
๑๓ เม.ย. ๔๘
จิตตปัญญาศึกษา อิงดอย เชียงราย
จิตตปัญญาศึกษาแบบขวัญเมืองเป็นอย่างไร?
น้อง ชุมชนของเราแม้ว่าไม่มีพิธีกรรมอะไรชัดเจนที่ทำหน้าที่ร้อยรัด แต่วงไดอะล๊อคมันมีมิติของพิธีกรรม เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วม แบ่งปัน มันมีการเรียนรู้ และเยียวยา ในกระบวนการนั้นมันทำหน้าที่ของมันอยู่แล้ว และในขณะที่เราไม่ได้มีระบบปรัชญาอะไรที่ชี้ชัดว่าเราเป็นชุมชนแบบไหน แต่น้องว่ามีอันหนึ่งที่เหมือนจะชัด แม้ว่าเราไม่ได้ระบุร่วมกัน แต่ทุกคนเหมือนกับว่าได้รับการตอกย้ำร่วมกันคือ การเรียนรู้
วิศิษฐ์ เวลาเราไปจิตวิวัฒน์ เราพยายามทำให้เกิดมิติการเรียนรู้แบบนี้ แล้วเราก็พบว่ามันไม่ค่อยเกิด มันเกิดเป็นบางครั้ง อยากถามหมอวิธาน ว่าเวลามันเกิด มันคืออะไร อะไรเป็นองค์ประกอบที่ทำให้วงมันเกิดไดอะลอก
หมอวิธาน ผมว่าทั้งหมดนะ สำหรับผมที่มองเรื่องจิตตปัญญาศึกษา ผมมีข้อสังเกตว่า อะไรจะเป็น จิตตปัญญาศึกษา หรือ Contemplative education ได้นั้น ถ้าเทียบกับคลื่นสมองแล้วหมายถึงเป็นการศึกษาด้านใน ผมชอบคำของวิจักขณ์ ที่แปลคำว่า contemplative ว่า การศึกษาด้วยใจที่ไคร่ครวญ ส่วนคำว่า จิตตปัญญาศึกษาก็ไม่ขัดข้องนะครับ แต่ว่าคำว่า การศึกษาด้วยใจที่ไคร่ครวญ มันบอกในเนื้อในตัวชัด
แต่พอมามองในเรื่องคลื่นสมองเนี่ย การศึกษาในระบบทั้งหมดมันเป็นเบต้าเวบ มันเป็นข้อมูลชิ้นข้างนอกหมดเลย มันไม่มีการเข้าไปสู่การศึกษาด้านใน ซึ่งต้องเข้าไปในคลื่นสมองระดับ เทต้า และเดต้าเวบ ซึ่งก็คือข้อมูลของมหาสมุทรทางปัญญาทั้งหมด ที่นี้จะเข้าไปอย่างไร ก็ต้องผ่านอัลฟ่า คือวิธีการเข้าสู่แหล่งข้อมูลด้านในนี้ก็คือ จิตตปัญญาศึกษา
วงสนทนาแบบไดอะลอกเองมีความเป็นพิธีกรรมศักดิ์ไปในตัว เพราะมีการลงเข้าไปหาความเป็นจิตด้านใน เข้าสู่คลื่นเทต้า และเดลต้า นี่ทำให้วงสนทนาแบบไดอะลอกสามารถเป็นจิตตปัญญาศึกษาได้ และอาจจะโยงเรื่องทฤษฎีเชียงรายด้วยว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นทั้งในระดับปัจเจกและสมุหะ เป็นโฮโลแกรมไปพร้อมๆกัน
วิศิษฐ์ บางครั้งที่วงสนทนาไม่เป็นไดอะลอก เพราะ หนึ่ง มันเป็นการลำเลียงข้อมูลหรือความรู้จากภายนอก ถึงแม้ความรู้นั้นจะเป็นความรู้ด้านในก็ตาม แต่มันลำเลียงมาให้คิดและจดจำ ซึ่งอยู่ในระดับคลื่นเบต้า แต่ในวงสนาทนา(จิตวิวัฒน์) มันก็มีบางช่วงเวลา ที่คำพูดของคนบ้างคนทำให้ปัจเจก หรือบางคนเกิดการเข้าไปเรียนรู้ด้านใน แต่กระบวนการทั้งหมดนี้ มันไม่ได้เหนี่ยวนำไปสู่ การเติบโตของชีวิตวงสนทนา ซึ่งเราเคยพูดกันว่า มีวัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ วัยเซียน นั้น อย่างมากในวงจิตวิวัฒน์ มันถึงวัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ระดับหนึ่ง แต่มันไม่ถึงจุดเต็มที่หรือวัยเซียน
ความมุ่งมั่นหรือความต้องการเรียนรู้แนวกว้าง ครอบคลุม ซึ่งอาจจะมีประโยชน์ของมัน มันทำให้ความสนใจในตัวกระบวนการพูดคุยกันนั้นมีน้อย และไปเน้นอยู่ที่การพูดคุยเพื่อให้ได้เนื้อหามากกว่า เมื่อสนใจตัวกระบวนการน้อย มันก็ไม่ได้เป็นไดอะลอกเต็มรูปแบบที่จะเข้าไปสู่สภาวะหลอมรวม (Synchronized state) หรือวัยเซียน ซึ่งเป็นสภาวะแห่งการประสานคลื่นสมองและพลัง ซึ่งพลัง ปัญญา ข้อมูล จิต กรรม (หมดประสานถือว่าเป็นเรื่องเดียวกัน)
ที่นี้หากเราใส่ใจเรื่องกระบวนการสนทนามากขึ้น โดยเน้นในเรื่องการฟัง ซึ่งมันเป็นสมาธิในตัว หากทุกคนฟังอย่างลึกซึ้ง จะทำให้เกิด ใจที่ไคร่ครวญ (contemplative mind) หรือเกิดการสะท้อนกลับเข้าไปมองดูตัวเองด้านใน โดยมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างด้านในและด้านนอก มองเห็นว่าโลกภายนอกและโลกภายในว่าเชื่อมสัมพันธ์กันอยู่ ย่อมเห็นข้อจำกัดของโลกภายของตัวเอง ย่อมมีโอกาสเห็นความเปลี่ยนแปลงโลกภายในของตัวเอง เห็นพลวัตร คือความไหลเลื่อน เคลื่อนที่ เปลี่ยนแปลง เชื่อมโยงของโลกภายใน ซึ่งในขณะทีเปลี่ยนนั้น ย่อมเกิดอัศจรรย์ทางจิต ย่อมเห็นว่าเมื่อโลกภายในเปลี่ยน โลกภายนอกเปลี่ยน เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว ตรงนี้เป็นจิตตปัญญาศึกษาของปัจเจกบุคคล
แต่ในไดอะลอกนั้น เมื่อทุกคนจริงจังกับการรับฟัง จริงจังกับกระบวนการไดอะลอก ทุกคนก้าวล่วงร่วมกันไปสู่ภาวะที่เกิดการประสานคลื่นสมอง พลัง ปัญญา จิต ข้อมูลนั้น พรมแดนของปัจเจกได้สลายตัวลง ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญนะ กระบวนการเรียนรู้เป็นสมุหะ การตื่นรู้ของคนคนหนึ่งเป็นการตื่นรู้ของคนทั้งกลุ่ม เกิดปรากฏการณ์ที่มนุษย์ได้ค้นพบว่า การทำงานทางปัญญา สมอง และจิตไม่ได้มีขอบเขตการทำงานอยู่ที่อัตตาหรือตัวตนของคนๆเดียว แต่สภาวะสมุหะหรือ Collective ในสภาวะนั้นเอง หากพูดเรื่องคลื่นสมอง ที่แอนนา ไวส์ ได้พูดถึงคลื่นสมองของจิตที่ตื่นรู้ (Awakening mind) ซึ่งเกิดขึ้นในระดับสมุหะ การเหนี่ยวนำกลุ่มให้อยู่ในสภาวะนี้อย่างเนิ่นนาน เป็นการฝึกฝนปฏิบัติธรรม จิตตปัญญาศึกษาแน่นอน เป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการตื่นรู้ หรือเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะให้เป็นนิจศีล ให้เป็นกิจวัตร จนหยั่งราก แม้ไม่อยู่ในวงสนทนาไดอะลอก ผมคิดว่านี่เป็นที่มาที่ทำให้เราแตกต่าง ก็คล้ายๆกับที่หมอวิธานได้พูด แต่ช่วยเชื่อมโยงให้เห็นภาพมากขึ้น
ณัฐฬส สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตคือ ที่น้องหรือหมอวิธานได้พูดว่า ไดอะลอกแบบที่เราทำกันนั้นมันมีธรรมชาติบางอย่างที่มีความเป็นพิธีกรรม เช่น เป็นสิ่งที่เราทำร่วมกันในสภาวะที่คลื่นสมองเราเป็นอัลฟ่า และตราบใดที่วงสนทนาสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันไม่เฉพาะในคำพูดที่แสดงออกมา หากอยู่ในความเงียบที่ปรากฎก่อนคำพูด ซึ่งมีความหมายค่อนข้างมาก หากวงสนทนาไหนยังไม่เรียนรู้ข้อนี้ ไดอะลอกที่แท้จริงมักไม่ค่อยเกิด นี่เป็นข้อสังเกต
ผมคิดถึงคำคำหนึ่งของท่านติช นัท ฮันท์ คือ Interbeing คือการเป็นกันและกัน หรือความต่างดำรงอยู่ร่วมกัน ผมเห็นว่าไดอะลอกมีพื้นฐานที่สำคัญคือการอยู่ร่วมกัน มากกว่าการพูดกัน อยู่ร่วมกันโดยไปพ้นเรื่องภาษา เพราะภาษาเป็นคลื่นเบต้า ดังนั้นการอยู่ร่วมกันได้เป็นการสร้างพื้นที่หรือภาชนะรองรับที่ยิ่งใหญ่มหาศาลสำหรับการสืบค้น แลกเปลี่ยนและค้นพบภูมิปัญญามหาศาลที่ไร้ขอบเขตร่วมกัน ยิ่งเราสามารถยอมรับความแตกต่างได้ การตัดสินก็น้อยลง ไม่มีความรู้สึกว่าต้องปกป้องตัวเอง เพราะอย่างที่อ.วิศิษฐ์ว่านั่นแหล่ะ การได้ค้นพบว่าพรมแดนของเราหรือความคิดเรามันไม่มี มันก็มีแต่ความเปิดรับ
วิศิษฐ์ อยากเติมว่าดำรงอยู่ร่วมกันได้ความตื่นรู้ เพราะเมื่อเกิดการรับฟังอย่างลึกซึ้ง ตัวตนของคนอื่นเข้ามาดำรงอยู่ในตัวตนของเรา และตัวตนของเราเข้าไปดำรงอยู่ในตัวตนของคนอื่น แต่ทีนี้ธรรมชาติของจักรวาลนั้น ฟิสิกส์ใหม่บอกว่า สรรพสิ่งล้วนดำรงอยู่และสอดแทรกอยู่ในกันและกัน เหมือนกับเรื่องดอกกะหล่ำ หรือโฮโลแกรม ตัวตนของเราก็เป็นจุลจักรวาล ในขณะที่เราอยู่ในกลุ่มนั้น ตัวเราก็เป็นเหมือนกับส่วนจำลองของทั้งกลุ่ม หรือเป็นจุลจักรวง ถ้าเป็นวงเชียงรายก็หมายความว่า เรามีความเป็นวงเชียงรายในตัวเรา และในวงเชียงรายก็มีเราอยู่ในนั้น ก็เลยเป็นจุลจักรวง
สิ่งที่เกิดขึ้นในตัวเรา กระทบทั้งระบบ กระทบทั้งสกุลเชียงราย สิ่งที่เกิดขึ้นกับสกุลเชียงรายก็กระทบกับชีวิตเรา (มั้ง)
อ.ฌาญเดช อาจารย์ถามว่าอะไรเป็นจิตตปัญญาศึกษาแบบที่เราเป็น ผมคิดว่าทั้งหมดคือจิตตปัญญาศึกษา เคยดูหนังกำลังภายในไหม พระเอกจะไปประลองยุทธกับปรมาจารย์ญี่ปุ่นคนหนึ่ง พอไปถึงก็พบอาจารย์ค้นนี้นั่งจิบน้ำชาอยู่ และได้กล่าวว่า ชานั้นมีหลายเกรด เราจะเลือกกินชาที่มีเกรดสูงที่สุด เพื่อให้เกิดความรื่นรมย์ แล้วถามอาจารย์กังฟูว่า อาจารย์เห็นด้วยอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะไม่เห็นด้วยซะทีเดียว เพราะชาตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นยอดนั้นจริงๆแล้วไม่ได้มีเกรด สิ่งที่มนุษย์ไปกำหนดต่างหากทำให้เกิดเกรดหนึ่ง เกรดสอง แต่ชานั้นเขาไม่ได้กำหนดตัวเอง เพราะฉะนั้นมันเป็นทั้งหมด แล้วจึงย้อนถามว่าแล้ว วิทยายุทธล่ะมีขั้นมีตอนไหม มีสายดำ สายแดง สายเขียวหรือเปล่า อาจารย์ท่านก็บอกว่าคล้ายๆชานั่นแหล่ะ คือมีมาจากรากเดียวกัน ผมรู้สึกว่าไดอะลอกเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมในการใช้ชีวิต แต่ว่าเรามองมันอย่างไรต่างหาก เช่น การตั้งวงน้ำชาก็เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ส่วนเราไปทานอาหารแหนมเนืองก็เป็นพิธีกรรมอันหนึ่ง เราไปออกกำลังกายร่วมกันก็เป็นพิธีกรรมอันหนึ่ง การนั่งสนทนากับลูกและภรรยาก็เป็นพิธีกรรมอันหนึ่ง เหมือนกับที่อ.วิศิษฐ์ พูดว่า มันเป็นโฮโฮแกรม หรือเป็นเสี้ยวส่วนของกันและกัน ประเด็นอยู่ที่ว่าเราจะนำพาเข้าจากภายนอกสู่ภายในได้อย่างไร แล้วนำจากภายในไปสู่ภายนอกได้อย่างไร
ซึ่งอาจต้องการอาศัยกระบวนการบางอย่างเพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ดังกล่าว เพื่อให้เกิดวิธีการมอง เช่น เวลาเราเรียนเต๋า พุทธศาสนา หรือเซน กระบวนการหรือวิธีการอันหนึ่ง อาจารย์ก็จะมีวิธีการให้ศิษย์ได้เข้าไปสืบค้นกับตัวเอง เช่นเมื่อเราอยากเข้าถึงธรรมชาติ เราก็ต้องไปอยู่ที่นั่น เช่น หากเราอยากเรียนรู้เรื่องน้ำ เราก็ไปที่น้ำตกขุนกรณ์ แล้วเราก็เข้าไปอยู่ในโพรงน้ำแล้วรับรู้มัน ขณะที่เรานั่งอยู่ในนั้นก็รับฟังเสียงที่อื้ออึงของมัน ซึ่งจะเป็นเสียงที่รบกวนหรือเปล่า หรือเมื่อน้ำสัมผัสโดนตัวเรา เรารู้สึกอย่างไรกับมัน รู้สึกกับน้ำอย่างไร เมื่อถามว่ารู้สึกกับมันอย่างไร จะทำให้จิตวิ่งเข้าหาภายใน ซึ่งก็จะหยิบเอาประสบการณ์ตรงนั้นมาเฝ้ามอง ทั้งที่เป็นปัจเจกและไม่เป็นปัจเจกด้วย และเมื่อเกิดการเฝ้ามองอย่างเนิ่นนาน ตัวจิตตปัญญาศึกษาก็ค่อยๆเกิดขึ้น (โผล่ปรากฎ) หรือค่อยๆบังเกิดขึ้นตามสภาวะที่เป็น
ผมรู้สึกว่าจิตตปัญญาศึกษามันอาจไม่เกิด เพราะมองประสบการณ์ว่าเป็นเพียงเสี้ยวส่วน ยังเห็นเป็นเสี้ยวๆ เช่น ในเมื่อทุกคนต่างถือว่าต่างคนต่างมีความรู้ ความคิดมากๆ แล้วมานั่งคุยกัน แล้วแลกเปลี่ยนเฉพาะเสี้ยวส่วนของตัวเองมาบอก แต่เมื่อเสี้ยวของคนอื่นไม่เหมือนกับเสี้ยวของเราก็อาจรู้สึกขัดแย้ง โดยที่สิ่งที่เฝ้ามองหรือศึกษานั้นอาจเริ่มจากสิ่งที่แต่ละคนสนใจ ซึ่งอาจแตกต่างกัน แล้วมาเชื่อมโยงกับสิ่งที่คนอื่นๆศึกษาหรือพูดได้ ซึ่งจะเป็นจิตตปัญญาศึกษาที่ทำให้ความรู้เกิดการเคลื่อนไหว เชื่อมโยงได้มาก
แล้วก็ จิตตปัญญาศึกษาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับปัจเจกและพหุ เกิดการเหนี่ยวนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงซึ่งกันและกัน
วิศิษฐ์ คำว่า พิธีกรรม หากพูดภาษาสมัยใหม่ ซึ่งอาจทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ลดลงไป ก็คือคำว่า วิธีการ ถ้าพูดภาษาวิจัยวิชาการ ก็คือ Methodology ซึ่งเป็นเรื่องน่าปวดหัวมาก คำว่าวิธีการในที่นี้หมายถึงวิธีการที่นำเข้าสู่หรือเข้าถึงจิตตปัญญาศึกษา ตอนนี้มันมีคำถามง่ายๆว่า สิ่งใดเล่าที่ยกชีวิตธรรมดาไปสู่สิ่งที่เรียกว่าพิธีกรรม อันนี้เป็นคำถาม
ณัฐฬส ส่วนหนึ่งผมคิดว่าเกี่ยวข้องกับโลกทัศน์บางอย่างที่มีในชุมชนเราที่มองเห็นว่าชีวิตมันมีมิติของความศักดิ์สิทธิ์ดำรงอยู่ แม้ว่าเราจะทำหรือไม่ทำอย่างไรกับมัน มันก็ยังดำรงความศักดิ์สิทธิ์อยู่ ผมว่าความเชื่อพื้นฐานอันนี้ทำให้เราสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆว่าศักดิ์สิทธิ์ อย่างที่อ.ฌาณเดชบอกว่า ทุกอย่างสามารถทำให้เป็นพิธีกรรมได้ หรือทำให้มีมิติของความเป็นชุมชนได้ ทีนี้โจทย์ที่ว่าเราจะมีชีวิตอันสามัญที่เข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร แม้ว่าเราจะไม่ได้ไปวัด ตามที่สังคมทั่วไปอาจนิยามว่าวัดคือพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ เราอาจขยายพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์อันนั้นให้มาอยู่ในชีวิตของเราเองไร เหมือนกับเป็นศาสนาของคนนอกวัด ได้หรือไม่
วิศิษฐ์ ผมอยากพูดถึงความไม่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อจะได้เข้าใจความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะไม่ศักดิ์สิทธิ์เมื่อมันถูกลดค่าลงไปให้ซื้อขายได้ ลึกๆแล้วหากทำให้สิ่งใดกลายเป็นสิ่งที่ซื้อขายได้ เช่น สิ่งของ แม้กระทั่งมนุษย์เอง ก็ถูกทำให้กลายเป็นสิ่งที่ซื้อขายได้ เพราะคนในประเทศไทยก็โดนทักษินซื้อเกินครึ่ง มนุษย์ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เพราะขายได้
ทีนี้อะไรที่ลึกลงไปในความซื้อขาย เมื่อสิ่งนั้นไม่มีจุดมุ่งหมายในตัวมันเอง แต่รับใช้จุดประสงค์ของผู้อื่น แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมักมีวัตถุประสงค์ของมันเอง แต่ถ้าเราคิดว่าต้นไม้มีไว้เพื่อทำเฟอร์นิเจอร์ สร้างความมั่งคั่งให้กับบริษัท ร้านค้า วงค์ตระกูล หรือ คิดว่าพนักงานของเรานั้นมีไว้เพื่อเติมเต็มจุดมุ่งหมายการทำงานของบริษัท เขาไม่มีจุดมุ่งหมายของเขาที่เราต้องไปดูแลดวงวิญญาณของเขา คือเมื่อสิ่งและสรรพสัตว์ถูกตัดขาดออกจากจุดมุ่งหมายของตัวเอง หรือได้รับการปฏิบัติเหมือนดั่งว่าไม่มีจุดมุ่งหมายของตัวเอง สิ่งนั้นก็หมดความศักดิ์สิทธิ์ หากชุมชนนี้ดำรงอยู่แล้วทุกคนถูกใช้ เช่น อ้า นี่อาจารย์มาสอนมวยนะ ชุมชนนี้จะได้มีเสน่ห์ เป็นความคาดหวังทางการตลาด จะได้ดึงดูดให้คนทั้งหลายเข้ามาร่วมชุมชนกับเรา อาจารย์ก็ขาดความศักดิ์สิทธิ์ไปเลย นี่ยกตัวอย่างความไม่ศักดิ์สิทธิ์
แต่ถ้ามวยนั้นมีจุดมุ่งหมายของเรา และเราต้องเคารพ ไม่ใช่ว่าจะเอาตามใจเรา ความศักดิ์สิทธิ์ของมวยก็จะเกิดขึ้น
ณัฐฬส ถ้าอย่างนั้น มองในแง่นี้ ความศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้ดำรงอยู่อย่างแยกออกจากเรา แต่ดำรงอยู่ในความสัมพันธ์อย่างไร ความสัมพันธ์อย่างหนึ่งไม่ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนความสัมพันธ์อีกอย่างหนึ่งศักดิ์สิทธิ์
ยาดา ผึ้งเห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรำมวย หรือการรินน้ำร้อน มันก็เป็นสิ่งเหมือนกัน ที่เราคุยกันเมื่อวานนี้ ช่วยตอบโจทย์ของผึ้งเมื่อวาน ผึ้งเล่าให้แม่ฟังว่า เดี๋ยวนี้เรามีการเรียนรู้อย่างไรบ้าง แม่ก็บอกว่า อย่างนี้ที่แม่อยู่กรุงเทพก็เหมือนคนโง่น่ะสิ มันต่างกันอย่างไรบ้างกับที่ลูกอยู่ เพราะไม่มีสภาน้ำชา ไม่มีการรำมวย ผึ้งก็ตอบว่าไม่ต่างหากมีการดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข แม่ถามต่อว่าแล้วยังงี้ แม่จะมีความสุขได้อย่างไร เพราะแม่เขาก็มีความรู้สึกว่า เรากำลังสร้างพิธีกรรมที่คนอื่นไม่มีหรือเปล่า ก็อึ้งไปเหมือนกัน ...เลยรู้สึกว่าที่คุยกันวันนี้ก็ช่วยตอบโจทย์บางอย่างในใจ
แล้วก็บอกว่าถ้าอยากมีความสุขก็มาอยู่ด้วยกันสิ แต่ก็ไม่อยากจะเน้นตรงนี้ เพราะเดี๋ยวจะไปคิดว่าคนทั้งโลกก็จะไม่มีความสุขถ้าไม่มีการไดอะลอก
อย่างบ้านเราก็มีการไดอะลอกอยู่แล้วแบบธรรมชาติ มีการคุยกันอยู่แล้วในหมู่พี่น้อง บางทีปิดไฟแล้วคุยกันก่อนนอน บางทีก็ร้องไห้ เพียงแต่เราไม่ได้พูดถึงมันอย่างเป็นรูปธรรม เขาก็เลยไม่ได้ซึมซับว่ามันมีความหมายอย่างไร เพราะมันถูกทำให้ไปทำกิจกรรมอื่นๆในสังคมเสียมากกว่า อย่างผึ้งก็คิดว่า การทำวัตรเนี่ย พอหลังทำวัตรก็มีการเดินจงกรม ก็เอามาเปรียบเทียบกับที่พวกเรารำมวยเสร็จแล้วก็มากินน้ำชากัน เหมือนกับการบ่ม ชาร้อนก็ต้องค่อยๆกินและซึมซับกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ จบค่ะ
หมอวิธาน ผมชอบที่พี่ใหญ่พูดเรื่องที่ว่าข้อมูลภายในที่กลายมาเป็นข้อมูลภายนอก ทีนี้ก็คงไม่ได้แขวะเถรวาทนะ แต่รู้สึกว่าบางแนวทางได้ไปนิยามความศักดิ์สิทธิ์ให้จำกัดอยู่ในพื้นที่จำเพาะหนึ่งๆ เช่น ว่าจะต้องเป็นที่วัดหรือสำนักอะไรบางอย่างถึงจะศักดิ์สิทธิ์ แล้วต้องมีพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นนะถึงจะทำให้เกิดจิตตปัญญาศึกษาได้ คือถ้าเราทำอย่างนั้นมันก็กลายเป็นว่าเรากำลังเอาสิ่งที่น่าจะศักดิ์สิทธิ์มาทำให้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ไปเสีย เพราะเป็นเพียงการกระทำภายนอก ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือไปเอาข้อมูลด้านในไปใส่ไว้ผิดที่ ในขณะที่เชียงราย มีลักษณะที่มองความศักดิ์สิทธิ์ว่ามีได้ทุกที่ และผมคิดว่าพี่ใหญ่นิยามความศักดิ์สิทธิ์ได้ดีมาก จบ
ฌาณเดช ผมรู้สึกว่าความศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องของคุณค่า แต่เป็นคุณค่าที่มีความหมายไปทางความลึกลับ คุณค่าทางความลึกลับ มีพลัง ที่นี้มันลึกลับอย่างไร เช่น เวลาเราพูดถึงเรื่องบางเรื่องว่าศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า ในความลี้ลับ คำว่า สิทธิ์ หากมองเชิงบวก มันหมายถึงการให้ เช่น เวลาอาจารย์เขาพูดถึงการขึ้นครู ก็จะพูดถึงเรื่อง กรรมสิทธิ์ หมายถึงการให้ พอพูดถึงการให้ ก็นึกถึงนีล บอห์ร นักฟิสิกส์ ที่พูดว่า เมื่อเราเกิดมาแล้วจะมีคุณค่าหรือไม่อย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับว่า เราให้ขนาดไหน และยังพูดถึง ที่อาจารย์วิศิษฐ์พูดถึงต้นไม้ ผมรู้สึกว่า ต้นไม้เขาก็มีอะไรของเขาที่จะดำรงอยู่ แต่ก็ไม่ได้ดำรงอยู่โดดเดี่ยว แต่เป็นการดำรงอยู่เพื่ออะไรบางอย่าง ขณะเดียวกันก็มีการให้ ผมรู้สึกว่าการให้นี้ทำให้เขาศักดิ์สิทธิ์ และการให้นี้มันเชื่อมกับวิทยาศาสตร์ใหม่ในเรื่องความเป็นผู้นำ ที่จะถามว่า ผมจะช่วยอะไรได้บ้าง ซึ่งผมคิดว่าเป็นคำพูดที่งดงามมากๆ ถ้าชีวิตมนุษย์ หรือวิทยาศาสตร์พัฒนาสูงขึ้นจริงก็น่าจะพูดถึงการให้มากกว่าการทำลาย จบ
ยาดา ผึ้งชอบเหตุผลทุกคนเลย การได้เรียนรู้ร่วมกันอย่างไม่แยกเป็นบุคคลแต่ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว โดยไร้ภาษาด้วย แค่มองตาก็สัมผัสกันได้ว่า มันมีอย่างหนึ่งที่บอกว่าเรากำลังเรียนรู้หรือเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่างร่วมกัน อย่างเมื่อวานพอคุยกับแม่เสร็จ แม่ก็รู้สึกขอบคุณตัวเองที่ให้พื้นที่ลูกให้ได้มาเรียนรู้ ได้มาเจออะไรแบบนี้ เขาก็จบด้วยว่า ดีใจแล้วที่ลูกได้เรียนรู้และเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆงามๆ ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ และไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก
วิศิษฐ์ ผมเห็นอย่างนี้นะ การยกกิจกรรมธรรมดาขึ้นเป็นพิธีกรรม ทำได้โดย
หนึ่ง ทำให้มีความตื่นรู้ แทนที่เราจะอยู่กับกิจกรรมนั้นอย่างหลับใหล เราก็ตื่นขึ้นมา
สอง เมื่อเราตื่นรู้ มันก็จะช่วยทำให้เราเห็นความเชื่อมโยง ระหว่างโลกภายนอก กับโลกภายใน เชื่อมโยงการรับรู้ของเต้า กับโลกภายในของเทต้า
สาม เมื่อเราลึกลงไปในโลกภายนอกและภายใน เราเห็น ศักยภาพมากกว่าที่เราเคยรู้แล้ว ณัฐใช้คำว่าลี้ลับ ศักดิ์สิทธิ์คือลี้ลับ ศักดิ์สิทธิ์คือมีมากกว่าความเข้าใจของเราในปัจจุบัน
สี่ ศักยภาพนั้น อยู่ในคำว่า จิตเดิมแท้ ที่ดำรงอยู่ทั้งวัตถุภายนอกและจิตภายใน สภาวะจิตเดิมแท้นั้นไหลเลื่อน เคลื่อนที่ เปลี่ยนแปลง เชื่อมโยง เวลาเราเอาผลบั้นปลายของการทำงานด้านในออกมาสู่ด้านนอก ในระดับเบต้าอ่อนๆ หยาบๆ คือเราสามารถเอาสภาวะไหลเลื่อน เคลื่อนที่ เชื่อมโยง เปลี่ยนแปลงของจิตเดิมแท้ออกมาบอกเล่า หรือเขียนลงในหนังสือ โดยไม่เข้าไปสู่ในพิธีกรรมตื่นรู้ หรือไม่ได้กลับเข้าไปใน Motion picture (ภาพเคลื่อนไหว) ของจิตเดิมแท้ แต่ไปอยู่ในหนังแผ่นที่ถูกแช่แข็ง ก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับจิตตปัญญาศึกษา เราอาจจะกลับไปหาคำว่า ไม่มีคำตอบเดียว ไม่มีมาตรฐานเดียวในเรื่องการตื่นรู้ ไม่มีหลักสูตรตายตัว เพราะเมื่อใดที่เรามีมาตรฐานเดียว หรือมีหลักสูตรตายตัว เรากำลังหลุดออกไปจากกระบวนการหรือธรรมชาติที่แท้จริงของจิตเดิมแท้ที่มีความเป็นพลวัตร ที่ไหลเลื่อน เคลื่อนที่ เปลี่ยนแปลง เชื่อมโยง คนที่หลงไหลกับสิ่งเหล่านี้อยู่ จางจื๊อท่านเรียกว่า กากวิชา เหมือนกับการที่ไม่ได้ชิมชาอันเลิศรส แต่ได้กินเพียงกากชาเท่านั้น
ณัฐฬส หากมองในแง่ของตัวกิจกรรมที่เป็นพิธีกรรม ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ๆ อย่างที่เรามารำมวยกันทุกเช้านี้ ผมรู้สึกว่าทุกคนมีความใหม่ แม้ว่าอาจารย์ มีคุณภาพใหม่บางอย่างเกิดขึ้น รู้สึกว่าเป็นสิ่ฟงที่สนุก หนึ่ง มันไม่มีใครถูกบังคับ สองไม่มีใครถูกวัดผล อันนี้ช่วย ให้เราเติบโตมาก เพราะตราบใดที่เกิดการวัดผลขึ้น มันจะหมายถึงการตั้งมาตรฐานหรือคำตอบของการเรียนรู้ไว้อย่างตายตัวหรือเปล่า มันเชื่อมโยงกับความคิดที่ว่า มันมีแต่ความเป็นไปได้ คำตอบมันไม่ได้มีคำตอบเดียว และเรายอมรับความหลากหลายได้ ดังนั้น ประเมิลผลเป็นกระบวนการเฝ้ามองดูตัวเอง และช่วยกันดูมากกว่า ประเมิลผลด้วยกรอบตายตัว หรือประเมิลผลด้วยไม้บรรทัด
กิจกรรมของชุมชนพวกเรามันก็หลากหลายได้ อะไรก็ตามที่ช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหวทางกาย ไม่ว่าการปั้น การเดิน การจัดดอกไม้ ช่วยทำให้เราเข้าถึงความสดของประสบการณ์ตรงบางอย่างร่วมกัน ยิ่งมีการทำร่วมกันมันก็ยิ่งวิเศษ
เมื่อวานตอนผมเดินอยู่ที่น้ำตก มีคำๆหนึ่งวิ่งเข้ามาในหัว คือคำว่า Celebration หรือ การเฉลิมฉลอง คือ พวกเราเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่มักเฉลิมฉลองชีวิตหลังเที่ยงคืน คือหกชั่วโมงครึ่งหลังเที่ยงคืน เราเฉลิมฉลองต้อนรับตะวันขึ้นหรือรุ่งอรุณ ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนการให้ความหมายคำว่าเฉลิมฉลอง ที่มักหมายถึงช่วงเวลาดึกๆดื่นๆ มาเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ในช่วงรุ่งเช้าที่พวกเรามีความสุขที่จะทำร่วมกัน กินน้ำชา นม น้ำเต้าหู้ และการมีชีวิตอยู่คือการเฉลิมฉลอง Living as celebrating!
โต๋ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันหรือเปล่านะครับ พอพูดเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ก็นึกถึงคำว่าปัญญาร่วม ซึ่งก็เหมือนทรัพยากรอื่นๆ อย่างต้นไม้ น้ำ อากาศ ที่ผู้คนมีสิทธิ์เข้าถึงได้เท่าๆกัน เพียงแต่ว่า บางคนมีโอกาสในการเข้าถึงไม่เหมือนกัน แต่พอเรากลับมาคิดว่าการเข้าถึงได้ทำได้หลายแบบ เช่น การเดินป่า ก็เป็นทางหนึ่ง นึกถึงที่เคยพูดว่า ในซากปรักหักพังมันมักมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆเกิดขึ้นมา ถ้าเราวางใจว่ามันต้องมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาแน่ๆ และมันต้องเกิดขึ้นมาแน่ๆ ขอเพียงแต่ว่าเราปล่อยให้พื้นที่นั้นมีเวลาของตัวเอง โดยที่เราไม่เอาจอบไปถางทุกวันๆ มันก็ต้องมีสิ่งที่ก่อเกิดขึ้นมาจนได้
ธนัญธร ดีค่ะ การสืบค้นมันทำให้เรามีความชัดเจนยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ
หมอวิธาน เวลามีการพูดคุยถึงจิตปัญญาศึกษา และหลักสูตรจิตตปัญญาศึกษา ผมก็รู้สึกขัดๆว่า แล้วหลักสูตรมันจะมีหรือเปล่า หรือควรจะใช้อะไรอย่างไร คือผมก็เข้าใจว่าคนทำงานก็คงพยายามทำให้เกิดอะไรขึ้นมา แต่พอเราใช้คำว่าหลักสูตรปุ๊บ มันทำให้เกิดการแข็งตัวหรือเปล่า หรือเราควรช่วยคิดกันหน่อยไหม ว่าควรใช้คำว่าอะไรดี หรือให้ความหมายเพิ่มเติมกับคำว่าหลักสูตรในวิถีทางของจิตตปัญญาศึกษาอย่างไร
2 comments:
อ่านสนุกมาก
กำลังคิดอยู่ว่า ที่จิตวิวัฒน์ทำงานด้านความรู้กันมาสองปีกว่า จะนำไปปรับเป็นความรู้ ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านเชื่อมโยงอย่างไรได้บ้าง?
เชิญชวนให้ช่วยคิด ;-)
อ.ณัฐคะ
จะขอยืม(แบบไม่คืน) ไปลงบล็อก contemplative knowledge dialogue (เยี่ยมเยือนได้ที่ http://360.yahoo.com/contemplative_knowledge)ได้มั้ยคะ.. มันมีความคิดเรื่อง จิตตปัญญาศึกษา แบบไทยๆ และฝรั่งด้วย ที่มีทั้งท.บ.และปฏิบัติมาแล้ว.. คิดว่า ใครๆ อ่านก็คงต้องโดนค่ะ
ตอบด้วยนะ..- noi ka
Post a Comment