อาศรมชาลิกา (Shaliga Ashram)
(เรื่องราวนี้เขียนไว้นานแล้ว ประมาณปี 1999 ลองเอามาแบ่งปันกันอ่านดู)
อย่างที่ว่ากันว่า เมื่อสุนัขจนตรอก ก็ย่อมกัดไม่เลือกหน้าเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองอย่างสุดกำลัง ได้ฟังเรื่องราวของพี่ชายคนหนึ่งชื่อ “ตู่” ก็อดคิดไม่ได้ว่าชีวิตของแกก็ไม่ต่างไปจากการต่อสู้แบบหมาจนตรอกเท่าไรนัก เป็นชีวิตที่ไม่เคยก้มหัวให้กับใคร และนี่ก็มีผลให้พี่อู๊ด เจ้าของร้านชาลิกา ไม่ค่อยชอบขี้หน้าแกเท่าไหร่นัก เพราะบ่อยครั้งที่พี่ตู่พูดไม่เข้าหูแก ชนิดที่ขี้หูกระฉอกเพราะรับฟังไม่ได้เอาเลยทีเดียว แถมยังแสดงออกทางสีหน้าและคำพูดอยู่บ่อยๆ คู่นี้เป็นเหมือนไม้เบื่อไม้เมา
พี่อู๊ดมักตัดสินอะไรอย่างตามอำเภอใจอย่างเอาแต่ได้ แม่งข้าวหนึ่งทัพพีก็ยังจะแดกเงินจากแขกตั้ง หนึ่งเหรียญ คนสั่งอาหารไม่ครบราคา ๑๐ เหรียญก็มองเขาอย่างเป็นสถุลหรือขยะสังคม แต่ก็อ้างโน่นอ้างนี่งูงู ปลาปลา หวังตักตวงกำไรให้มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แขกหลายคนมาครั้งเดียวแล้วก็คงไม่มาอีกเลย
บ่อยครั้งที่แกมักหลอกตัวเองว่าร้านชาลิกาที่ลูกค้าประจำเยอะ แขกบางคนยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไม่เคยมากินอาหารที่ร้านนี้เลย เพราะอยู่ต่างฟากทวีป และนี่เป็นครั้งแรกของเขา พี่อู๊ดก็ยังดื้อดึงยืนยันอยู่นั่นแหล่ะว่าจำหน้าได้ว่าเคยมา เป็นการกุเรื่องให้ทะเลทรายกลายเป็นมหาสมุทร หากคนเราหลอกตัวเองได้ถึงเพียงนี้ ก็ไม่ต้องห่วงมาจะสามารถปลิ้นปล้อนหลอกลวงคนอื่นได้มากขนาดไหน
นี่คงเป็นอีกตัวอย่างของการพยายามถือครองเอาความเชื่อชุดหนึ่งว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะเป็นสิ่งที่ให้ความรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยของอัตตา ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องเปลี่ยนจากที่เป็นอยู่ I am okay, and nothing is wrong with me!
ผมเองอาศัยทนได้มากกว่าพี่ตู่หน่อย เลยรอดสายตาอีแร้งคอยถลกหนังหัวไปได้ไปเป็นวันๆ
จะว่าไปแล้วเราการที่ต้องมาทำใจอดทนกับความบัดซบนี่มันทำให้ชีวิตดูเลวระยำจริงๆ การที่ต้องมาเป็นผู้ตามรับใช้เป็นข้าทาสคนที่ไร้ซึ่งความเป็นผู้นำและความเป็นมนุษย์ (ฟังดูแรงไปหน่อย แต่ไม่อยากแก้ครับ) นี่มันก็ไม่ต่างกับการเยี่ยวรดกางเกงตัวเอง… เหม็นและขำไม่ออก เป็นความงี่เง่าหรือความสมยอมหรืออะไรก็แล้วแต่ ที่แน่ๆ…ขำไม่ออก
แต่ก็ไม่ถึงขนาดขมขื่นหรอกครับ เพราะอย่างน้อยก็มีเรื่องสนุกๆเขียนไปเล่าให้พ่ออ่านเล่นยามเกษียร ถ้าพ่อรวบรวมไว้เรื่อยๆ สักวันอาจพิมพ์เป็นพอกเก็ตบุ๊คได้จนรวยเละ…
ยิ่งวันพฤหัสที่ผ่านมา เราทำตัวเลขยอดขายได้สูงทีเดียว เป็นวันที่ได้ค่าทิปดีที่สุดเท่าที่ผมเคยทำมา คือ ๑๒๕เหรียญ (ยังไม่รวมค่าแรงอีก ๒๐ เหรียญ) แม้เหนื่อยมาก แต่ก็ต้องถือว่าคุ้ม ที่เหนื่อยเพราะต้องทำกับคนที่พึ่งเข้ามาใหม่ พอเป็นงานบ้าง แต่ก็ยังไม่เข้าขากันเหมือนทำกับพี่ตู่ ผมเองก็ต้องทำหน้าที่นำเสนอขายลูกเดียว โดยเฉพาะอาหารจานพิเศษราคาสูง เช่น ปูอ่อนพะแนง (Panang Soft Shell Crab) หรือ Shrimp Avocado หรือ พระรามลงสรง (Chicken Rama) เป็นต้น ก็สนุด เจ้าเปโตรที่เป็นRunnerอาหารชาวเม็กซิกันก็พลอยดีใจไปด้วย
พี่ตู่เคยออกความเห็นว่า “ณัฐ..นายน่ะ เป็นคนมีความสามารถ ตั้งหลายอย่าง โดยเฉพาะการผูกมิตรกับผู้คนและภาษา แถมยังรู้เรื่องเยอะเกี่ยวกับชีวิต เมื่อเทียบกับคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่น่ามาทำงานแค่เสริพอาหาร”
“ก็ผมมันนิสัยเสียตรงที่ไม่ค่อยกระตือรือล้นดิ้นรนหางานดีๆทำ รอให้สวรรค์บันดานแล้วงานดีดีอย่างว่าคงจะหล่นตุบลงมากองอยู่หน้าตัก” ผมตอบ
นี่ก็เป็นนิสัยที่ทำให้เอมี่หงุดหงิดประจำ แต่เขาก็เริ่มจะเข้าใจแล้ว เราเป็นเหมือนสัตว์จำพวกเสือ ใช้เวลาส่วยใหญ่ในการพักผ่อน จะกระตือรือล้นก็ต่อเมื่อหิวจริงๆเท่านั้น ช่วยไม่ได้ อยากถูกเลี้ยงมาสบาย หากชีวิตได้ลำบากบ้างก็คงจะเปลี่ยนบ้าง แต่ก็ไม่ควรจะมีใครมาคาดหวังกับเรานัก
จริงๆแล้วการกลับไปทำงานที่ชาลิกานี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ลำบากใจอยู่ไม่น้อย มันขัดกับหลักการภายในมาก แต่ก็ถือเอาเป็นการฝึกจิตไปเสีย คิดเสียว่านี่เป็นเรื่องท้าทายกว่าการอยู่ในชุมชนที่แวดล้อมไปด้วยคนที่มีระบบคุณค่าและการมองโลกคล้ายๆกัน อย่างเช่นที่อาศรมเป็นต้น
3 comments:
โอ้วว
เผลอไผลปักใจไปแล้วว่า blog นี้คงจะไม่มี post ใหม่เป็นแน่ ที่ไหนได้ ...
:-)
เพิ่งรู้ว่าณัฐมีเว็บบล็อกด้วย
หลงเข้ามาดู
เขียนได้ดีมาก
ไม่เคยคิดว่าณัฐจะใช้ภาษาได้แรงขนาดนั้น
ขอบคุณสำหรับบทความนะค่ะ
Post a Comment