
ภาวนาภาคมอมแมม
Eco-quest
จาริกสู่ต้นธารชีวิต
อารยธรรมแห่งความเรียบง่ายและบรรสาน
วันที่ ๔-๘ ก.พ. ๕๒
สถานที่ ป่าต้นน้ำเชียงราย อ.เวียงป่าเป้า
ในทุกๆวัฒนธรรม จะมีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหนึ่งที่เรียกว่าการจาริก เป็นการเดินทางที่มีเป้าหมายทางจิตวิญญาณ เป็นพิธีกรรมในตัวมันเอง ทุกวันนี้คนไทยก็ยังเดินทางเช่นนี้ เช่นการไปกราบไหว้บูชา นมัสการสถานที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต การเดินทางของพวกเราเผ่าพันธุ์จิตตปัญญาก็เช่นกัน มีความเป็นพิธีกรรมในตัวมันเอง โดยเป็นการจาริกสู่ขุนเขาและนิเวศต้นน้ำอันเป็นวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ของชีวิตน้อยใหญ่ รวมทั้งชาวปกาเกอญอผู้พิทักษ์ เพื่อได้ภาวนา เรียนรู้ร่วมกัน และสร้างหลักหมายแห่งการแปรเปลี่ยนในชีวิตของพวกเราแต่ละคน นอกจากนี้ยังเป็นโอกาสที่เราจะได้สัมผัสชีวิตแบบชนเผ่าที่ยังคงดำรงความดั้งเดิม เรียบง่ายและคุณค่า เผื่อว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้สืบสานความเป็นชนเผ่าของมนุษย์ไว้ในชีวิตเมืองยุคนี้
ในฐานะที่จะเป็นผู้นำทาง ผมอยากบอกเล่าว่าผมมองอย่างไร สำหรับการเดินทางครั้งนี้ อย่างแรกผมดีใจมากที่จะได้พาทุกคนให้ไปรู้จักกับผู้เฒ่าผู้แก่(Elders) และชุมชนที่เป็นดังครูทางจิตวิญญาณของผมอีกแห่งหนึ่ง นอกจากเชียงรายและขวัญเมืองแล้ว ชุมชนชาวปกาเกอญอเป็นขุมพลังชีวิตของความ “ปกติ” ที่อ่อนน้อม อ่อนโยน และกรุณาอย่างไม่ต้องใช้ความพยายาม บางคนที่เคยมาที่นี่แล้วคงจำได้นะครับว่าความรู้สึกที่ได้พบเจอ ความอ่อนโยนและปกติที่ผมว่านั้นเป็นอย่างไร วิถีชีวิตของการไม่ทำร้ายไม่ทำลายและพึ่งพาธรรมชาตินั้นอาจเป็นคำตอบเชิงรูปธรรมอันหนึ่งต่อวิกฤตจิตวิญญาณพลังงานและระบบนิเวศของโลก
อีกอย่างหนึ่ง ผมคิดว่านี่เป็น การเดินทางของเรา ผมหมายความว่า เราแต่ละคนจะเป็นผู้บอกเองว่าการเดินทางครั้งนี้น่าจะมีความหมายอย่างไรกับชีวิตเรา นี่เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้การเดินทางครั้งนี้เป็นการจาริก เราคือผู้ให้ความหมาย ให้คุณค่า ให้ความศักดิ์สิทธิ์แก่การเดินทางของเรา
Vision Quest หรือ Wilderness Quest (นิเวศภาวนา) เป็นการแสวงหาทางจิตวิญญาณที่ถือเป็นพิธีกรรมแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิต (Rite of Passage) อย่างหนึ่งที่กระทำกันในหลายๆวัฒนธรรม โดยเฉพาะทางชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกา หรือที่เรามักเรียกกันติดปากว่า อินเดียนแดง ซึ่งจะมีการทำพิธีส่งตัวเยาวชนที่กำลังเติบโตย่างเข้าสู่ความเป็นผู้ใหญ่ให้ออกไปอยู่กับธรรมชาติเพื่อค้นพบศักยภาพอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง เป็นการค้นหาปัญญา และพรที่แต่ละคนได้รับจากสวรรค์ แผ่นดิน พระเจ้า หรือธรรมชาติจากการที่ได้เกิดมา เขาถือว่าทุกคนเกิดมาอย่างมีเป้าประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์ เกิดมาเพื่อรับใช้ชีวิต ชุมชน สังคมและโลกตามวิถีทางต่างๆ ตามพรหรือของขวัญที่ได้รับ บุตรธิดาทั้งหลายเมื่อถึงเวลาก็ต้องกลับไปดำรงอยู่ร่วมกับพระแม่ธรณีและผืนฟ้าพสุธากว้าง ผ่านความยากลำบากทางกาย บางคนอดอาหารและน้ำหลายวันเพื่อให้จิตวิญญาณเติบโตและแก่กล้า รับพลังจากธรรมชาติ แล้วกลับคืนสู่ชุมชน ผมแปลคำว่า vision คือ การมองเห็น นิมิต การหยั่งรู้ หรือปัญญาญาณที่เห็นชีวิตตัวเองและโลกสัมพันธ์สอดประสานกันอย่างเป็นเอกภาพ ทุกชีวิตมีความหมายและมีส่วนในการจรรโลงชีวิต และหล่อเลี้ยงจักรวาลทั้งหมด เมื่อได้กลับเข้ามาแล้ว ชุมชนก็จะทำการต้อนรับและยืนยันความแปรเปลี่ยนอย่างสมเกียรติ ดังนั้น การเดินทางของเราแต่ละคน แม้ดูว่าเป็นส่วนเสี้ยวที่เล็กน้อย แต่ก็ต้องถือว่า ปฏิบัติการนี้เป็นไปเพื่อมนุษยชาติและธรรมชาติทั้งมวล ความยากลำบากทางกายหรือใจภายในตัวเราทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นล้วนหมายถึงโอกาสแห่งวิวัฒนาการทางจิตของมนุษยชาติด้วย
หากเปรียบเทียบกับบ้านเราก็คือการออกบวชของผู้ชาย ยังมีความเชื่อที่ว่าคนที่ยังไม่ได้บวชเป็นคนดิบอยู่ เพราะยังไม่ได้ไปผ่านพิธีกรรมแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิตที่ดำรงอยู่ในวัฒนธรรมไทย หรือพิธีกรรมอื่นๆที่เป็นการสื่อสารและยืนยันการแปรเปลี่ยนสถานะ เช่น งานเลี้ยงวันเกิด การรับปริญญา การแต่งงาน พิธีกรรมเกี่ยวกับการตาย เป็นต้น
เหล่านี้เป็นกระบวนการที่สังคมให้การยอมรับความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต ผมคิดว่าเยาวชนยุคนี้โหยหาการยอมรับ ความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง ได้รับเกียรติจากสังคม น่าเสียดายที่ระบบโรงเรียนสมัยใหม่เป็นทางผ่านที่ทุกคนต้องมาผ่านกระบวนทดสอบเฉพาะทางความคิดว่าใครจะผ่านชีวิตเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ได้ดีอย่างไร หาได้มีมิติของการแปรเปลี่ยนทางจิต พวกเรียนไม่เก่งก็อาจรู้สึกว่าไม่มีที่ทางที่ตัวเองจะยืนหยัดได้อย่างสง่าผ่าเผยหรือด้วยความภาคภูมิใจเลย
บิลล์ มอยเยอร์ นักคิดและนักโทรทัศน์ร่วมสมัย กล่าวว่าสังคมยุคใหม่นี้ปราศจากพิธีกรรมที่จะช่วยทำให้เยาวชนหรือคนรุ่นใหม่รู้สึกว่าตัวเป็นส่วนหนึ่งที่มีค่าต่อเผ่าพันธุ์และชุมชน เยาวชนทุกคนต้องการการเกิดอีกครั้งหนึ่งในชีวิต เพื่อจะตระหนักรู้และยอมรับหน้าที่แห่งความเป็นมนุษย์ของตนเอง และละทิ้งชีวิตอันเยาว์วัยไว้เบื้องหลัง
พิธีกรรมแห่งการแปรเปลี่ยนชีวิตสามารถทำได้ตามวาระต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิต เพื่อให้เกิดการเยียวยา เติบโต และชีวิตใหม่ทางจิตวิญญาณ เช่น การยอมรับความชราภาพ ความเป็นอนิจจังของสังขาร ความเจ็บป่วยของร่างกายตัวเองหรือคนรัก ในขณะเดียวกันก็น้อมรับบทบาทแห่งการเป็นผู้เฒ่าหรือผู้นำทางจิตวิญญาณหรือปัญญาของเผ่าพันธุ์ หรือวาระแห่งการหย่าร้างเลิกรากับความสัมพันธ์ในอดีต หรือสำหรับผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน สามารถใช้เป็นพิธีแห่งการละทิ้งความสามารถในการมีบุตร เพื่อเข้าสู่ช่วงชีวิตแห่งการแสวงหาด้านในและการให้กำเนิดทางปัญญา หรือวาระอื่นๆที่ช่วยสร้างหมายเหตุที่สำคัญๆไว้ โดยย้ำเตือนถึงการแปรเปลี่ยนแต่ละครั้งที่มีความหมายต่อตนเอง
ดังนั้น นิเวศภาวนา เป็นกรรมพิธีที่สร้างโอกาสในการที่เราจะสร้างหลักหมาย หรือหมายเหตุให้กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต
หลายคนใช้เป็นโอกาสในการใคร่ครวญและยอมรับความทุกข์ยาก ความไม่สมบูรณ์ หรือความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในอดีต หรือยอมรับการจากไปของคนรัก เช่น ความตาย เป็นต้น การยอมรับตัวเองและชีวิตอย่างที่เป็นมาสามารถสร้างพลังให้กับชีวิตได้อย่างมหาศาลทีเดียว
นอกจากนี้ยังเป็นการฟื้นคืนพลังชีวิต ที่ผุดออกมาจากความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างเรากับจิตอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ผืนแผ่นดิน และจักรวาล หากเราต้องการแสวงหาความเข้าใจอันลึกซึ้งลงไปในการดำรงชีวิตอยู่ ญาณทัศนะ ทิศทางชีวิตจากธรรมชาติ นี่ก็จะเป็นโอกาสที่เหมาะสมทีเดียว และความงอกงามที่เกิดขึ้นจากการภาวนายังสามารถอุทิศให้กับชีวิตอื่นๆ อีกด้วย
ธีโอดอร์ โรสแสก (Theodore Roszak)นักเนิศปรัชญาได้กล่าวไว้ ในหนังสือ The Voice of the Earth, 1992. ว่า
“ณ กาลครั้งหนึ่ง จิตวิทยาทุกแขนงมีความเป็นจิตวิทยาเชิงนิเวศ หลายคนที่แสวงหาแนวทางของการเยียวยาทางจิตอาจละเลยความจริงที่ว่า มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งธรรมชาติที่ประกอบไปด้วยสัตว์ พืช แร่ธาตุและพลังทั้งหลายที่เรามองไม่เห็นในจักรวาล ในขณะที่ศาสตร์ทางการแพทย์ในอดีตมีความเป็น “องค์รวม” ที่ใส่ใจกับการเยียวยาร่างกาย ความคิดและจิตใจไปพร้อมๆกัน และไม่จำต้องระบุไว้ด้วยซ้ำว่าเป็นองค์รวม จิตบำบัดก็ได้รับความเข้าใจว่าเป็นกระบวนการที่เชื่อมโยงกับจักรวาลทั้งหมดเช่นกัน จะมีก็แต่จิตเวชศาสต์แบบตะวันตกยุคใหม่นี้ที่ได้แยก ชีวิต “ด้านใน” จากชีวิตหรือโลก “ด้านนอก” ราวกับว่าอะไรก็ตามที่ดำรงอยู่ภายในตัวเราไม่ได้ดำรงอยู่ในจักรวาลที่ถือว่าเป็นอะไรที่จริงแท้ มีความเป็นเหตุและผลสืบกัน และไม่สามารถออกจากการศึกษาโลกธรรมชาติของเราได้”
สนใจเดินทางร่วมกัน ติดต่อ
ณัฐฬส วังวิญญู
สถาบันขวัญแผ่นดิน, เชียงราย
ค่าลงทะเบียน ๔,๙๐๐ บาทต่อคน
Email: Nutt2000@loxinfo.co.th
Tel. 089-755-7812
สำหรับคนที่ตกลงใจที่จะเดินทางร่วมกัน ผมอยากให้เรามีเวลาใคร่ครวญดูว่า วาระปัจจุบันของชีวิตพวกเราแต่ละคนคืออะไร อะไรที่เราอยากสร้างหมายเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงไว้ ในการรับรู้และความความกรุณาของชุมชนปกาเกอญอธรรมชาติ สายน้ำและขุนเขาอันศักดิ์สิทธิ์ ในการเดินทางครั้งนี้ เราจะละทิ้งความสะดวกสบายของชีวิตเมืองมาด้วยความตั้งใจอะไร? เป็นการเตรียมใจที่มีความหมาย
เตรียมกาย
การเดินทางครั้งนี้ไม่ได้ต้องการให้มาทดสอบทางกาย อย่างไรก็ตาม การเตรียมความแข็งแรงของร่างกายเพื่อให้ได้เดินในธรรมชาติ ขึ้นเขาลงห้วย ไว้สักเล็กน้อยก็จะดีครับ ที่แน่ๆขอให้เตรียมกายมามอมแมม คลุกเคล้าลมเหนือ ฝุ่นดินหอม กลิ่นเหงื่อกายา หริ่งหรีดรติกาล แสงดาวกล่อมนิทรา
เตรียมเรื่องราว
ชาวสบลานชอบนิทานมากกว่าของฝาก เพราะจดจำบอกเล่าสืบต่อได้ไม่จบสิ้น ดังนั้นขอให้พวกเราเตรียมนิทานมาฝากเด็กและพ่อเฒ่าแม่แก่ด้วย
เตรียมสิ่งของ
อะไรบ้างที่จะเดินทางร่วมกับเรา อยู่บนหลังเรา ล้วนมีความหมายและสะท้อนความเป็นเราทั้งสิ้น สิ่งของถือเป็นภาพสะท้อนตัวเราได้อย่างดี เฝ้าดูตัวเองเวลาตระเตรียมสิ่งของไว้ด้วยนะครับ (สังเกตแนวโน้มแบบต่างๆ เช่น เผื่อเหลือเผื่อขาด เยอะๆไว้ก่อน หรือ เอาไปน้อยชิ้นไว้ก่อน) ต่อไปนี้คือข้อเสนอแนะสำหรับการเตรียมสิ่งของ
o เสื้อผ้า อากาศโดยทั่วไป กลางวันร้อน กลางคืนเย็น เตรียมรับมือกับลมหนาวแบบฉับพลัน ถุงเท้า ถุงมือ หมวกอุ่นที่สวมปิดหูได้ ผ้าพันคอช่วยได้เยอะเลย ไม่ต้องเตรียมชุดมาใส่ครบวันครบสีนะครับ มันจะหนักมาก พอถึงเวลาจริงๆ หลายคนใช้เพียงไม่กี่ชุดเอง อะไรที่ใส่สบาย และซ้อนได้หลายชั้นหลายชิ้นเวลาอากาศหนาวก็ดี วันสุดท้ายมีการรับขวัญและเฉลิมฉลอง บางคนอาจอยากเตรียมชุดสวยหรือชุดหล่อสะอาดสะอ้านไว้
o ผ้าเช็ดตัว และชุดอาบน้ำ อาบน้ำได้ทั้งห้องน้ำและลำธาร แต่อาบลำธารได้บรรยากาศกว่าเยอะเลย ดังนั้นชายหญิงทั้งหลายเตรียมชุดเล่นน้ำหรืออาบน้ำไว้ด้วยจ้ะ
o เป้ เราต้องเดินทางเอง แบกเป้เอง ควรหาเป้ขนาดที่เหมาะกับเรา เป้ที่ดีควรมีเข็มขัดรัดเอวเพื่อให้น้ำหนักของสัมภาระไปตกที่สะโพกมากกว่าไหล่และหลังของเรา ดังนั้นควรมีขนาดเหมาะกับเรา ใครอยากได้เป้ดีราคาไม่แพง ขอแนะนำเป้มือสองแถวถนนข้าวสารหรือหลังวัดชนะสงครามเด้อ
o กระติกน้ำ อย่างน้อยน่าจะจุได้สัก ๑ ลิตร เวลาเดินป่าหรือออกวิเวกจะได้มีน้ำดื่มเพียงพอ
o ธูป เทียนไข ไฟฉาย ไฟแช้ค
o แก้วน้ำทนความร้อน (เผื่อชงชากินกัน) ช้อนส้อม ชามใส่ข้าวและน้ำซุปได้ด้วย มีดพกเผื่อใช้ปอกผลไม้
o เข็มเย็บผ้า และด้าย เมื่อปะชุนเสื้อผ้าขาด หรือใช้บ่งเสี้ยนหนามออก อย่าดูถูกเสี้ยนปักแม้น้อยนิดเป็นอันขาด แม้ดูเล็กแต่ทรมานนัก จะบอกให้
o ผ้ายางรองนั่งหรือปูนอน
o เต้นท์ เบาะรองนอน(ไม่ต้องหนามาก) ผ้าปูกันชื้น แผ่นผ้ากันน้ำค้าง(Fly sheet) หมอนเป่าลมได้ (หมอนข้างไม่ต้องมั้ง)
o ถุงนอน คุณภาพปานกลางเตรียมรับมือลมหนาว ไม่ควรบางเกินไป หากเป็นอย่างดีน้ำหนักเบาแต่อบอุ่นพอ
o อุปกรณ์ดนตรีที่ชอบเล่น หรืออยากลองเล่น เราจะมีช่วงที่ใช้เสียงเพลงขับกล่อมชีวิตแห่งชนเผ่า
o สบู่ แชมพู แปรงฟัน ยาสีฟัน
o ยาประจำตัว และแก้แพ้ต่างๆ รวมทั้งยากันยุ่งหรือแมลง ยาหม่อง ครีมกันแดด
o ถุงพลาสติกใส่ขยะส่วนตัว ขยะที่ไม่ย่อยสลายที่เราพกติดตัวมาจากเมือง ก็ขอเอากลับเมืองด้วย ไม่ฝากไว้ให้เป็นภาระของป่าต้นน้ำ
o สมุดบันทึก ดินสอ ปากกา สี หรืออุปกรณ์ศิลปะที่อยากให้ติดตัวมาเป็นเพื่อน
o ภาพคนที่เรารักหรือผูกพัน สิ่งของแทนตัว ที่สำคัญหรือมีความหมายสำหรับเรา หรือเป็นเครื่องระลึกถึงคนที่เรารัก บรรพชนของเรา หรือลูกหลานพ่อแม่ของเรา
o หนังสือ กวี คู่มือสวดมนต์ ไม่สนับสนุนการอ่านหนังสือมาก เพราะอยากให้มีเวลาอยู่กับหนังสือธรรมชาติมากกว่า แต่หากเป็นส่วนหนึ่งของการทำพิธีกรรม อาจช่วยเติมความหมายให้นิเวศภาวนามากขึ้น อาจเป็นกวีหรือโศลก หรืออะไรที่จะช่วยให้เราได้อยู่กับปัจจุบันและความงามมากขึ้น มากกว่าการหนีหลบไปอยู่กับการอ่าน
o รองเท้า ลุยน้ำได้ เดินป่าก็ได้ ไม่ใหม่เอี่ยมจนกัดเท้า บางคนใส่ผ้าใบที่ช่วยห้มส้น แล้วพกฟองน้ำเบามาด้วยอีกคู่ก็ได้ เวลาอยู่หมู่บ้านถอดขึ้นลงบ้านบ่อย
o นาฬิกา อาจต้องมีการนัดหมายกันเป็นช่วงๆนะครับ