รู้แบบเด็กที่เยาว์วัยให้เกิดขึ้น เปิดพื้นที่ให้กับ “เจ้าตัวเล็ก” ที่สนใจใคร่รู้ตลอดเวลา (Inquisitive Mind)
ทั้งนี้การดูแลสภาวะจิตนั้นหมายถึงดูแลวาระของร่างกายด้วย ให้เวลาแก่ร่างกายได้ฟื้นฟูพลัง เป็นพลศึกษาภาคผู้ใหญ่ ชีวิตที่มีกายากาลไม่ว่าในรูปแบบไหน เช่น ไทฉีฉวน เบญจลีลามหาสติ (Mindful body movement with 5 Rhythms) ที่อาจเรียกอีกอย่างว่า คลื่นกาย (Body wave) ที่เป็นการถ่ายทอดพลังชีวิตออกมาอย่างสร้างสรรค์และอิสระ ไร้แบบแผนที่ตายตัว
นอกจากนี้การดูแลสภาวะสามารถทำได้ผ่านงานศิลป์ และมิติของสุนทรียศาสตร์ที่หลากหลาย เช่น การละคร วรรณศิลป์ วิจิตศิลป์ ดนตรี เป็นต้น เหล่านี้ล้วนหลอมรวมอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ของขวัญเมืองเพื่อให้คนได้ดำรงสภาวะตื่นรู้ (Awakening mind)
๒.ระดับจิตร่วม (Stage of consciousness)
หากได้ดูแผนภูมิเชิงจิตวิทยาของวิลเบอร์ (psychograph) จะเห็นว่าพัฒนาการด้านนี้มีหลายมิติมาก ทั้งนี้งานของขวัญเมืองเน้นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และระบบคุณค่าที่ส่งผลเชิงพฤติกรรม และแบบแผนความสัมพันธ์ในระหว่างผู้คนในองค์กรหรือที่บ้านที่ส่งผลต่อการงอกงามของวัฒนธรรมใหม่ ที่อาจนำไปสู่โครงสร้างการทำงาน ทั้งนี้การกระทำหรือปฏิบัติการ หรือการฝึกฝนที่เป็นจริง สม่ำเสมออย่างเป็นแผงหรือเป็นชุมชนนั้นจะช่วยดำรงสุขภาวะร่วม (Well-Interbeing) ที่พึงปรารถนาให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าวิถีปฏิบัติที่เป็นจริงนั้นสำคัญมาก เราพูดคุยกันอย่างสำคัญพอๆกับที่เราพูดคุยกันเรื่องอะไร เราสัมพันธ์กันอย่างไร (Relationship agenda) สำคัญพอๆกับที่ว่าเราสัมพันธ์กันเพื่ออะไร (Organizational vision or goal)
๓.เงามืด (Shadow) สร้างสังคมประชาธิปไตยด้านใน (Creating an internal democracy)
เงามืด คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ อุดมคติ (Ideal) ที่เราต้องการที่จะเป็น อยู่ในระดับจิตไร้สำนึก ดังนั้นเรามักเก็บซ่อนหรือกดเงามืดไว้โดยไม่รู้ตัว เป็นความไม่เท่าเทียมด้านใน ในโลกภายในหรือสังคมด้านในก็ต้องการสิทธิ์เสียงที่เสมอภาคหรือต้องการประชาธิปไตยเช่นกัน เพื่อให้ศักยภาพที่แฝงอยู่ในตัวเราและที่เกิดมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์ได้ปรากฎอย่างสมบูรณ์ เราอาจไม่สามารถกำจัดเงามืดได้ด้วยการฉายแสงส่องเข้าไปให้แรงกล้า แต่ยอมรับถึงการดำรงอยู่ของเงามืดหรือศักยภาพที่เรากดทับไว้ ที่มักสำแดงอานุภาพในแบบของอารมณ์ลบ การตัดสินพิพากษาอย่างเป็นอัตโนมัติ โดยการเรียนรู้ในเรื่อง Voice Dialogue จะช่วยทำให้เราเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้อย่างเป็นประสบการณ์ตรง มากกว่าการคิดใคร่ครวญเอาเอง
เมื่อเปรียบเทียบกับ OD
หากมองกระบวนการของ OD โดยทั่วไปที่เน้นความสนุกสนาน และการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการเพื่อก่อให้เกิดความปรองดองและความรักใคร่สามัคคีในทีมงานหรือองค์กรนั้นมักได้ผลในระยะสั้น ถือเป็นการสร้างความเป็นทีม (Team building) และอาจไม่ได้เน้นในเรื่องการเรียนรู้อย่างเป็นทีม (Team learning) ที่ต้องการอาศัยการรับฟังอย่างลึกซึ้ง การดูแลตัวเองให้อยู่ในภาวะตื่นรู้ (Awakening state of mind) อย่างต่อเนื่อง และเรียนรู้จากความแตกต่างที่มักเป็นปัจจัยแห่งความขัดแย้งเสมอ
หากมองจากกรอบคิดของสมองหรือปัญญา ๓ ฐาน การสร้างความเป็นทีมหรือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น คือการทำงานกับสมองพื้นฐาน (Basic brain) ในส่วนของสัญชาติญาณการแห่งความอยู่รอด โดยOD อาจมุ่งสร้างบรรยากาศของความเป็นกันเองสนุกสนาน โดยหวังว่าจะช่วยคลี่คลายช่องว่างหรือความขัดแย้งที่มีอยู่ในองค์กร อย่างน้อยก็ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง ที่จะทำให้เกิดความรู้สึกรักใคร่ไมตรีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนของสมองชั้นกลาง หรือสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่เป็นเรื่องของความรู้สึกผูกพันและความเป็นพวกพ้องเดียวกัน (Mammalian brain)
ทั้งนี้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสมองชั้นนอกสุดที่เป็นชั้นของความคิด (Human brain) ที่มีความทรงจำ ทั้งความเจ็บปวดและความสุข มีความกลัวที่สร้างจากความคิดในอดีต และมองไปในอนาคต หากการเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงการเปลี่ยนสภาวะจิต (State of consciousness) ซึ่งมีความไหลเลื่อนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยไม่ทำงานกับจิตในระดับการรับรู้ (Stage of consciousness) หรือการให้ความหมายต่อตัวเองและสิ่งต่างๆที่ตนมองนั้น การเปลี่ยนแปลงนั้นก็จะไม่ยกระดับความคิดเห็นหรือทัศนคติที่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและการทำงานเป็นทีมในระยะยาวอีกด้วย สามัคคีธรรมจึงเกิดขึ้นในความสนุกสนานและความสุขที่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แต่สุนทรียสนทนาเป็นแนวทางปฏิบัติ (Practical guideline) ที่จะช่วยหล่อเลี้ยงสุขภาวะในการทำงานและการทำงานเป็นทีมให้ยั่งยืนยิ่งขึ้นเมื่อเกิดการปฏิบัติร่วมกันอย่างเป็นชุมชนหรือองค์กร จนกลายเป็นวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันที่เน้นความร่วมไม้ร่วมมือ และการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
จำนวนคน จำนวนวัน กับประสิทธิภาพการเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลง
ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง จำนวนผู้เข้าร่วมและระยะเวลาของการเรียนรู้นั้นส่งผลต่อบรรยากาศโดยรวมและกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน จากการทำงานกับ ๓๐ กว่าองค์กร ในช่วงระยะเวลา ๗ ปีที่ผ่านมา สถาบันขวัญเมืองพบว่า จำนวนคนที่จะช่วยให้เกิดการพูดคุยเชื่อมสัมพันธ์อย่างถ้วนทั่ว รวมทั้งการที่คณะวิทยากร(กระบวนกร)จะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดจนเกิดการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งเพียงพอนั้นอยู่ในปริมาณ ๑๕-๓๐ คน ในระยะเวลา ๔ วันเป็นต้นไป เนื่องจากเนื้อหาในการเรียนรู้นั้นจำต้องใช้เวลาในการใคร่ครวญ ตรึกตรองอย่างละเอียด โดยเปรียบเทียบกับประสบการณ์ตรงในชีวิตของแต่ละคน เปรียบได้กับการออกเดินทางเพื่อค้นหาความรู้อันล้ำค่า นั่นคือความรู้จักตัวเอง (Self-discovery) และความรู้จักกันและกัน โดยในแต่ละวันจะเน้นให้เกิดสภาวะจิตที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้เชิงลึก ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ไม่เคร่งเครียด ไม่เป็นทางการ และมีความเป็นมิตรต่อกันและกัน
โดยสรุป สุนทรียสนทนาช่วยสร้างโอกาสให้เกิดกระบวนการเรีนยรู้ทั้งแนวราบ(รู้จักผู้อื่น) และแนวดิ่ง (รู้จักตนเอง) โดยเน้นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม (Paradigm change toward behavioral change) มากไปกว่าการปรับเปลี่ยนเพียงพฤติกรรมในระยะสั้น และเป็นแนวทางที่ไม่อิงศาสนาหรือลัทธิความเชื่อใดๆ หากชื่นชมแนวทางที่หลากหลายที่จะช่วยยกระดับจิตของมนุษย์ วัฒนธรรมและสังคมให้วิวัฒน์ไปสู่ความดี ความงามและความจริงที่สามัญชนคนธรรมดาในสังคมยุคใหม่สามารถสร้างได้ร่วมกัน
1 comment:
ผมว่าคุณไม่รู้เรื่ิอง OD อย่างแท้จริง ที่คุณบอกทำOD ได้ผลหรือแก้ปัญหาได้ชั่วคราวนั้นผิด การอบรมสัมมาต่างๆเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น OD มีบริบทอยู่3ด้านคือ 1.การปรับเปลี่ยนด้านโครงสร้างองค์กร 2.การมองด้านเทคโนโลยีว่าเหมาะสมกับกลยุทธ์หลักขององค์กรหรือไม่ 3.การปรับเปลี่ยนแนวคิด วิธีการทำงานหรือวัฒนธรรมการทำงานให้สอดคล้องกับกลยุทธ์หลักขององค์กร ตามเป้าหมายหรือวิสัยทัศน์ที่ได้กำหนดไว้ คนส่วนใหญ่เข้าใจเพียงว่าOD คือการไปสัมมาเท่านั้นครับ
Post a Comment