Saturday, July 21

คบหาบูชาพระเจ้า (ฟรี)

คบหาบูชาพระเจ้า (ฟรี)



เมื่อวานได้มีโอกาสได้ไปกินอาหารมื้อเย็นร่วมกับอาจารย์สดใส อาสมพล น้องเกด อาใหญ่ ยิ่ง อ้อ ในวาระของการรวมตัวกันของคนที่มีความหมายกับชีวิตอาอู๊ดมากที่สุด แม้จะมากันไม่ครบหน้า แต่ก็มีคุณค่าแก่การจดจำ ต้องขอขอบคุณอาอู๊ดอีกครั้งหนึ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้มีโอกาสเช่นนี้ ยิ่งเองก็ได้เล่นดนตรีให้อาจารย์ได้ฟังอย่างลึกซึ้งไพเราะเพราะพริ้งสุดๆ

ได้ฟังเรื่องราวชีวิตของอาจารย์สดใสทำให้เห็นแง่มุมต่างๆมากมายที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างไข่ในหิน จะไปไหนคุณแม่ของอาจารย์ก็ต้องคอยเป็นห่วงเพื่อให้แน่ใจว่าจะปลอดภัย เพราะความรักและต้องการทนุถนอม แม้จะทำให้มีผลตามมาหลายอย่าง เช่นทำนั่นทำนี่ไม่เป็น แต่อาจารย์ก็ได้พัฒนาโลกภายในที่มั่งคั่งไปด้วยสัมพันธภาพกับเสียงภายใน สมาธิแบบธรรมชาติ พระผู้เป็นเจ้า และโลกของจินตนาการ จนการละครของอาจารย์ก็ดูจะเป็นชีวิตและจิตใจหรือลมหายใจของอาจารย์แบบไม่ทำไม่ได้ต้องตายแน่ๆ ถือเป็นพื้นที่แห่งอิสรภาพที่อาจารย์มีได้เองโดยไม่ต้องไปไหน

อาจารย์ยังบอกเล่าเรื่องราวของชีวิตพุทธคริสตร์ของอาจารย์ที่เรียนโรงเรียนคาทอลิกมาโดยตลอดและได้ซึมซับแนวทางการรับใช้ผู้คนและความรักให้กับผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของอาจารย์ โดยอาจารย์มองตัวเองว่าเป็นผู้รับใช้ ไม่ว่าจะเป็นสามี ลูก ลูกศิษย์ หรือแม้แต่ลูกจ้าง และไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นเก่งกว่า ฉลาดกว่า เหนือกว่าใครต่อใคร อาจารย์บอกว่าตัวเองยอมโง่ และไม่ต้องเป็นใคร (Does not have to be somebody) ทั้งๆที่อาจารย์ได้รับการยอมรับในสายการละครและสาธารณชนว่าเป็นผู้ที่มีความเป็นครูและความรู้ในด้านนี้อย่างลุ่มลึก มีผลงานการแสดงและการแต่งละครที่ได้รับรางวัลดีเด่นทั้งในประเทศและต่างประเทศมากมาย ผมชอบใจที่อาจารย์บอกว่า เราไม่จำเป็นต้องเป็นใคร เพราะดูเหมือนว่าจะทำให้ชีวิตเราเบาขึ้น

ที่น่าสนใจอีกเรื่องคือความสัมพันธ์กับพระเจ้า แม้นับถือศาสนาพุทธและศึกษางานของท่านพุทธทาสอย่างถือปฏิบัติไปในแนวตัวกูของกูไม่มี แต่เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ถึงความเป็นความตายของสามีตัวเองที่ป่วยเป็นมะเร็งปอด ที่แพทย์บอกว่าจะอยู่ต่อไปได้ไม่ถึงเดือน อาจารย์เองก็สวดอ้อนวอนให้พระเจ้าได้ช่วยมาดูแล ผลจากการภาวนาคืออยู่ต่ออย่างมีความสุขถึง ๓ ปี ผมคิดว่านี่เป็นพลังแห่งความรักและความกรุณาที่อาจารย์มี ไม่เฉพาะต่อสามีตัวเอง แต่ต่อพระเจ้า ที่อาจารย์บอกว่าจะเรียกว่าธรรมชาติหรือจักรวาลก็ได้ เมื่ออาจารย์สามารถลดตัวเองลง ศิโรราบให้กับพลังแห่งการเยียวยาของจักรวาล ธรรมชาติ ในนาม พระผู้เป็นเจ้า พลังแห่งการเยียวยาก็บังเกิด

อาจารย์เป็นคนฐานใจ ให้คุณค่ากับความสัมพันธ์ด้วยหัวใจ แต่พุทธศาสนานับตั้งแต่สมเด็จวชิรญาณวโรรสได้ปฏิรูปแนวคิดและการเรียนรู้ในพุทธศาสนากลับทำให้มิติของความสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นลดลงไปมาก เพราะไม่ต้องการให้เกิดการเคารพบูชาเทพเทพีโดยขาดการปฏิบัติภาวนาในแนวทางของพระพุทธเจ้าที่ชวนให้กลับมาดูตัวเองจนเห็นแจ้งแจ่มกระจ่างว่าอัตตาตัวตนของเรานั้นมันผุดบังเกิดอย่างไร แม้แต่ท่านพุทธทาสเองก็เห็นว่าการสวดอ้อนวอนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั้นไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์แต่เพื่อตัวเอง

ผมเห็นด้วยว่าต้องระมัดระวังความงมงายและหลงผิดว่า แต่ทำอย่างไรมันจะพอดี

ทุกวันนี้คนต้องการเพื่อนทางจิตวิญญาณ เมื่อคนทั่วไปเป็นเพื่อนแบบนั้นไม่ได้ เมื่อพุทธเป็นพุทธแบบวัตถุ คือสัมพันธ์กันผ่านการให้วัตถุทาน ผู้คนก็อาจรู้สึกเงียบเหงา ต้องการเกาะแก่งหรือที่พักพิงทางจิตใจ แสดงหาบุคลาธิฐานมากมาย รวมทั้งดารานางแบบก็อาจมาเป็นบุคลาธิฐานให้กับวัยุรุ่น จากนั้นพอชีวิตล่วงเข้าสู่วัยกลางคน ดาราอาจมีพลังให้พึ่งพิงไม่พอ ก็ต้องการหาดาราทางจิตมายึดถือไว้ ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่หลวงตารุ่นต่างๆ รูปบูชา หรือเทวบูชาเหล่านี้เป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นเมื่อพุทธแบบเถรวาทไทยปฏิเสธความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระเจ้า
ในขณะที่ความเป็นหยางนั้นให้ค่าแก่ความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ขึ้นต่อใคร พึ่งตัวเอง ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นที่พึ่งได้ การให้ (Agent) ความภาคภูมิใจในตัวเอง

ในศาสตร์แม่มดจะเห็นได้ชัดว่า สัมพันธภาพที่ผูกพันเป็นวิถีแห่งหยินหรืออิตถีทำให้เกิดพลัง เมื่อเราสามารถรักอะไรบางอย่างจนหมดหัวใจ จนแทบเอาชีวิตเข้าแลกได้ (เหมือนในศาสนาอิสลาม) ความรักในพระเจ้านั้นคือทั้งหมดของชีวิต เช่นเดียวกับที่ศากยมุนีตรัสว่ากัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดแห่งพรหมจรรย์นั่นเอง มันมีความหมายมากกว่าเพียงการ “มี”เพื่อนไว้ประดับการเรียนรู้ หรือมีไว้ให้ปลอดภัยเท่านั้น ผมคิดว่ามันหมายถึงการดำรงอยู่ในกันและกัน เพื่อกันและกัน ด้วยหัวใจทั้งหมด ดำรงในความเปราะบาง ขอร้องกันได้ อ้อนวอนกันได้ อย่างไม่ต้องรู้สึกเสียหน้า หรือกลัวความเจ็บปวดหรือสูญเสีย

เพลงรักทั้งหลาย ทั้งเก่าใหม่ ก็มีข้อความเหล่านี้ทั้งนั้น เช่น รักเธอจนหมดหัวใจ เป็นต้น เพียงแต่ว่ามันถูกให้ความหมายแบบแคบๆ แต่ผมรู้สึกว่าจิตมนุษย์โหยหาสัมพันธภาพเช่นนี้โดยธรรมชาติ ยิ่งสังคมมีความเป็นวัตถุนิยมบริโภคนิยมอย่างรุนแรง และตัดสินผู้คนตามที่สิ่งที่มีมากกว่าสิ่งที่เป็นและที่กระทำ ก็ยิ่งทำให้ความอยากกระหายและความโหยหารุนแรงไปตามๆกัน เราจะไม่ด่วนตัดสินอาการเหล่านี้อย่างไร และเปิดใจมองให้เห็นแบบแผนทางจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคนอย่างเห็นคุณค่า ดังคำพูดของกวีซูฟีผู้หนึ่งกล่าวว่า

People look for a sense of belonging, intimate, safe and faithful relationship where they can be so vulnerable and empty of pride that their ego has no place to exist. We are not alone.

แนวคิดในการปฏิบัติธรรมแบบวิปัสสนากรรมฐานในบ้านเรา ก็มองอะไรเป็นธรรมชาติไปเสียหมดและปฏิเสธการเอาตัวเองไปพัวพัน หรือให้ความหมายอะไรที่มากไปกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ถือว่าฟุ้งซ่าน หรือเป็นเรื่องการยึดติดไปเสียหมด โดยอาจไม่มองอีกด้านหนี่งของสัมพันธภาพนี้ว่ามีความตระหนักรู้ถึงการดำรงร่วมเป็นเหตุปัจจัยกันอย่างแนบแน่น

จักรวาลวิทยาแบบกระบวนทัศน์เก่าทำให้ทุกอย่างเป็นวัตถุ กลไก และเงียบเหงา จักรวาลวิทยาแบบพุทธเถรวาทยุคหลังสมัยใหม่นี้เล่าจะทำให้ดวงดาวและแดนดินถิ่นเทวาทั้งหลายกลับมามีชีวิตและสนทนาไปกับเราอย่างสุนทรีได้อีกครั้งหรือไม่

อาจารย์สดใสบอกว่าการกลับมาอธิฐานถึงพระเจ้าอีกครั้งเมื่อตอนทีสามีป่วยหนักนั้น แม้จะรู้สึกผิดกับท่านพุทธทาสแต่ก็บอกตัวเองในใจว่า แหมก็พระเจ้าไม่ต้องซื้อหา มีให้ฟรีแล้วจะไม่ให้คิดถึงได้อย่างไร

So...Why not!?!

ขอบคุณเรื่องเล่าของอาจารย์ครับ

No comments: