Sunday, July 15

การฟัง




การฟังเป็นการกระทำที่เรียบง่าย สิ่งที่เราต้องทำคือดำรงอยู่ในปัจจุบัน และมีความอดทน แต่เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างอื่นอย่างใดอีก เราไม่ต้องให้คำปรึกษา หรือสอน หรือทำตัวเป็นผู้รู้ เราเพียงแต่ยินดีที่จะนั่งอยู่ที่นั่นและรับฟัง ถ้าเราทำได้เช่นนั้น เราจะสร้างสรรค์ห้วงเวลาที่เป็นการเยียวยาอย่างแท้จริงให้บังเกิดขึ้น

ฉันได้พบเห็นพลังการเยียวยาของการฟังที่ดีมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้นจึงอยากรู้ว่าคุณเคยสังเกตเห็นเหมือนกันหรือไม่ มันอาจอยู่ในบางเวลาที่เพื่อนได้เล่าเรื่องที่เจ็บปวดจนคุณพูดอะไรไม่ออก คุณไม่สามารถคิดหาคำพูดอะไรได้เลย คุณจึงเพียงแต่นั่งฟังอย่างใกล้ชิด แต่ไม่พูดอะไรสักคำ และผลของการฟังอย่างเงียบงันด้วยหัวใจของคุณส่งผลอย่างไรบ้าง

หญิงสาวผิวดำชาวแอฟริกาใต้ได้ให้บทเรียนสำคัญของการฟังแก่เพื่อนของฉัน เธอนั่งอยู่ในวงของผู้หญิงจากชาติต่างๆและแต่ละคนมีโอกาสเล่าเรื่องของชีวิตตน เมื่อถึงรอบของหญิงสาวผู้นั้น เธอเริ่มเล่าด้วยเสียงเบาๆถึงเรื่องจริงอันโหดร้าย เป็นเรื่องที่ตัวเธอพบว่าปู่ย่าของตนถูกฆ่าตายในหมู่บ้าน หลายคนที่มาจากประเทศตะวันตกเมื่อพบเห็นความเจ็บปวดเช่นนั้น ต่างมีสัญชาตญาณที่จะทำอะไรบางอย่าง พวกเธออยากแก้ไขเพื่อให้มันดีขึ้น อะไรก็ได้ที่ทำให้ความเจ็บปวดจากโศกนาฏกรรมของชีวิตอันอ่อนเยาว์ผู้นี้บรรเทาลงได้ หญิงสาวผู้นั้นรับรู้ถึงความเห็นอกเห็นใจแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคนอื่นๆเริ่มขยับใกล้เข้ามา เธอยกมือทั้งสองข้างขึ้น เหมือนกับจะผลักไสความปรารถนาที่อยากช่วยเหลือของผู้อื่น เธอพูดว่า “ฉันไม่ได้ต้องการให้พวกคุณแก้ไข ฉันเพียงอยากให้พวกคุณฟังเท่านั้น”

เธอได้สอนผู้หญิงหลายคนในวันนั้นว่าเพียงการฟังก็เพียงพอ ถ้าเราสามารถเล่าเรื่องราวและรู้ว่ามีคนรับฟัง เราก็ได้รับการเยียวยาแล้ว ระหว่างกระบวนการรับฟังของคณะกรรมการหาข้อเท็จจริงและสมานฉันท์ของประเทศแอฟริกาใต้ หลายคนได้ให้การถึงเหตุการณ์อันร้ายกาจที่พวกเขาประสบระหว่างระบอบเหยียดผิวปกครองอยู่กล่าวว่าพวกเขาได้รับการเยียวยาจากการให้การของตนเอง พวกเขารู้ว่ามีคนจำนวนมากกำลังฟังเรื่องราวของตนอยู่ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตาบอดจากการถูกตำรวจยิงเข้าที่ใบหน้าในระยะประชิดกล่าวว่า “ผมรู้สึกว่าสิ่งที่นำการมองเห็นกลับคืนมาคือการมาที่นี่และบอกเล่าเรื่องราว ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้ตัวเองป่วยอยู่ตลอดเวลาคือการไม่สามารถเล่าเรื่องนี้ให้กับใคร แต่ตอนนี้ดูเหมือนผมได้รับการมองเห็นกลับคืนมาจากการมาที่นี่และเล่าเรื่องราวให้พวกคุณฟัง”

ทำไมการได้รับฟังจึงสลายความเจ็บปวดลงได้ ฉันไม่รู้คำตอบทั้งหมด แต่ฉันรู้แน่ว่ามันเป็นผลบางอย่างจากขที่การฟังก่อให้เกิดความสัมพันธ์ วิทยาศาสตร์บอกให้เรารู้ว่าไม่มีสิ่งใดในจักรวาลอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือไม่อิงอาศัยกับสิ่งอื่น ทุกสิ่งเป็นตัวตนขึ้นมาจากความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นจุลอนุภาคที่แบ่งปันพลังงาน หรือระบบนิเวศน์ที่แบ่งปันอาหาร ในข่ายใยชีวิตนั้นไม่มีชีวิตใดที่อยู่เพียงลำพัง

การอยู่ร่วมกันเป็นสภาวะปกติของเรา ในเวลานี้ที่เราแยกตัวห่างจากกันเรื่อยๆ แต่ความต้องการและโหยหาต่อการมีสัมพันธภาพของเราก็ไม่ได้หายไป ทุกคนมีเรื่องราวและต้องการเล่าเรื่องราวของเขาเพื่อให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ถ้าไม่มีใครฟัง เราก็เล่าเรื่องเหล่านั้นให้ตัวเองฟังและเราก็เสียสติ คำว่า “สุขภาพ” ในภาษาอังกฤษมาจากรากศัพท์เดียวกับคำว่า “หนึ่งเดียว” เราไม่อาจมีสุขภาพดีได้ถ้าขาดความสัมพันธ์กับใคร และคำว่า “หนึ่งเดียว” นี้ก็มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า “ศักดิสิทธิ์”

การฟังทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น มันช่วยให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน มีสุขภาพดีขึ้น และมีความศักดิสิทธิ์มากขึ้น การไม่ฟังกันสร้างความแยกส่วน และการแยกส่วนนี้เป็นสาเหตต้นกำเนิดแห่งความทุกข์ทั้งปวง ท่านอาคบิชอพ เดสมอนด์ ตูตู (Archbishop Desmond Tutu) กล่าวถึงยุคสมัยปัจจุบันนี้ว่าเป็นเวลาที่ความสัมพันธ์ทุกอย่างของเรา “แตกสลายอย่างสิ้นเชิง” ทุกหนทุกแห่งในครอบครัวของโลก เราเห็นการแยกตัวและความหวาดกลัวระหว่างกันและกัน ตัวอย่างเช่น ในทุกประเทศ มีเด็กวัยรุ่นมากมายเพียงใดที่กล่าวว่าไม่มีใครฟังพวกเขา รู้สึกถูกละเลยและไม่เห็นคุณค่า ในความเจ็บปวดนั้นพวกเขารวมกลุ่มกันเพื่อสร้างวัฒนธรรมของตนเอง หรือหันเข้าหาตัวเองและฆ่าตัวตาย ฉันได้ฟังจากครูผู้ยิ่งใหญ่สองท่าน มาลิโดมา โซเม่ (Malidoma Some′) จากเบอร์กิโน ฟาสโซ (Burkino Fasso) ในแอฟริกาตะวันตก และปาร์เกอร์ พาล์มเมอร์ (Parker Palmer) จากสหรัฐอเมริกา ทั้งสองท่านได้ให้ข้อสังเกตเดียวกันนี้ว่า “คุณบอกได้ว่าสังคมใดมีปัญหาเมื่อพวกผู้ใหญ่เดินข้ามถนนเพื่อหลีกเลี่ยงการพบกับวัยรุ่น” เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างสังคมที่มีสุขภาพแข็งแรงหากเราปฏิเสธที่จะพบปะและพูดคุยกัน แต่ถ้าเราพบปะพูดคุยกัน เราจะถักทอโลกที่เป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นโลกที่ศักดิสิทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง

ยุคนี้เป็นยุคที่เต็มไปด้วยเสียงดัง ผู้คนตะโกนใส่กันในสิ่งพิมพ์ ในที่ทำงาน และในโทรทัศน์ ฉันเชื่อว่าความดังของเสียงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความต้องการที่จะได้รับฟังของเรา ในสถานที่สาธารณะ ในสื่อ เราให้ความสนใจกับผู้ที่มีเสียงดังที่และแรงที่สุด คนจึงส่งเสียงดังเพื่อให้ได้รับการสนใจ และพวกเขาจะทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ผู้อื่นสังเกตเห็น สิ่งต่างๆยิ่งส่งเสียงดังขึ้นจนกระทั่งเราต้องหาทางนั่งลงและรับฟัง พวกเราส่วนใหญ่ชอบที่จะให้สิ่งต่างๆสงบลง เราจึงเริ่มส่วนของเราด้วยการลดเสียงของตนเองลงด้วยความเต็มใจที่จะรับฟัง

ครูในโรงเรียนผู้หนึ่งเล่าให้ฉันฟังว่าเด็กอายุสิบหกปีคนหนึ่งก่อเหตุวุ่นวาย ตะโกนด้วยความโกรธ พูดข่มขู่เธอ ความรุนแรงถึงขั้นที่เธออาจจะเรียกเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายให้ปกป้องเธอจากการถูกคุกคาม แทนที่จะทำเช่นนั้น เธอกลับนั่งลงและถามเด็กคนนั้นให้พูดคุยกับเธอ ต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะทำให้เขาเย็นลงเพราะเขาอยู่ในอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอย่างมากและเอาแต่เดินไปมาอยู่ในห้อง แต่ในที่สุดเด็กคนนั้นก็เดินมาที่ครูและเริ่มเล่าเรื่องราวชีวิตเขาให้ฟัง เธอเพียงแต่ฟัง ไม่มีใครเคยฟังเขาพูดมาเป็นเวลานานแล้ว ความเงียบที่เธอสนใจฟังทำให้เกิดพื้นที่สำหรับเขาเพื่อที่จะฟังเสียงของตัวเอง เธอไม่ได้ให้ข้อแนะนำอะไร ไม่ต้องคิดหาหนทางให้กับชีวิตของเด็กคนนั้น เขาหาหนทางให้กับชีวิตของตนเองได้เมื่อเธอฟังเขาพูด

ฉันชอบประโยคในพระคัมภีร์ที่ว่า “เมื่อคนสองคนหรือมากกว่านั้นเข้ามารวมกัน ฉันอยู่ในที่นั้น” สำหรับฉัน มันเป็นคำอธิบายสำหรับช่วงเวลาศักดิสิทธิ์ของการฟังอย่างแท้จริง สุขภาวะ ความเป็นหนึ่งเดียว และความศักดิสิทธิ์ของสัมพันธภาพใหม่ก่อตัวขึ้น ในขณะที่ฟัง เราไม่จำเป็นต้องชอบเรื่องราวนั้น หรือแม้กระทั่งผู้ที่กำลังพูด แต่การฟังสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้น ทำให้เราใกล้ชิดกันและกันมากขึ้น

ในด้านการเยียวยาผู้เสียหายของกระบวนการยุติธรรม ผู้เสียหายจากการกระทำผิดทางอาญาพบกับผู้ที่ก่อคดี พ่อแม่ของเด็กที่ถูกฆาตกรรมพบกับฆาตกร ในสภาวะที่ไม่อาจจินตนาการได้ มีการถามคำถามและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ชายหนุ่มคนหนึ่งผู้ซึ่งฆ่าเด็กวัยรุ่นได้เรียนรู้ว่าผู้ที่เขาฆ่าเป็นใครและการเสียชีวิตของเธอมีความหมายต่อครอบครัวอย่างไร สิ่งต่างๆที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนในขณะที่ลั่นไกสังหาร ผู้ต้องหาข่มขืนได้ฟังว่าผู้ถูกข่มขืนรู้สึกอย่างไร บางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้ และเขาเปิดเผยถึงความบ้าคลั่งอันมืดบอดที่กระตุ้นให้เกิดกระทำของเขา หลังจากเวลาผ่านไป คนอาจหวังว่าความหวาดกลัวและความเกลียดชังต่อกันจะสิ้นสุดลงในความสัมพันธ์ในลักษณะที่เข้าใจกันและให้อภัยต่อกัน

ฉันอยากให้พวกเราทุกคนมีส่วนในการเยียวยาอันยิ่งใหญ่ มันเป็นที่ต้องการในทุกหนทุกแห่ง ลองคิดว่าใครบ้างที่คุณจะเข้าหาได้ เขาอาจเป็นคนที่คุณไม่รู้จัก ไม่ชอบใจ หรือมีลักษณะการใช้ชีวิตที่ดูจะลึกลับสำหรับคุณ อะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับการเริ่มสนทนากับคนเหล่านั้น คุณสามารถถามความคิดเห็นหรือคำอธิบายและนั่งอย่างเงียบๆเพื่อฟังคำตอบจากเขาหรือเธอเหล่านั้นได้ไหม คุณจะสามารถหักห้ามใจจากการโต้แย้ง การปกป้อง หรือการพูดอะไรออกมาสักระยะหนึ่งได้ไหม คุณสามารถโอบอุ้มให้คนผู้นั้นให้บอกเล่าภาพของสิ่งต่างๆที่เขาเห็น ที่เป็นด้านหนึ่งของเรื่องราวได้ไหม

เราต้องใช้ความกล้าหาญในการเริ่มการสนทนาเยี่ยงนี้ แต่การฟัง แทนที่จะเป็นการโต้แย้ง เป็นสิ่งที่ง่ายขึ้นมากเมื่อฉันได้ฝึกฝนบทบาทใหม่นี้เพียงไม่กี่ครั้ง ฉันพบว่ามันเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งทีเดียว และฉันเรียนรู้สิ่งต่างๆที่ฉันไม่อาจรู้ได้เลยหากฉันพูดขัดจังหวะขึ้นหรือให้คำแนะนำออกไป

ตอนนี้ฉันรู้ว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือเปลี่ยนแปลงโลกได้จากการโต้แย้งด้วยเหตุผลที่ดีของตัวเอง แม้จะด้วยความปรารถนาดีก็ตาม สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อฉันได้เคลื่อนเข้าหาความเป็นหนึ่งเดียว เมื่อฉันเคลื่อนเข้าหาผู้อื่นโดยผ่านทางความอดทนที่จะฟังอย่างแท้จริง

เขียนโดย มาร์กาเรต วีทลี่ย์
แปลโดย นพ.กิจจา เจียรวัฒนกนก

No comments: