Saturday, July 21

คบหาบูชาพระเจ้า (ฟรี)

คบหาบูชาพระเจ้า (ฟรี)



เมื่อวานได้มีโอกาสได้ไปกินอาหารมื้อเย็นร่วมกับอาจารย์สดใส อาสมพล น้องเกด อาใหญ่ ยิ่ง อ้อ ในวาระของการรวมตัวกันของคนที่มีความหมายกับชีวิตอาอู๊ดมากที่สุด แม้จะมากันไม่ครบหน้า แต่ก็มีคุณค่าแก่การจดจำ ต้องขอขอบคุณอาอู๊ดอีกครั้งหนึ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงให้มีโอกาสเช่นนี้ ยิ่งเองก็ได้เล่นดนตรีให้อาจารย์ได้ฟังอย่างลึกซึ้งไพเราะเพราะพริ้งสุดๆ

ได้ฟังเรื่องราวชีวิตของอาจารย์สดใสทำให้เห็นแง่มุมต่างๆมากมายที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นการที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างไข่ในหิน จะไปไหนคุณแม่ของอาจารย์ก็ต้องคอยเป็นห่วงเพื่อให้แน่ใจว่าจะปลอดภัย เพราะความรักและต้องการทนุถนอม แม้จะทำให้มีผลตามมาหลายอย่าง เช่นทำนั่นทำนี่ไม่เป็น แต่อาจารย์ก็ได้พัฒนาโลกภายในที่มั่งคั่งไปด้วยสัมพันธภาพกับเสียงภายใน สมาธิแบบธรรมชาติ พระผู้เป็นเจ้า และโลกของจินตนาการ จนการละครของอาจารย์ก็ดูจะเป็นชีวิตและจิตใจหรือลมหายใจของอาจารย์แบบไม่ทำไม่ได้ต้องตายแน่ๆ ถือเป็นพื้นที่แห่งอิสรภาพที่อาจารย์มีได้เองโดยไม่ต้องไปไหน

อาจารย์ยังบอกเล่าเรื่องราวของชีวิตพุทธคริสตร์ของอาจารย์ที่เรียนโรงเรียนคาทอลิกมาโดยตลอดและได้ซึมซับแนวทางการรับใช้ผู้คนและความรักให้กับผู้คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของอาจารย์ โดยอาจารย์มองตัวเองว่าเป็นผู้รับใช้ ไม่ว่าจะเป็นสามี ลูก ลูกศิษย์ หรือแม้แต่ลูกจ้าง และไม่ได้คิดว่าตัวเองนั้นเก่งกว่า ฉลาดกว่า เหนือกว่าใครต่อใคร อาจารย์บอกว่าตัวเองยอมโง่ และไม่ต้องเป็นใคร (Does not have to be somebody) ทั้งๆที่อาจารย์ได้รับการยอมรับในสายการละครและสาธารณชนว่าเป็นผู้ที่มีความเป็นครูและความรู้ในด้านนี้อย่างลุ่มลึก มีผลงานการแสดงและการแต่งละครที่ได้รับรางวัลดีเด่นทั้งในประเทศและต่างประเทศมากมาย ผมชอบใจที่อาจารย์บอกว่า เราไม่จำเป็นต้องเป็นใคร เพราะดูเหมือนว่าจะทำให้ชีวิตเราเบาขึ้น

ที่น่าสนใจอีกเรื่องคือความสัมพันธ์กับพระเจ้า แม้นับถือศาสนาพุทธและศึกษางานของท่านพุทธทาสอย่างถือปฏิบัติไปในแนวตัวกูของกูไม่มี แต่เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ถึงความเป็นความตายของสามีตัวเองที่ป่วยเป็นมะเร็งปอด ที่แพทย์บอกว่าจะอยู่ต่อไปได้ไม่ถึงเดือน อาจารย์เองก็สวดอ้อนวอนให้พระเจ้าได้ช่วยมาดูแล ผลจากการภาวนาคืออยู่ต่ออย่างมีความสุขถึง ๓ ปี ผมคิดว่านี่เป็นพลังแห่งความรักและความกรุณาที่อาจารย์มี ไม่เฉพาะต่อสามีตัวเอง แต่ต่อพระเจ้า ที่อาจารย์บอกว่าจะเรียกว่าธรรมชาติหรือจักรวาลก็ได้ เมื่ออาจารย์สามารถลดตัวเองลง ศิโรราบให้กับพลังแห่งการเยียวยาของจักรวาล ธรรมชาติ ในนาม พระผู้เป็นเจ้า พลังแห่งการเยียวยาก็บังเกิด

อาจารย์เป็นคนฐานใจ ให้คุณค่ากับความสัมพันธ์ด้วยหัวใจ แต่พุทธศาสนานับตั้งแต่สมเด็จวชิรญาณวโรรสได้ปฏิรูปแนวคิดและการเรียนรู้ในพุทธศาสนากลับทำให้มิติของความสัมพันธ์กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นลดลงไปมาก เพราะไม่ต้องการให้เกิดการเคารพบูชาเทพเทพีโดยขาดการปฏิบัติภาวนาในแนวทางของพระพุทธเจ้าที่ชวนให้กลับมาดูตัวเองจนเห็นแจ้งแจ่มกระจ่างว่าอัตตาตัวตนของเรานั้นมันผุดบังเกิดอย่างไร แม้แต่ท่านพุทธทาสเองก็เห็นว่าการสวดอ้อนวอนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายนั้นไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อการพ้นทุกข์แต่เพื่อตัวเอง

ผมเห็นด้วยว่าต้องระมัดระวังความงมงายและหลงผิดว่า แต่ทำอย่างไรมันจะพอดี

ทุกวันนี้คนต้องการเพื่อนทางจิตวิญญาณ เมื่อคนทั่วไปเป็นเพื่อนแบบนั้นไม่ได้ เมื่อพุทธเป็นพุทธแบบวัตถุ คือสัมพันธ์กันผ่านการให้วัตถุทาน ผู้คนก็อาจรู้สึกเงียบเหงา ต้องการเกาะแก่งหรือที่พักพิงทางจิตใจ แสดงหาบุคลาธิฐานมากมาย รวมทั้งดารานางแบบก็อาจมาเป็นบุคลาธิฐานให้กับวัยุรุ่น จากนั้นพอชีวิตล่วงเข้าสู่วัยกลางคน ดาราอาจมีพลังให้พึ่งพิงไม่พอ ก็ต้องการหาดาราทางจิตมายึดถือไว้ ไม่ว่าจะเป็นหลวงปู่หลวงตารุ่นต่างๆ รูปบูชา หรือเทวบูชาเหล่านี้เป็นสิ่งธรรมดาสามัญที่เกิดขึ้นเมื่อพุทธแบบเถรวาทไทยปฏิเสธความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพระเจ้า
ในขณะที่ความเป็นหยางนั้นให้ค่าแก่ความเป็นตัวของตัวเอง ไม่ขึ้นต่อใคร พึ่งตัวเอง ช่วยเหลือผู้อื่น เป็นที่พึ่งได้ การให้ (Agent) ความภาคภูมิใจในตัวเอง

ในศาสตร์แม่มดจะเห็นได้ชัดว่า สัมพันธภาพที่ผูกพันเป็นวิถีแห่งหยินหรืออิตถีทำให้เกิดพลัง เมื่อเราสามารถรักอะไรบางอย่างจนหมดหัวใจ จนแทบเอาชีวิตเข้าแลกได้ (เหมือนในศาสนาอิสลาม) ความรักในพระเจ้านั้นคือทั้งหมดของชีวิต เช่นเดียวกับที่ศากยมุนีตรัสว่ากัลยาณมิตรเป็นทั้งหมดแห่งพรหมจรรย์นั่นเอง มันมีความหมายมากกว่าเพียงการ “มี”เพื่อนไว้ประดับการเรียนรู้ หรือมีไว้ให้ปลอดภัยเท่านั้น ผมคิดว่ามันหมายถึงการดำรงอยู่ในกันและกัน เพื่อกันและกัน ด้วยหัวใจทั้งหมด ดำรงในความเปราะบาง ขอร้องกันได้ อ้อนวอนกันได้ อย่างไม่ต้องรู้สึกเสียหน้า หรือกลัวความเจ็บปวดหรือสูญเสีย

เพลงรักทั้งหลาย ทั้งเก่าใหม่ ก็มีข้อความเหล่านี้ทั้งนั้น เช่น รักเธอจนหมดหัวใจ เป็นต้น เพียงแต่ว่ามันถูกให้ความหมายแบบแคบๆ แต่ผมรู้สึกว่าจิตมนุษย์โหยหาสัมพันธภาพเช่นนี้โดยธรรมชาติ ยิ่งสังคมมีความเป็นวัตถุนิยมบริโภคนิยมอย่างรุนแรง และตัดสินผู้คนตามที่สิ่งที่มีมากกว่าสิ่งที่เป็นและที่กระทำ ก็ยิ่งทำให้ความอยากกระหายและความโหยหารุนแรงไปตามๆกัน เราจะไม่ด่วนตัดสินอาการเหล่านี้อย่างไร และเปิดใจมองให้เห็นแบบแผนทางจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคนอย่างเห็นคุณค่า ดังคำพูดของกวีซูฟีผู้หนึ่งกล่าวว่า

People look for a sense of belonging, intimate, safe and faithful relationship where they can be so vulnerable and empty of pride that their ego has no place to exist. We are not alone.

แนวคิดในการปฏิบัติธรรมแบบวิปัสสนากรรมฐานในบ้านเรา ก็มองอะไรเป็นธรรมชาติไปเสียหมดและปฏิเสธการเอาตัวเองไปพัวพัน หรือให้ความหมายอะไรที่มากไปกว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ถือว่าฟุ้งซ่าน หรือเป็นเรื่องการยึดติดไปเสียหมด โดยอาจไม่มองอีกด้านหนี่งของสัมพันธภาพนี้ว่ามีความตระหนักรู้ถึงการดำรงร่วมเป็นเหตุปัจจัยกันอย่างแนบแน่น

จักรวาลวิทยาแบบกระบวนทัศน์เก่าทำให้ทุกอย่างเป็นวัตถุ กลไก และเงียบเหงา จักรวาลวิทยาแบบพุทธเถรวาทยุคหลังสมัยใหม่นี้เล่าจะทำให้ดวงดาวและแดนดินถิ่นเทวาทั้งหลายกลับมามีชีวิตและสนทนาไปกับเราอย่างสุนทรีได้อีกครั้งหรือไม่

อาจารย์สดใสบอกว่าการกลับมาอธิฐานถึงพระเจ้าอีกครั้งเมื่อตอนทีสามีป่วยหนักนั้น แม้จะรู้สึกผิดกับท่านพุทธทาสแต่ก็บอกตัวเองในใจว่า แหมก็พระเจ้าไม่ต้องซื้อหา มีให้ฟรีแล้วจะไม่ให้คิดถึงได้อย่างไร

So...Why not!?!

ขอบคุณเรื่องเล่าของอาจารย์ครับ

Sunday, July 15

เจ็ดขวบปี สุนทรียสนทนา
ปลอดภัย เปราะบาง เปลี่ยนแปลง

คอลัมน์ จิตวิวัฒน์ นสพ.มติชน วันที่ ๑๔ ก.ค. ๒๕๕๐

เมื่อปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สถาบันขวัญเมืองได้รับโอกาสให้ไปนำเสนอเรื่องราวการทำงานผ่านสุนทรียสนทนาในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาในวงสนทนาประจำเดือนของกลุ่มจิตวิวัฒน์

ทำให้พวกเรา มี อาจารย์วิศิษฐ์ วังวิญญู นพ.วิธาน ฐานะวุฒฑ์ และผู้เขียน ได้ใคร่ครวญร่วมกันในหลายแง่มุม

โดยในที่นี้ จะขอเสนอแง่มุมของตนเองในฐานะที่เป็นกระบวนการสุนทรียสนทนา

หากมองย้อนกลับไปในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา พวกเราได้พัฒนางานสุนทรียสนทนาขึ้นมาอย่างเข้มข้นและใส่ใจในรายละเอียดต่างๆ เปรียบได้กับคนสวนที่ใส่ใจกับเหตุปัจจัยที่จะทำให้ต้นไม้และสวนเติบโต พวกเราช่วยกันเฝ้ามองว่ามีเหตุปัจจัยอะไรบ้างที่จะช่วยหล่อเลี้ยงให้จิตวิญญาณของเราเองและเพื่อนมนุษย์ในสังคมงอกงามไปพร้อมๆ กันในยุคสมัยที่ท้าทายเช่นนี้

จริงๆ แล้วก่อนหน้าที่จะมาสนใจงานของ เดวิด โบห์ม สนใจกระบวนการเรียนรู้แนวชนเผ่าพื้นเมืองและแนวสันติวิธีในสำนักต่างๆ ที่มีมิติความศักดิ์สิทธิ์และจิตวิญญาณ เพราะในวิถีของชนเผ่าบางเผ่าในอเมริกาเหนือ การนั่งล้อมวงฟังเสียงของกันและกันอย่างใส่ใจนั้น เปรียบเสมือนการรับฟังเสียงของบรรพบุรุษและเสียงของแผ่นดินแม่ที่มีชีวิต เรียกได้ว่าเป็น สภาแผ่นดิน (Earth Council) ที่สติปัญญาของมนุษย์นั้นไม่ได้มาจากเพียงการนั่งคิดร่วมกัน แต่มาจากการเปิดโอกาสให้กับญาณทัศนะที่ดำรงอยู่ในข่ายใยแห่งชีวิตอันยิ่งใหญ่ไม่มีประมาณ

แม้ชาวคริสตชนเควกเกอร์ (Quaker) ที่เชื่อเรื่องสันติวิธีหรือความไม่รุนแรงและความเสมอภาค ก็มีวิธีการเข้าโบสถ์ที่ต่างจากจารีตอื่นๆ กล่าวคือ จะนั่งรวมกันในความเงียบ ฟังเสียงของความเงียบ แล้วหากมีความรู้สึกนึกคิดอันใดที่ผ่านเข้ามาในใจและอยากจะบอกกล่าว ก็ให้ลุกขึ้นพูด เมื่อพูดจบก็นั่งลง แล้วความเงียบก็กลับคืนสู่โบสถ์อีกครั้งหนึ่ง คล้ายๆ กับการรอเสียงพระเจ้าหรือจิตใหญ่ที่จะพูดผ่านเราในภาษามนุษย์นั่นเอง

มาภายหลัง เมื่อพวกเราได้นำเอางานของ เดวิด โบห์ม มาศึกษา ก็เห็นว่าปฏิบัติการทางความคิดและการสื่อสารนั้นมีความสำคัญยิ่งต่อวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์ ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ

ดังที่ นพ.โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ ได้กล่าวว่า ทุกวันนี้ หากเทียบกันแล้ว ปฏิสัมพันธ์ที่ผู้คนมีต่อกันส่วนใหญ่คือการสนทนา คือวจีกรรม จะทุกข์หรือสุขก็ขึ้นอยู่กับการสื่อสารและสนทนากัน การทำงานหรือบริหารงานส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่ต้องผ่านการประชุม เพื่อนำไปสู่ปฏิบัติการร่วมกันอย่างเป็นทีม หากคุยกันไม่เป็นทีมแล้วจะหวังถึงการทำงานเป็นทีมอย่างมีพลังนั้นเห็นจะยาก

ส่วนกายกรรมนั้นก็เป็นไปในเรื่องการงานเสียมากกว่า เพราะเราก็ไม่ได้ทำร้ายกันทางกายสักเท่าไร ส่วนใหญ่จะเป็นทางคำพูดและความคิด (มโนกรรม) จะอยู่ร่วมอย่างแบ่งแยกหรือบรรสานนั้นล้วนผ่านสองทางดังกล่าวเป็นหลัก

การทำงานกับสุนทรียสนทนา (Dialogue) ชวนให้เรากลับมาดูว่า เราพูดคุยกันอย่างไร ไม่เพียงแต่ใส่ใจว่าเราคุยกันเรื่องอะไร หรือมีข้อสรุปอย่างไร สาระเชิงกระบวนการที่สำคัญ ที่ทางสถาบันขวัญเมืองได้พัฒนาขึ้นมาเป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปงอย่างเป็นสมุหภาพนั้น คือ สภาวะ 3 ป. คือ ปลอดภัย เปราะบาง เปลี่ยนแปลง

ความปลอดภัย เป็นความต้องการพื้นฐานของชีวิต มนุษย์ต้องการมากกว่าความปลอดภัยทางกาย เราอาจอยู่รอดได้ ไม่มีภัยคุกคามทางกาย (โดยเฉพาะในองค์กรทั่วไป) แต่อาจไม่ปลอดภัยทางใจ นั่นคือยังอาจเกรงกลัวการถูกทำให้ด้อยค่า เสียหน้า อับอาย หรือถูกพิพากษาให้เป็นสิ่งต่างๆ ที่ตนไม่ได้เป็น การเรียนรู้จะเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติได้เมื่อผู้คนรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยนี้

ในการจัดการความรู้แบบสถาบันขวัญเมืองนั้นจำต้องดูแลความลดหลั่นทางสังคม (Social Hierarchy) ที่มีแนวโน้มกดทับมากกว่าเกื้อหนุนการเรียนรู้ โดยพยายามสนับสนุนให้ผู้เรียนเกิดความรู้สึกถึงคุณค่าในตัวเอง มีความมั่นใจ วางใจ และเชื่อมั่น ซึ่งถือเป็นประตูบานแรกในการก้าวผ่าน โดยเฉพาะคนเล็กคนน้อยที่มีปัญญาเชิงปฏิบัติสั่งสมอยู่ในตัวแต่ไม่กล้าแสดงออก

ในแง่หนึ่งนี่เป็นความพยายามถอดถอนสิ่งที่ผู้คนเรียนรู้มาอย่างผิดๆ จากอดีต เช่น ความรู้สึกกลัวการถูกลงโทษ หรือให้คะแนนติดลบ หรือถูกเปรียบเทียบ และการแข่งขันแบบเอาตัวเองรอดและไร้ความกรุณา ซึ่งเป็นอุปสรรคขวางกั้นการเรียนรู้อย่างเป็นธรรมชาติของมนุษย์

เมื่อเกิดความปลอดภัยและเชื่อมั่นแล้ว สุนทรียสนทนายังช่วยหล่อเลี้ยงให้เกิดความใกล้ชิดสนิทสนม ไปจนถึงความผูกพัน เสริมแรงบวกของสมองชั้นกลางของมนุษย์ที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความรู้สึกและสัมพันธภาพแล้ว สมองชั้นนอกก็จะเปิดกว้าง สร้างสรรค์ เกิดนวัตกรรมการเรียนรู้มากมายในพื้นที่หรือวัฒนธรรมกลุ่มที่ปลอดภัย

และเมื่อพูดถึงความรู้ เรามักคิดว่าเป็นสิ่งที่แยกออกจากความสัมพันธ์ เป็น "สิ่ง"ที่ดำรงอยู่อย่างเป็นเอกเทศ เช่น อยู่ในตำรับตำราหรืออยู่ในผู้คนที่เราจะสามารถดึงออกมาใช้งานได้ แต่ในสมมติฐานที่ว่า สรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงและเป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน ความรู้ก็มีเงื่อนไขการดำรงอยู่ไม่ต่างกัน คือเป็นไปตามเหตุปัจจัยของความสัมพันธ์ เราสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ อย่างไร จะส่งผลต่อมุมมองหรือความเข้าใจที่เรามีต่อสิ่งต่างๆ อย่างนั้น นอกจากนี้ สัมพันธภาพยังส่งผลต่อการแลกเปลี่ยนความรู้ของผู้คนในองค์กรหรือสังคมอีกด้วย

ความรู้อันเกิดมาแต่ความใกล้ชิดสนิทสนม (Intimate knowledge) ระหว่างคนในองค์กรเป็นสิ่งที่หาได้ยาก ท่ามกลางการแบ่งแยก ความลดหลั่น และช่องว่างทางสังคม ภายใต้โครงสร้างองค์กรแนวดิ่ง มีส่วนทำให้ผู้คนสัมพันธ์กันอย่างผิวเผิน ห่างเหิน โดยยึดเอากรอบคิดแบบระบบมาตรฐานและผู้เชี่ยวชาญนิยมเป็นสรณะ

ในภาวการณ์เช่นนี้ การที่จะสร้างสรรค์ให้บรรยากาศแห่งการเรียนรู้ได้ฟื้นคืนกลับมานั้นจึงต้องการสัมพันธภาพที่ดีเป็นสำคัญ ดังที่ มาการ์เร็ต วีทเล่ย์ ได้กล่าวว่า มนุษย์มักจะเลือกแบ่งปันความรู้แก่กันและกันในสัมพันธภาพที่ดี กล่าวโดยง่ายก็คือ เราเลือกคุยกับคนที่เราชอบหรือไว้วางใจนั่นเอง

เมื่อเราได้สัมพันธ์กับโลกอย่างใกล้ชิด เราจะได้เรียนรู้โลกทรรศน์หรือมุมมองและความเชื่อที่แตกต่างหลากหลาย และเมื่อความเชื่อเดิมที่เรายึดมั่นอย่างตายตัวมาตลอดถูกท้าทาย ก็จะส่งผลให้เกิด ภาวะเปราะบาง ที่อาจทำให้รู้สึกหมิ่นเหม่ ไม่มั่นใจ อึดอัด ปั่นป่วน โกลาหล ซึ่งถือเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นได้ก่อนการ แปรเปลี่ยน ด้านใน

ทั้งนี้การเรียนรู้ที่สำคัญจะเกิดขึ้นเมื่อเราสืบค้นเข้าไปในโลกภายในของเราเอง จนเห็นข้อจำกัด หรือจุดบอด หรือมุมมืดภายในที่เรามองไม่เห็นมาก่อนนั่นเอง

เราไม่สามารถบังคับหรือใช้อำนาจในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านในของผู้คนได้ แต่เราเชื้อเชิญและช่วยสร้างโอกาสเหล่านี้ได้ ดังนั้น ภารกิจหลักคือการโฮส (เป็นเจ้าภาพ) หรือดูแลพื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่ยอมรับความปลอดภัย เปราะบาง และเปลี่ยนแปลง โดยเจ้าภาพช่วยทำหน้าที่เชื้อเชิญให้ผู้คนได้มาหันหน้าเข้าหากัน เปิดใจเรียนรู้จากกันและกันด้วยความเคารพ ในขณะที่บรรยากาศหลักของสังคมปัจจุบันคือการแก่งแย่งแข่งขัน การสื่อสารเชิงลบที่กระตุ้นความวิตกกังวลและความกลัว พื้นที่ของสุนทรียสนทนาจึงเป็นเสมือนบ่อน้ำในทะเลทราย ที่นิ่งใส สงบเย็น ปลอดภัย ดังที่คำว่า HOST อาจขยายความได้เป็น Human Oasis for Spiritual Transformation หรือ แอ่งน้ำเพื่อความงอกงามแห่งจิตวิญญาณมนุษย์

โดยหากเราร่วมกันสร้างพื้นที่เหล่านี้ขึ้นมาในสังคม ให้เป็นที่ที่ผู้คนสามารถหันหน้าเข้าหากัน สื่อสารและสัมพันธ์กันได้อย่างแท้จริง ตามวาระเรื่องราวที่แต่ละคนถือว่า สำคัญอย่างแท้จริงในชีวิต รับฟังและใส่ใจในกันและกันได้อย่างเกื้อกูล อารยธรรมแห่งการเรียนรู้ผ่านการสนทนาของสังคมยุคใหม่ก็อาจได้รับการฟื้นฟูให้เกิดขึ้นได้ และไม่เป็นเพียงตำนานที่เราโหยหา หรือดำรงอยู่ในเพียงบางเสี้ยวส่วนของสังคมอีกต่อไป

การฟัง




การฟังเป็นการกระทำที่เรียบง่าย สิ่งที่เราต้องทำคือดำรงอยู่ในปัจจุบัน และมีความอดทน แต่เราไม่จำเป็นต้องทำอย่างอื่นอย่างใดอีก เราไม่ต้องให้คำปรึกษา หรือสอน หรือทำตัวเป็นผู้รู้ เราเพียงแต่ยินดีที่จะนั่งอยู่ที่นั่นและรับฟัง ถ้าเราทำได้เช่นนั้น เราจะสร้างสรรค์ห้วงเวลาที่เป็นการเยียวยาอย่างแท้จริงให้บังเกิดขึ้น

ฉันได้พบเห็นพลังการเยียวยาของการฟังที่ดีมาแล้วหลายครั้ง ดังนั้นจึงอยากรู้ว่าคุณเคยสังเกตเห็นเหมือนกันหรือไม่ มันอาจอยู่ในบางเวลาที่เพื่อนได้เล่าเรื่องที่เจ็บปวดจนคุณพูดอะไรไม่ออก คุณไม่สามารถคิดหาคำพูดอะไรได้เลย คุณจึงเพียงแต่นั่งฟังอย่างใกล้ชิด แต่ไม่พูดอะไรสักคำ และผลของการฟังอย่างเงียบงันด้วยหัวใจของคุณส่งผลอย่างไรบ้าง

หญิงสาวผิวดำชาวแอฟริกาใต้ได้ให้บทเรียนสำคัญของการฟังแก่เพื่อนของฉัน เธอนั่งอยู่ในวงของผู้หญิงจากชาติต่างๆและแต่ละคนมีโอกาสเล่าเรื่องของชีวิตตน เมื่อถึงรอบของหญิงสาวผู้นั้น เธอเริ่มเล่าด้วยเสียงเบาๆถึงเรื่องจริงอันโหดร้าย เป็นเรื่องที่ตัวเธอพบว่าปู่ย่าของตนถูกฆ่าตายในหมู่บ้าน หลายคนที่มาจากประเทศตะวันตกเมื่อพบเห็นความเจ็บปวดเช่นนั้น ต่างมีสัญชาตญาณที่จะทำอะไรบางอย่าง พวกเธออยากแก้ไขเพื่อให้มันดีขึ้น อะไรก็ได้ที่ทำให้ความเจ็บปวดจากโศกนาฏกรรมของชีวิตอันอ่อนเยาว์ผู้นี้บรรเทาลงได้ หญิงสาวผู้นั้นรับรู้ถึงความเห็นอกเห็นใจแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าคนอื่นๆเริ่มขยับใกล้เข้ามา เธอยกมือทั้งสองข้างขึ้น เหมือนกับจะผลักไสความปรารถนาที่อยากช่วยเหลือของผู้อื่น เธอพูดว่า “ฉันไม่ได้ต้องการให้พวกคุณแก้ไข ฉันเพียงอยากให้พวกคุณฟังเท่านั้น”

เธอได้สอนผู้หญิงหลายคนในวันนั้นว่าเพียงการฟังก็เพียงพอ ถ้าเราสามารถเล่าเรื่องราวและรู้ว่ามีคนรับฟัง เราก็ได้รับการเยียวยาแล้ว ระหว่างกระบวนการรับฟังของคณะกรรมการหาข้อเท็จจริงและสมานฉันท์ของประเทศแอฟริกาใต้ หลายคนได้ให้การถึงเหตุการณ์อันร้ายกาจที่พวกเขาประสบระหว่างระบอบเหยียดผิวปกครองอยู่กล่าวว่าพวกเขาได้รับการเยียวยาจากการให้การของตนเอง พวกเขารู้ว่ามีคนจำนวนมากกำลังฟังเรื่องราวของตนอยู่ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตาบอดจากการถูกตำรวจยิงเข้าที่ใบหน้าในระยะประชิดกล่าวว่า “ผมรู้สึกว่าสิ่งที่นำการมองเห็นกลับคืนมาคือการมาที่นี่และบอกเล่าเรื่องราว ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ทำให้ตัวเองป่วยอยู่ตลอดเวลาคือการไม่สามารถเล่าเรื่องนี้ให้กับใคร แต่ตอนนี้ดูเหมือนผมได้รับการมองเห็นกลับคืนมาจากการมาที่นี่และเล่าเรื่องราวให้พวกคุณฟัง”

ทำไมการได้รับฟังจึงสลายความเจ็บปวดลงได้ ฉันไม่รู้คำตอบทั้งหมด แต่ฉันรู้แน่ว่ามันเป็นผลบางอย่างจากขที่การฟังก่อให้เกิดความสัมพันธ์ วิทยาศาสตร์บอกให้เรารู้ว่าไม่มีสิ่งใดในจักรวาลอยู่อย่างโดดเดี่ยวหรือไม่อิงอาศัยกับสิ่งอื่น ทุกสิ่งเป็นตัวตนขึ้นมาจากความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นจุลอนุภาคที่แบ่งปันพลังงาน หรือระบบนิเวศน์ที่แบ่งปันอาหาร ในข่ายใยชีวิตนั้นไม่มีชีวิตใดที่อยู่เพียงลำพัง

การอยู่ร่วมกันเป็นสภาวะปกติของเรา ในเวลานี้ที่เราแยกตัวห่างจากกันเรื่อยๆ แต่ความต้องการและโหยหาต่อการมีสัมพันธภาพของเราก็ไม่ได้หายไป ทุกคนมีเรื่องราวและต้องการเล่าเรื่องราวของเขาเพื่อให้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ถ้าไม่มีใครฟัง เราก็เล่าเรื่องเหล่านั้นให้ตัวเองฟังและเราก็เสียสติ คำว่า “สุขภาพ” ในภาษาอังกฤษมาจากรากศัพท์เดียวกับคำว่า “หนึ่งเดียว” เราไม่อาจมีสุขภาพดีได้ถ้าขาดความสัมพันธ์กับใคร และคำว่า “หนึ่งเดียว” นี้ก็มีรากศัพท์เดียวกับคำว่า “ศักดิสิทธิ์”

การฟังทำให้เราใกล้ชิดกันมากขึ้น มันช่วยให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน มีสุขภาพดีขึ้น และมีความศักดิสิทธิ์มากขึ้น การไม่ฟังกันสร้างความแยกส่วน และการแยกส่วนนี้เป็นสาเหตต้นกำเนิดแห่งความทุกข์ทั้งปวง ท่านอาคบิชอพ เดสมอนด์ ตูตู (Archbishop Desmond Tutu) กล่าวถึงยุคสมัยปัจจุบันนี้ว่าเป็นเวลาที่ความสัมพันธ์ทุกอย่างของเรา “แตกสลายอย่างสิ้นเชิง” ทุกหนทุกแห่งในครอบครัวของโลก เราเห็นการแยกตัวและความหวาดกลัวระหว่างกันและกัน ตัวอย่างเช่น ในทุกประเทศ มีเด็กวัยรุ่นมากมายเพียงใดที่กล่าวว่าไม่มีใครฟังพวกเขา รู้สึกถูกละเลยและไม่เห็นคุณค่า ในความเจ็บปวดนั้นพวกเขารวมกลุ่มกันเพื่อสร้างวัฒนธรรมของตนเอง หรือหันเข้าหาตัวเองและฆ่าตัวตาย ฉันได้ฟังจากครูผู้ยิ่งใหญ่สองท่าน มาลิโดมา โซเม่ (Malidoma Some′) จากเบอร์กิโน ฟาสโซ (Burkino Fasso) ในแอฟริกาตะวันตก และปาร์เกอร์ พาล์มเมอร์ (Parker Palmer) จากสหรัฐอเมริกา ทั้งสองท่านได้ให้ข้อสังเกตเดียวกันนี้ว่า “คุณบอกได้ว่าสังคมใดมีปัญหาเมื่อพวกผู้ใหญ่เดินข้ามถนนเพื่อหลีกเลี่ยงการพบกับวัยรุ่น” เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างสังคมที่มีสุขภาพแข็งแรงหากเราปฏิเสธที่จะพบปะและพูดคุยกัน แต่ถ้าเราพบปะพูดคุยกัน เราจะถักทอโลกที่เป็นหนึ่งเดียวกัน และเป็นโลกที่ศักดิสิทธิ์ขึ้นมาอีกครั้ง

ยุคนี้เป็นยุคที่เต็มไปด้วยเสียงดัง ผู้คนตะโกนใส่กันในสิ่งพิมพ์ ในที่ทำงาน และในโทรทัศน์ ฉันเชื่อว่าความดังของเสียงมีความสัมพันธ์โดยตรงกับความต้องการที่จะได้รับฟังของเรา ในสถานที่สาธารณะ ในสื่อ เราให้ความสนใจกับผู้ที่มีเสียงดังที่และแรงที่สุด คนจึงส่งเสียงดังเพื่อให้ได้รับการสนใจ และพวกเขาจะทำอะไรก็ได้ที่ทำให้ผู้อื่นสังเกตเห็น สิ่งต่างๆยิ่งส่งเสียงดังขึ้นจนกระทั่งเราต้องหาทางนั่งลงและรับฟัง พวกเราส่วนใหญ่ชอบที่จะให้สิ่งต่างๆสงบลง เราจึงเริ่มส่วนของเราด้วยการลดเสียงของตนเองลงด้วยความเต็มใจที่จะรับฟัง

ครูในโรงเรียนผู้หนึ่งเล่าให้ฉันฟังว่าเด็กอายุสิบหกปีคนหนึ่งก่อเหตุวุ่นวาย ตะโกนด้วยความโกรธ พูดข่มขู่เธอ ความรุนแรงถึงขั้นที่เธออาจจะเรียกเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายให้ปกป้องเธอจากการถูกคุกคาม แทนที่จะทำเช่นนั้น เธอกลับนั่งลงและถามเด็กคนนั้นให้พูดคุยกับเธอ ต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะทำให้เขาเย็นลงเพราะเขาอยู่ในอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอย่างมากและเอาแต่เดินไปมาอยู่ในห้อง แต่ในที่สุดเด็กคนนั้นก็เดินมาที่ครูและเริ่มเล่าเรื่องราวชีวิตเขาให้ฟัง เธอเพียงแต่ฟัง ไม่มีใครเคยฟังเขาพูดมาเป็นเวลานานแล้ว ความเงียบที่เธอสนใจฟังทำให้เกิดพื้นที่สำหรับเขาเพื่อที่จะฟังเสียงของตัวเอง เธอไม่ได้ให้ข้อแนะนำอะไร ไม่ต้องคิดหาหนทางให้กับชีวิตของเด็กคนนั้น เขาหาหนทางให้กับชีวิตของตนเองได้เมื่อเธอฟังเขาพูด

ฉันชอบประโยคในพระคัมภีร์ที่ว่า “เมื่อคนสองคนหรือมากกว่านั้นเข้ามารวมกัน ฉันอยู่ในที่นั้น” สำหรับฉัน มันเป็นคำอธิบายสำหรับช่วงเวลาศักดิสิทธิ์ของการฟังอย่างแท้จริง สุขภาวะ ความเป็นหนึ่งเดียว และความศักดิสิทธิ์ของสัมพันธภาพใหม่ก่อตัวขึ้น ในขณะที่ฟัง เราไม่จำเป็นต้องชอบเรื่องราวนั้น หรือแม้กระทั่งผู้ที่กำลังพูด แต่การฟังสร้างความสัมพันธ์ให้เกิดขึ้น ทำให้เราใกล้ชิดกันและกันมากขึ้น

ในด้านการเยียวยาผู้เสียหายของกระบวนการยุติธรรม ผู้เสียหายจากการกระทำผิดทางอาญาพบกับผู้ที่ก่อคดี พ่อแม่ของเด็กที่ถูกฆาตกรรมพบกับฆาตกร ในสภาวะที่ไม่อาจจินตนาการได้ มีการถามคำถามและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ชายหนุ่มคนหนึ่งผู้ซึ่งฆ่าเด็กวัยรุ่นได้เรียนรู้ว่าผู้ที่เขาฆ่าเป็นใครและการเสียชีวิตของเธอมีความหมายต่อครอบครัวอย่างไร สิ่งต่างๆที่เขาไม่เคยคิดมาก่อนในขณะที่ลั่นไกสังหาร ผู้ต้องหาข่มขืนได้ฟังว่าผู้ถูกข่มขืนรู้สึกอย่างไร บางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่เคยรู้ และเขาเปิดเผยถึงความบ้าคลั่งอันมืดบอดที่กระตุ้นให้เกิดกระทำของเขา หลังจากเวลาผ่านไป คนอาจหวังว่าความหวาดกลัวและความเกลียดชังต่อกันจะสิ้นสุดลงในความสัมพันธ์ในลักษณะที่เข้าใจกันและให้อภัยต่อกัน

ฉันอยากให้พวกเราทุกคนมีส่วนในการเยียวยาอันยิ่งใหญ่ มันเป็นที่ต้องการในทุกหนทุกแห่ง ลองคิดว่าใครบ้างที่คุณจะเข้าหาได้ เขาอาจเป็นคนที่คุณไม่รู้จัก ไม่ชอบใจ หรือมีลักษณะการใช้ชีวิตที่ดูจะลึกลับสำหรับคุณ อะไรบ้างที่จำเป็นสำหรับการเริ่มสนทนากับคนเหล่านั้น คุณสามารถถามความคิดเห็นหรือคำอธิบายและนั่งอย่างเงียบๆเพื่อฟังคำตอบจากเขาหรือเธอเหล่านั้นได้ไหม คุณจะสามารถหักห้ามใจจากการโต้แย้ง การปกป้อง หรือการพูดอะไรออกมาสักระยะหนึ่งได้ไหม คุณสามารถโอบอุ้มให้คนผู้นั้นให้บอกเล่าภาพของสิ่งต่างๆที่เขาเห็น ที่เป็นด้านหนึ่งของเรื่องราวได้ไหม

เราต้องใช้ความกล้าหาญในการเริ่มการสนทนาเยี่ยงนี้ แต่การฟัง แทนที่จะเป็นการโต้แย้ง เป็นสิ่งที่ง่ายขึ้นมากเมื่อฉันได้ฝึกฝนบทบาทใหม่นี้เพียงไม่กี่ครั้ง ฉันพบว่ามันเป็นความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งทีเดียว และฉันเรียนรู้สิ่งต่างๆที่ฉันไม่อาจรู้ได้เลยหากฉันพูดขัดจังหวะขึ้นหรือให้คำแนะนำออกไป

ตอนนี้ฉันรู้ว่าไม่อาจเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือเปลี่ยนแปลงโลกได้จากการโต้แย้งด้วยเหตุผลที่ดีของตัวเอง แม้จะด้วยความปรารถนาดีก็ตาม สิ่งต่างๆเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อฉันได้เคลื่อนเข้าหาความเป็นหนึ่งเดียว เมื่อฉันเคลื่อนเข้าหาผู้อื่นโดยผ่านทางความอดทนที่จะฟังอย่างแท้จริง

เขียนโดย มาร์กาเรต วีทลี่ย์
แปลโดย นพ.กิจจา เจียรวัฒนกนก

Monday, July 2

สุนทรียสนทนากับงานพัฒนาองค์กร (OD)

สุนทรียสนทนา(Dialogue) กับ งาน OD (Organizational Development)

สุนทรียสนทนา เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่พัฒนามาจากแนวคิดและปฏิบัติที่หลากหลาย ทั้งตะวันตกและตะวันออก โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการเรียนรู้จักตัวเองที่จะช่วยนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ในระดับทัศนคติหรือโลกทัศน์ ไปจนถึงระดับพฤติกรรมและวิถีการดำเนินชีวิต เพื่อให้เกิดความสุขทั้งในระดับบุคคลและองค์รวมของทีมงานหรือองค์กร
โดยกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมดยืนอยู่บนหลักการที่ว่า
1. ความรู้อยู่ในตัวคนทุกคน และอยู่ในความสัมพันธ์ที่มีต่อกันและกัน ไม่ใช่ “ข้อมูล” หรือ “ความคิด” ที่แยกออกจากบริบทที่เป็นจริงๆ ทั้งนี้ไม่มีความรู้ที่ดีที่สุดเพียงชุดเดียว
2. ความรู้ร่วมเกิดขึ้นเมื่อมีการแบ่งปันความรู้สึกนึกคิด มุมมองที่หลากหลาย จากประสบการณ์ตรงที่มีชีวิตและหลากหลายให้กันและกัน ในบรรยากาศที่ปลอดภัย ไว้วางใจ ผ่อนคลายและตื่นตัว
3. ดังนั้น “การสอนแบบบรรยาย” ในฐานะการให้ความรู้ทางเดียวแบบให้ข้อมูลนั้น จึงถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ทั้งหมด แต่เน้นการสืบค้นความรู้ของผู้เข้าร่วมซึ่งจะส่งผลต่อกาเรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน (Sustained self-inquiry and learning)

ในทางตะวันออก องค์ประกอบที่สำคัญของการศึกษาคือ การฝึกการรู้เท่าทันโลกภายในและโลกภายนอกไปพร้อมๆกันนั้น ทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นไปพ้นระดับความคิดล้วนๆที่ไม่สามารถก่อให้เกิดการมองเห็นแบบแผนพฤติกรรมของตัวเองได้

ส่วนความรู้จากศาสตร์ทางตะวันตก ได้แก่ ความเข้าใจในวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่ และจิตวิทยาแบบ Voice Dialogue
ในวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่นั้น แนวคิดเกี่ยวกับการบริหารจัดการและความเป็นผู้นำนั้นเน้นความเท่าเทียม การมีส่วนร่วมและการร่วมไม้ร่วมมือจากทุกฝ่ายอย่างให้เกียรติและความเคารพในตัวมนุษย์อย่างแท้จริง ต่างไปจากแนวคิดแบบเครื่องจักรกลไกที่แยกส่วนและก่อให้เกิดความแบ่งแยก และบรรยากาศของการเอาตัวรอดและแข่งขัน โดยเชื่อมโยงกับความเข้าใจเกี่ยวกับสมอง คลื่นสมอง โหมดชีวิต และการทำงานของสมองทั้ง ๓ ชั้น ที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน อารมณ์ความรู้สึกและความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง

ทั้งนี้ทางสถาบันขวัญเมือง ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ แบบไตรภาค ๓ เอส (State, Stage, Shadow)โดยอ้างงานการพัฒนาจิตแบบบูรณาการ ของ เคน วิลเบอร์ (Ken Wilber) ดังนี้

๑.สภาวะจิต (State of consciousness)
การสร้างสภาวะแห่งความผ่อนคลาย ปลอดภัย ไว้วางใจ ให้เป็นพื้นที่หรือบรรยากาศที่เกื้อกูลแก่การเรียนรู้ และการสืบค้นด้านในของผู้เรียน เพื่อค้นพบโลกภายใน กรอบคิด กระบวนทัศน์ หรือทัศนะอันจำกัด ที่ถูกสร้างขึ้นและทำซ้ำในการสร้าง “ความจริง” (Projected reality) ของตัวเองขึ้น เพื่อนำไปสู่การเขียนโลกใบใหม่ โดยเห็นว่าสภาวะจิตของความปกป้องที่มีพื้นฐานของความเครียด กลัว วิตกกังวล ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ทำให้กระบวนการเรียนรู้หดตัว ดังนั้นในอีกมิติหนึ่ง เราเล่นเพื่อปลุกความสนใจใคร่รู้แบบเด็กที่เยาว์วัยให้เกิดขึ้น เปิดพื้นที่ให้กับ “เจ้าตัวเล็ก” ที่สนใจใคร่รู้ตลอดเวลา (Inquisitive Mind)
ทั้งนี้การดูแลสภาวะจิตนั้นหมายถึงดูแลวาระของร่างกายด้วย ให้เวลาแก่ร่างกายได้ฟื้นฟูพลัง เป็นพลศึกษาภาคผู้ใหญ่ ชีวิตที่มีกายากาลไม่ว่าในรูปแบบไหน เช่น ไทฉีฉวน เบญจลีลามหาสติ (Mindful body movement with 5 Rhythms) ที่อาจเรียกอีกอย่างว่า คลื่นกาย (Body wave) ที่เป็นการถ่ายทอดพลังชีวิตออกมาอย่างสร้างสรรค์และอิสระ ไร้แบบแผนที่ตายตัว
นอกจากนี้การดูแลสภาวะสามารถทำได้ผ่านงานศิลป์ และมิติของสุนทรียศาสตร์ที่หลากหลาย เช่น การละคร วรรณศิลป์ วิจิตศิลป์ ดนตรี เป็นต้น เหล่านี้ล้วนหลอมรวมอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ของขวัญเมืองเพื่อให้คนได้ดำรงสภาวะตื่นรู้ (Awakening mind)

๒.ระดับจิตร่วม (Stage of consciousness)
หากได้ดูแผนภูมิเชิงจิตวิทยาของวิลเบอร์ (psychograph) จะเห็นว่าพัฒนาการด้านนี้มีหลายมิติมาก ทั้งนี้งานของขวัญเมืองเน้นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์และระบบคุณค่าที่ส่งผลเชิงพฤติกรรม และแบบแผนความสัมพันธ์ในระหว่างผู้คนในองค์กรหรือที่บ้านที่ส่งผลต่อการงอกงามของวัฒนธรรมใหม่ ที่อาจนำไปสู่โครงสร้างการทำงาน ทั้งนี้การกระทำหรือปฏิบัติการ หรือการฝึกฝนที่เป็นจริง สม่ำเสมออย่างเป็นแผงหรือเป็นชุมชนนั้นจะช่วยดำรงสุขภาวะร่วม (Well-Interbeing) ที่พึงปรารถนาให้ยั่งยืนยิ่งขึ้น
ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าวิถีปฏิบัติที่เป็นจริงนั้นสำคัญมาก เราพูดคุยกันอย่างสำคัญพอๆกับที่เราพูดคุยกันเรื่องอะไร เราสัมพันธ์กันอย่างไร (Relationship agenda) สำคัญพอๆกับที่ว่าเราสัมพันธ์กันเพื่ออะไร (Organizational vision or goal)

๓.เงามืด (Shadow) สร้างสังคมประชาธิปไตยด้านใน (Creating an internal democracy)
เงามืด คือสิ่งที่ตรงกันข้ามกับ อุดมคติ (Ideal) ที่เราต้องการที่จะเป็น อยู่ในระดับจิตไร้สำนึก ดังนั้นเรามักเก็บซ่อนหรือกดเงามืดไว้โดยไม่รู้ตัว เป็นความไม่เท่าเทียมด้านใน ในโลกภายในหรือสังคมด้านในก็ต้องการสิทธิ์เสียงที่เสมอภาคหรือต้องการประชาธิปไตยเช่นกัน เพื่อให้ศักยภาพที่แฝงอยู่ในตัวเราและที่เกิดมาพร้อมกับความเป็นมนุษย์ได้ปรากฎอย่างสมบูรณ์ เราอาจไม่สามารถกำจัดเงามืดได้ด้วยการฉายแสงส่องเข้าไปให้แรงกล้า แต่ยอมรับถึงการดำรงอยู่ของเงามืดหรือศักยภาพที่เรากดทับไว้ ที่มักสำแดงอานุภาพในแบบของอารมณ์ลบ การตัดสินพิพากษาอย่างเป็นอัตโนมัติ โดยการเรียนรู้ในเรื่อง Voice Dialogue จะช่วยทำให้เราเข้าใจเรื่องราวเหล่านี้อย่างเป็นประสบการณ์ตรง มากกว่าการคิดใคร่ครวญเอาเอง

เมื่อเปรียบเทียบกับ OD
หากมองกระบวนการของ OD โดยทั่วไปที่เน้นความสนุกสนาน และการพูดคุยอย่างไม่เป็นทางการเพื่อก่อให้เกิดความปรองดองและความรักใคร่สามัคคีในทีมงานหรือองค์กรนั้นมักได้ผลในระยะสั้น ถือเป็นการสร้างความเป็นทีม (Team building) และอาจไม่ได้เน้นในเรื่องการเรียนรู้อย่างเป็นทีม (Team learning) ที่ต้องการอาศัยการรับฟังอย่างลึกซึ้ง การดูแลตัวเองให้อยู่ในภาวะตื่นรู้ (Awakening state of mind) อย่างต่อเนื่อง และเรียนรู้จากความแตกต่างที่มักเป็นปัจจัยแห่งความขัดแย้งเสมอ
หากมองจากกรอบคิดของสมองหรือปัญญา ๓ ฐาน การสร้างความเป็นทีมหรือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันนั้น คือการทำงานกับสมองพื้นฐาน (Basic brain) ในส่วนของสัญชาติญาณการแห่งความอยู่รอด โดยOD อาจมุ่งสร้างบรรยากาศของความเป็นกันเองสนุกสนาน โดยหวังว่าจะช่วยคลี่คลายช่องว่างหรือความขัดแย้งที่มีอยู่ในองค์กร อย่างน้อยก็ในชั่วระยะเวลาหนึ่ง ที่จะทำให้เกิดความรู้สึกรักใคร่ไมตรีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นส่วนของสมองชั้นกลาง หรือสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่เป็นเรื่องของความรู้สึกผูกพันและความเป็นพวกพ้องเดียวกัน (Mammalian brain)

ทั้งนี้มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสมองชั้นนอกสุดที่เป็นชั้นของความคิด (Human brain) ที่มีความทรงจำ ทั้งความเจ็บปวดและความสุข มีความกลัวที่สร้างจากความคิดในอดีต และมองไปในอนาคต หากการเปลี่ยนแปลงเป็นเพียงการเปลี่ยนสภาวะจิต (State of consciousness) ซึ่งมีความไหลเลื่อนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยไม่ทำงานกับจิตในระดับการรับรู้ (Stage of consciousness) หรือการให้ความหมายต่อตัวเองและสิ่งต่างๆที่ตนมองนั้น การเปลี่ยนแปลงนั้นก็จะไม่ยกระดับความคิดเห็นหรือทัศนคติที่จะส่งผลต่อการดำเนินชีวิตและการทำงานเป็นทีมในระยะยาวอีกด้วย สามัคคีธรรมจึงเกิดขึ้นในความสนุกสนานและความสุขที่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น แต่สุนทรียสนทนาเป็นแนวทางปฏิบัติ (Practical guideline) ที่จะช่วยหล่อเลี้ยงสุขภาวะในการทำงานและการทำงานเป็นทีมให้ยั่งยืนยิ่งขึ้นเมื่อเกิดการปฏิบัติร่วมกันอย่างเป็นชุมชนหรือองค์กร จนกลายเป็นวัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันที่เน้นความร่วมไม้ร่วมมือ และการช่วยเหลือเกื้อกูลกัน

จำนวนคน จำนวนวัน กับประสิทธิภาพการเรียนรู้เพื่อเปลี่ยนแปลง
ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ในแต่ละครั้ง จำนวนผู้เข้าร่วมและระยะเวลาของการเรียนรู้นั้นส่งผลต่อบรรยากาศโดยรวมและกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน จากการทำงานกับ ๓๐ กว่าองค์กร ในช่วงระยะเวลา ๗ ปีที่ผ่านมา สถาบันขวัญเมืองพบว่า จำนวนคนที่จะช่วยให้เกิดการพูดคุยเชื่อมสัมพันธ์อย่างถ้วนทั่ว รวมทั้งการที่คณะวิทยากร(กระบวนกร)จะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิดจนเกิดการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งเพียงพอนั้นอยู่ในปริมาณ ๑๕-๓๐ คน ในระยะเวลา ๔ วันเป็นต้นไป เนื่องจากเนื้อหาในการเรียนรู้นั้นจำต้องใช้เวลาในการใคร่ครวญ ตรึกตรองอย่างละเอียด โดยเปรียบเทียบกับประสบการณ์ตรงในชีวิตของแต่ละคน เปรียบได้กับการออกเดินทางเพื่อค้นหาความรู้อันล้ำค่า นั่นคือความรู้จักตัวเอง (Self-discovery) และความรู้จักกันและกัน โดยในแต่ละวันจะเน้นให้เกิดสภาวะจิตที่เหมาะสมต่อการเรียนรู้เชิงลึก ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย ไม่เคร่งเครียด ไม่เป็นทางการ และมีความเป็นมิตรต่อกันและกัน
โดยสรุป สุนทรียสนทนาช่วยสร้างโอกาสให้เกิดกระบวนการเรีนยรู้ทั้งแนวราบ(รู้จักผู้อื่น) และแนวดิ่ง (รู้จักตนเอง) โดยเน้นการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ที่ส่งผลต่อพฤติกรรม (Paradigm change toward behavioral change) มากไปกว่าการปรับเปลี่ยนเพียงพฤติกรรมในระยะสั้น และเป็นแนวทางที่ไม่อิงศาสนาหรือลัทธิความเชื่อใดๆ หากชื่นชมแนวทางที่หลากหลายที่จะช่วยยกระดับจิตของมนุษย์ วัฒนธรรมและสังคมให้วิวัฒน์ไปสู่ความดี ความงามและความจริงที่สามัญชนคนธรรมดาในสังคมยุคใหม่สามารถสร้างได้ร่วมกัน