Wednesday, December 17

ไป Quest ครั้งแรก




มีครูท่านหนึ่งซึ่งเป็นแรงบันดาลใจของฉัน ท่านมักจะบอกกับบรรดาเหล่าศิษย์เสมอว่า “คำถามสำคัญกว่าคำตอบ”

การไป Quest ครั้งแรกของฉัน ไม่มีคำถาม เพราะฉันไม่รู้ว่า ตัวเองไปหาอะไรกันแน่ ฉันแค่ต้องการเดินท่องไปในโลกด้านในของตนเอง กลับสู่ธรรมชาติด้านใน รื้อฟื้นสายสัมพันธ์ของตนเองกับโลกใหม่อีกครั้งด้วยสัญชาตญาน ไม่ใช่ด้วยความคิดที่มากมายของตนเอง

พี่ณัฐ ครูอีกคนของฉันพาพวกเรา ได้แก่ ฉัน และ น้องสาวอีกคน ไป Quest หรือไปวิเวก ตอนที่เฮียพาไปถึงหมู่บ้านแสนน่ารักในเวียงป่าเป้านั้นเป็นเวลาบ่ายแก่แล้ว

ดูครูมีความลังเลที่จะปล่อยพวกเราเข้าป่าไปในตอนนั้น แต่ที่สุด ด้วยความไว้วางใจ พวกเราก็ได้เดินเท้าขึ้นภูเขาเข้าป่าสมใจ ฝีเท้าเราที่ก้าวขึ้นภูแต่ละก้าวสวนกันกับดวงตะวันที่กำลังเคลื่อนลงต่ำ

ฉันเปลี่ยนเส้นทางครั้งแรกเมื่อเห็นทางแยก ฉันไม่รู้ว่ามันเป็นทางขึ้นหรือทางลงด้วยซ้ำ เดินไปพักหนึ่งแล้ว ฉันก็ตัดสินใจเดินกลับ เพราะคิดว่ามันน่าจะพาฉันกลับไปสู่หมู่บ้าน ไม่ได้กลับสู่ป่า ที่ฉันใฝ่หา ...ระหว่างเดินทางกลับ รู้สึกว่าไกล กว่าตอนไป และแอบรู้สึกเสียดาย เวลา ที่ออกแรงไปเล็กน้อย...อดถามตัวเองในตอนนั้นไม่ได้ว่า เส้นทางชีวิตที่ฉันเดินอยู่ตอนนี้จะเหมือนทางเส้นนี้ไหมนะ ที่สุดแล้ว ฉันอาจพบว่าไม่ใช่ แล้วก็ตัดสินใจเดินกลับ

หลังจากเข้าสู่ทางหลัก ทักทายผู้ผ่านทาง ฉันเดินมุ่งหน้าไปเรื่อยๆด้วยใจทะยาน เปล่า...ไม่ได้ต้องไปให้ไกลกว่าใครไหน ไม่ใช่ต้องการความภาคภูมิใจอะไร แค่อยากไป อยากรู้ว่าข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อยากทานกำลังตนเองว่าจะไปได้สักแค่ไหน ตั้งใจว่า ต่อให้มืดค่ำ ด้วยไฟฉายกระบอกน้อยที่มีอยู่ในมือนั้น ฉันจะลองเดินฝ่าความมืดไป

ฉันเดินไปเรื่อยๆ แสงเริ่มลดน้อยลง ฉันพบที่งามแห่งหนึ่ง เห็นครั้งแรกถูกใจ จินตนาการเกิดภาพในใจว่าที่นั้น คือ บ้าน ลังเลใจเล็กน้อยว่าจะหยุดพักดีไหม แต่ก็ตัดสินใจเดินผ่านไป เพราะฉันต้องการไปต่อ แม้ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังจะไปไหนก็ตาม

เมื่อฉันเดินขึ้นภูไปต่อได้สักระยะหนึ่ง มีแมลงเล็กๆสีดำบินมาห้อมล้อมหน้าตา บดบังรบกวนการมองทาง ฉันทนฝ่าแมลงฝูงนั้นรู้สึกรำคาญจนทนไม่ไหว นึกถึงคำพูดของครูพี่ณัฐว่าให้สดับสัญญานของป่าด้วย ฉันถามไปในป่าว่าจะให้ฉันไปต่อไหม เมื่อฉันลองหันหลังเดินลงไป กองกำลังแมลงนั้นก็ไม่ติดตามลงมา ฉันยืนลังเลอยู่ที่ทางขึ้น มองขึ้นไป แล้วก็ตัดสินใจเดินขึ้นอีกรอบ ต้องทดสอบ ทดลอง อีกครั้ง...จะให้ล่าถอยง่ายๆ เช่นนั้นหรือ?

แล้วทุกอย่างก็เหมือนเดิม ฉันถูกกองกำลังเดิมเข้าโจมตี นึกถึงคำพูดของครูพี่ณัฐแล้วฉันก็ยินยอมที่จะเคารพป่า ไม่ให้ไปก็ไม่ไป ถ้าพี่ณัฐไม่เตือนไว้ ฉันคงเอาผ้าปิดหน้าตาให้มากที่สุดแล้วก็จะดันทุรังฝ่าไป เพราะจริตนิสัยฉันมันเป็นเช่นนั้น

ฉันกลับมายังพื้นที่งามแห่งนั้น เริ่มก่อไฟ และล้มตัวลงบนผืนดิน
...ฉันได้กลับบ้านแล้ว...



ฉันรู้สึกเช่นนั้น อบอุ่น เคยคุ้นเสียเหลือเกิน นอนมองเงาไม้ในแสงสลัวของดวงจันทร์ ฉันรู้สึกเหมือนตนเองถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขนมารดา

แม้เมื่อกองไฟดับลง ฉันวางใจ ไม่ปรารถนาความอบอุ่นใดมาเพิ่มเติม

ไม่มีความคิดฝัน ไม่มีโลกอันจินตนาการสร้างเสก มีแต่ฉัน ในภาวะปัจจุบันกับธรรมชาติรอบตัว หิ่งห้อยตัวหนึ่งเดินทางมาทักทาย ฉันนึกถึงภูติน้อยในเทพนิยายวัยเยาว์ บางทีอาจจะเป็นเขานั้นเอง...ภูติเรืองแสงตนนั้น เรากล่าวทักทายกันในใจ


คืนนั้น ฉันหลับสนิท หลับลึกด้วยความวางใจ เป็นการหลับสนิทคืนแรกหลังถูกสั่นคลอนด้วยคำถาม หลังจากถูกสั่นคลอนหัวใจก่อนเดินทางมาเชียงราย


กลับจากไปวิเวก หรือ Quest มีผู้ถามว่าได้เจออะไรบ้าง ฉันตอบว่าเจอตัวเอง เห็นวิธีการเดินของตนเอง เห็นถึงความทะยานอยากและอหังการ์ของตน ฉันไม่ใส่ใจในรายละเอียดระหว่างทาง แม้เจอจุดที่น่าพัก ฉันก็ยังให้จุดหมายที่มองไม่เห็นลากพาตนเองไป..ต่อไป

เมื่อถามว่าฉันได้อะไรบ้าง ฉันคิดว่า ฉันได้กลับบ้านแล้วนะ ได้ฟื้นคืนความรู้สึกเชื่อมโยงของตนเองกับโลกใบนี้ผ่านธรรมชาติ ได้กลับมาไว้วางใจในโลกใบนี้อีกครั้ง ฉันไม่เหงา ไม่กลัว ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวแม้อยู่คนเดียวในป่า
เพราะว่า แท้จริงแล้ว ฉันไม่เคยอยู่คนเดียว.

เขียนโดย นารีแดง ผู้หญิงผู้ชอบทำตัวเป็นแม่มด เสกทุกอย่างขึ้นจากจินตนาการ
กำลังเรียนรู้โลกด้านในที่ไม่ต้องปรุงแต่ง โลกที่ไม่ต้องการมนต์คาถาใดๆ
พบว่าอัศจรรย์เกิดใหม่ขึ้นทุกวัน เพียงแค่ใช้ใจที่ใคร่ครวญ

1 comment:

รับ แปลเอกสาร said...

ขอบคุณสำหรับ บทความที่มีเนื้อหาลึกซึ้งนี้ครับ