Wednesday, May 10

นิเวศแนวลึกและเสมสิกขาลัย



บันทึกสัมภาษณ์ของผมเกี่ยวกับเนื้อหาด้าน นิเวศวิทยาแนวลึกสำหรับเสมสิกขาลัย
ทำไว้เมื่อเสมมีการประเมินผลการทำงานในช่วงครบรอบ ๑๐ ปีที่ผ่านมา

ความเป็นมา


ทำไมเป็นนิเวศน์แนวลึก ถ้าดูขอบเขตเนื้อหา เสมอุดมทั้งหมด มีเรื่องด้านใน ด้านนอก ความสัมพันธ์ เรื่องด้านในพูดถึงความเข้าใจตัวเอง ด้านนอกมีหลายเรื่องเป็นเรื่องวิเคราะห์สังคม ระบบเศรษฐกิจโลก สิ่งที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม ผมเข้าใจว่าเสมพยายามเชื่อมโลกด้านใน กับโลกด้านนอก เวลาศึกษาตัวเองว่าเราคือใคร ต้องสืบค้นว่าเราสัมพันธ์กับธรรมชาติอย่างไร ไม่ใช่แค่เกิดอะไรบ้างในโลกนี้ ในชุมชน ท้องถิ่น กับน้ำ ดิน ป่า วิกฤตินิเวศน์วิทยาศึกษาได้หมด แต่พอกลับมาดูข้างในตัวเองว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของระบบสังคมระบบธรรมชาติ ระบบสังคมของระบบธรรมชาติ เรามีผลว่าทำให้ปัญหาดำรงอยู่หรือทุเลาลง ต้องมาดูตัวเอง นี่เรื่องที่หนึ่ง

เรื่องที่สอง พอดูเรื่องสิ่งแวดล้อม เรื่องสำนึกสิ่งแวดล้อม มีคำถามหลายอย่างว่าคำว่าสำนึกทางสิ่งแวดล้อมคืออะไร เป็นแค่ความคิด ความรู้สึก หรือสัญชาตญาณ เพราะโดยตัวเสม ความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ตัวผู้เรียน หรือมนุษย์ ให้คุณค่า เราเข้าใจใน 3 ฐาน ฐานกาย ฐานใจ อารมณ์ ความรู้สึก และฐานความคิด สติปัญญา หรือญาณทัศนะ ซึ่งตรงกับแนวคิดการศึกษาแนวใหม่ เรื่องสมองทั้ง 3 ฐาน คำว่าสำนึกไม่ใช่แค่ความคิด แต่เป็นตัวปัญญา ที่เห็นตัวเองว่าคือสิ่งแวดล้อมคือโลก ความคิดนิเวศน์วิทยาตัวตนที่เรารู้สึก หรือสำนึกได้เป็นตัวตนที่คับแคบ เรียกว่าเรามีกายทางนิเวศน์ ไม่ใช่มีกายเท่านี้ กายเท่านี้คือเราคิดไปเอง ทั้งที่จริง เราปฏิสัมพันธ์ ตลอดเวลา

อีกอย่าง ก็สอดคล้องกับความคิดทางพุทธศาสนาว่าสรรพสิ่งเชื่อมโยง มีเหตุ มีปัจจัย ความเข้าใจนิเวศน์แนวลึกไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่ดูเป็นภาษาใหม่ มันมีอยู่แล้วในชุมชน ชนเผ่าพื้นเมืองด้วย เลยคิดว่ามันเป็นการกลับไปหารากเหง้าทางวัฒนธรรม สืบค้นรากเหง้าของตัวเอง ของผู้เรียน แม้กระทั่งว่า รากเหง้าทางวัฒนธรรม แม้กระทั่งทางกายตัวเราทุกคนมีความทรงจำแห่งอดีตในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ถึงแม้เราถูกกระทำให้เป็นคนเมือง รู้จักถนน แต่ไม่รู้จักป่า แต่ยังมีความทรงจำที่รื้อฟื้นค้นพบใหม่ได้

เป้าหมาย
ถ้าจะดูการเรียนรู้ของเสม เป้าหมายไม่ใช่แค่รู้ แต่เพื่อเปลี่ยนตัวเอง ปรับเปลี่ยนทัศนคติ วิถีชีวิตเพื่อเกื้อกูลโลก ไม่ให้ทำลาย จากความคิดสู่การกระทำ ในทางนิเวศน์แนวลึก หลักการคือไม่มีจริยธรรมเรื่องต้องดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างไร จริยธรรมเป็นเพียงหลักคิดที่พอจะช่วยได้ แต่ไม่ยั่งยืน ตราบใดที่มนุษย์ไม่รู้ว่าลมหายใจของตัวเองคือลมหายใจของโลก ต้องรู้สึกได้ขนาดนั้น เหมือนเราโดนหยิก ต้องปัดออกทันที ตอนนี้โลกยิ่งกว่าโดนหยิกอีก แต่การรับรู้ว่าโลกถูกกระทำหรือโลกทุกวันนี้มันเข้ามาอยู่ในความคิดและความรู้สึก เลยคิดว่านิเวศน์แนวลึกเป็นทางเข้าสู่การเรียนรู้

กลุ่มเป้าหมาย
ผู้เรียนแต่ละคนมีพื้นฐานไม่เท่ากัน บางคนเป็นพระก็พอที่จะมีพื้นฐานการภาวนา แต่พวกหัดขับใหม่ที่ไม่มีพื้นฐานการภาวนาก็ดีไปอีกอย่าง เรียกว่ามีจิตของผู้ฝึกใหม่ คือไม่คาดหวัง มันลองดู แต่ถ้าจิตของผู้เชี่ยวชาญมันเรียนรู้ยาก เพราะฉะนั้นมองในแง่การประเมินไม่ได้มีมาตรฐานเดียว ดูผู้เรียนดูเหมือนจุดเครื่องบินขึ้น เครื่องบินออก แล้วไปลงอีกที่เขาได้อะไรบ้าง ซึ่งแต่ละคนบอกได้ว่าแต่ละคนได้คนละอย่าง แล้วยิ่งบอกว่าได้อะไรบ้าง ก็บอกว่าได้จากคนอื่นอีก บางคนพูดออกมา อีกคนรู้สึกว่าได้รับคำตอบเลย กระบวนการกลุ่มดีแบบนี้ ความหลากหลายก่อคุณภาพใหม่บางอย่าง
บางทีใช้กับพระ พระก็สนุก เขารับได้ ท้าทายสมมติฐานบางประการในความคิดพุทธศาสนาว่ามนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ประเสริฐในแง่ศักยภาพ ไม่ใช่ประเสริฐว่าคุณค่าดีกว่าสิ่งอื่น มันสามารถเท่านั้นเอง เก่งกว่าไม่ใช่ดีกว่า อีกเรื่องที่เป็นอุปสรรคที่ต้องถอดถอนในความคิดทางพุทธที่ถูกตีความมาแบบนี้ เรื่องคุณค่าที่ต่างกัน


กลุ่มคริสต์ท้าทาย กลุ่มที่เชื่อว่าพระเจ้าสร้างโลก มีความเชื่อว่ามนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาก่อน พร้อมสร้างสัตว์อื่นๆให้เป็นบริวาร จะพยายามนำเอาเนื้อหาการตีความใหม่ของคริสต์ที่มีแนวนิเวศน์เข้ามาใช้

ก่อนที่เราสร้างกระบวนการเราต้องศึกษาผู้เข้าร่วม ว่าจะเอาเนื้อหาอะไร จะตีความอย่างไร โดยเฉพาะพิธีกรรมบางทีคริสต์ แค่จุดเทียนเขากลัวแล้ว รู้สึกว่าเป็นพุทธ จุดเทียนในหมู่พุทธ ความเป็น ชนกลุ่มน้อยเป็นเรื่องท้าทาย เช่นจุดเทียน ถูกให้ความหมายยังไงในพิธีกรรมนั้น เขารู้สึกยังไงกับมัน ต้องพยายามรับรู้ว่าถ้าเป็นคริสต์ไม่เป็นไรน๊ะ ให้แสดงความคิดเห็นในกระบวนการเลยว่าอะไรที่รู้สึก สะดวก ปลอดภัย

นับเป็นมิติทางศาสนา แต่ถ้าเป็นเรื่องตำแหน่งแห่งที่ของเขาเช่นเป็นข้าราชการ ธุรกิจ มิติเหล่านี้มีผลทำให้เราต้องพยายามปรับกระบวนการ ส่วน ngo ก็มีแต่เป็นแนวอยากนิ่ง เลิกวุ่นวายกับความคิดเก่าๆ มาพักผ่อน เจอเพื่อนใหม่ๆ
ไม่ตายตัว ที่มีใครมีลักษณะตายตัว ทำให้จิตว่างยากมาก อยู่กับเรื่องที่คุย เช่นป่าไม้มาคุยเรื่องป่าชุมชน อันนี้ตำแหน่งแห่งที่ ป่าไม้ชัดเจน จะไม่รีบนำไปสู่การคุยเรื่องนี้จะค่อยๆพาเข้าประตู และพยายามค้นในตัวเขา เริ่มจากของเขาว่าเขารู้สึกไงกับชุมชน กับตัวเอง กับธรรมชาติ ซึ่งการประเมินการเตรียมตัว มีการเตรียมกับเสมโดยคุยว่าเป็นใครบ้าง กลุ่มอายุไหน มาจากไหน เสมเตรียมดีว่าใครมาไง ซึ่งเป็นการจัดให้เสมทั่วไปด้วย จัดให้พี่ทรงพล บัณฑิตคืนถิ่น

อีกอันเรื่องมิติชายหญิง ส่วนใหญ่ยังไม่มี แต่ถ้ามีเราต้องเข้าไปทำงานตรงนั้น เช่น การมีส่วนร่วมบางทีผู้ชายพูดเยอะ ผู้หญิงจะด้อยโอกาส แต่เท่าที่ผ่านมาค่อนข้างสมดุล เอื้อเฟื้อ 20 คน มากกว่านี้ ก็ 25-30 แต่ไม่ควรเกิน 25 จะได้ไม่ต้องตัดเค้กเยอะไปหน่อย แต่ยังมีความหลากหลายพอสมควร


จัดให้กลุ่มแวดวงเดียวกัน หรือความหลากหลายอันไหนให้เกิดการเรียนรู้
อันนี้แล้วแต่ มีหลายประตู คนที่อยู่องค์กรเดียวกัน มีความขัดแย้งมาก่อน ต้องมีการคลี่คลายบางอย่าง เตรียมพร้อมเพื่อเรียนรู้ใหม่ ให้แผลเรียบดีก่อน เป็นเรื่องยาก มีโจทย์ท้าทายอีกอันที่ทำให้อยู่ในองค์กรเดียวกัน สร้างกระบวนการเรียนรู้ กลับไปเรื่องชาวบ้านนิดนึง


ที่ชาวบ้านคิดว่าตัวเองมีคุณค่า มีชาวบ้านคนนึงซึ่งกล้าพูดแสดงออก คนมองว่าเขาเป็นปราชญ์ชาวบ้าน 3 วันหลังจากนั้นเขาบอกว่าเขาพบว่าเขาไม่ได้รู้ดีไปกว่าคนอื่น เขาก็พบว่าจริงๆเขาก็ฟังได้เหมือนกัน ไม่ต้องพูดตลอด อีกคนบอกว่าตัวผมเองก็ด๊อกเตอร์ได้เหมือนกัน คืนวันแรกๆมีความงงบางอย่าง ผมจะไม่อธิบายอะไรมาก เพราะรู้สึกว่ามันอยู่ในตัวความคิดมากกว่า เขาก็ว่ากัน 2 วันแล้วน๊ะ ยังไม่สรุปอีกเหรอ ผมก็ว่า 2 วันที่เราคุยกันมามันคืออะไร ต้องถามตัวเอง อยากได้ความรู้สำเร็จรูป นิยามไปเลยมันคืออะไร วันที่ 3 ผมแค่ช่วยสรุปนิดเดียวว่าสิ่งที่คุณรู้นั่นแหละ
หมายความว่าคนอาจเข้าใจนิเวศน์วิทยาแนวลึกต่างกันเลยก็ได้
แน่นอนครับ ไม่มีคำตอบสำเร็จรูป ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ว่าพูดเพื่ออะไร จะให้ถูกต้องตามวิชาการว่านายอนาเนสเป็นใช้คำนี้ก่อน ถ้าจะใช้อย่างนี้มันก็ไม่ยาก หาได้

เนื้อหาและกระบวนการ
เนื้อหา
ในเรื่องแตกออกไปหลายเรื่องเช่นนิเวศน์วิทยาชนเผ่าซึ่งตอนนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ แต่ในแวดวงวิชาการ เรียก spiritual ecology นิเวศวิทยา เชิงจิตวิญญาณได้รับการยอมรับมากขึ้น เพราะมีความจำเป็นมาก เพราะกระบวนการรักษาสิ่งแวดล้อม เชิงอนุรักษ์ เป็นการรักษาเพื่อประโยชน์ต่อมนุษย์ แต่ไม่ใช่เพื่อต่อธรรมชาติเอง เรายังใช้คำว่าทรัพยากรอยู่ ซึ่งเป็นคำที่มาจากกรอบคิดเดิมที่มองว่าธรรมชาติเป็นทรัพยากร เช่นเต่าบอกมนุษย์เป็นทรัพยากร เราก็เอ๋ เราเป็นมนุษย์ เรามีชีวิตของเรา นิเวศน์แนวลึกมีแนวคิดว่าทุกชีวิตมีวิวัฒนาการเพื่อไปสู่ศักยภาพที่ดีที่สุดของมันเอง แล้วถ้ามองในแง่ของพุทธคือว่าทุกสิ่ง
กลับไปดูที่ทฤษฎีกาย่า โลกนี้มันหายใจได้ ก้อนหิน ที่นี้การไม่ว่าจะเป็นพุทธก็ดีหรือว่าภูมิปัญญาของชนเผ่าก็ดีก็พูดเรื่องเดียวกัน ชนเผ่านี้เค้าจะถือว่าในอย่างขวัญปากะญอ 37 ขวัญ ขวัญทั้งหลายของมนุษย์มี 37 5 ขวัญอยู่กับเราอีก 32 อยู่ในธรรมชาติหมดเลย ฉะนั้นคนหนึ่งจะมีสุขภาพที่ดี กาย อารมณ์แล้วก็ความคิดหมดเลย สุขภาวะโลกก็ต้องดีด้วย แค่เนี้ยถ้าเข้าใจแล้วก็ต้องดูว่าเชื่อมโยงกันอย่างไร


กระบวนการกว้าง ๆ
ความคาดหวังนี่ถาม แต่ไม่ถามว่านิเวศน์วิทยาแนวลึกคืออะไร เราพยายามให้เขานิยามของเขา แต่ไม่ได้มีคำตอบตายตัว ผมหลีกเลี่ยงคำของตัวเอง ให้เขานิยาม เดินก่อน แล้วผมนิยามเดินไปกับเขา ช่วยจับคำเขาขึ้นมาใช้ ใช้คนละอย่าง พูดเรื่องเดียวกัน แต่ใช้คำคนละอย่าง ผมไม่อยากใช้คำช๊อคเขา เวลามีคำอย่างนิเวศน์วิทยาแนวลึก ผมแสดงอำนาจน๊ะ เพราะผมเป็นผู้เลือกตีความ ผมรู้สึกอย่างนั้น ผมใช้ความรู้สึก พอเริ่ม อะไรว่ะ ตุ๊บเลย งงเลย เป็นการร่วมมากกว่า ไม่ใช่อะไรก็ได้ บางทีการสร้างความเข้าใจร่วม ร่วมไม่ใช่ทุกอย่าง แต่มันเนี่ยๆ แต่มันไม่สามารถใช้คำๆเดียวอธิบาย แต่ในตัวกระบวนการสืบค้น เขาเองก็สืบค้นว่าเรื่องนี้เขาใช้คำว่าอะไร พูดออกมาอย่างไร เขาเข้าใจอย่างไร ผมก็พยายามเข้าใจวิธีคิดของเขาด้วย


หลายวิธีการ ผมเรียนรู้มาหลายสำนักคิด หลายวิธีการ ส่วนใหญ่มีความคล้ายคลึงกันหลายอย่าง เริ่มจากประสบการณ์ตรง แบบชาวบ้าน เกิดการคิด ตั้งคำถาม เชื่อมโยง หารูปแบบ หารูปแบบ ทฤษฎี ไปสู่การปฏิบัติ แล้วประยุกต์ใช้ กลับวนไปที่ประสบการณ์ตรงทุกครั้งที่เป็นแบบนี้ เป็นหลักคิด ทฤษฎีหรือคำมาทีหลัง ภาษามาทีหลัง เริ่มจากประสบการณ์ตรง ไม่ว่าอดีต หรือปัจจุบันทั้งหมด ในฐานะกระบวนกร จะเริ่มตรงนี้ ไม่ว่าเป็นประสบการณ์ตรงในปัจจุบันและประสบการณ์ตรงที่เกิดมาจากเล่า ค่อยดูว่าเป็นคำไง รูปลักษณ์ไง ดีที่สุดการเรียนรู้ของผม คือเข้าไปเรียน ถามว่าหนังสือมีเยอะไหม เยอะน๊ะเรื่องกระบวนการเรียนรู้ ทางสันติวิธีทางอเมริกามีเยอะมาก ออสเตรเลีย เปาโลแฟร์ พูดถึงการศึกษาสำหรับผู้ที่ถูกกด ก็ต้องถอดถอนวัฒนธรรมของความเงียบ culture of silent เพราะปิดกั้นกดทับ มันต้องทำให้คนที่รู้สึกด้อย รู้สึกไม่ด้อย นี่เป็นอีกทฤษฎีนึง

ไปเข้าครอส มีครอส เคยเข้า 21 วัน ที่อาศรมจัด จอร์จ สเลกี้ ทำเรื่อง training for change การฝึกอบรมเพื่อการเปลี่ยนแปลง อายุ 60 กว่าแล้ว ทำมา 40 ปีแล้ว เป็นชาวอเมริกา จัดครอสที่อเมริกา เพนซิวาเนียทุกปี ถ้าหาทุนได้ น่าไปเรียนมาก ที่นาโรปะก็มีครอสแบบนี้ไม่น้อย ผมได้อะไรจากนาโรปะเยอะมาก นาโรปะมีมิติเรื่อพิธีกรรม มีคอรสสั้นๆ เหมือนเสม จอร์จไม่มีมิติพิธีกรรม แต่มีจิตวิทยากลุ่ม การทำงานกับเรื่องอารมณ์ การทำงานกับความขัดแย้งกับกลุ่ม เขาทำเรื่องสันติวิธี นาโรปะ ถ้าต้องการปริญญาต้องมี TOFEL ปริญญาโท 2 ปี ส่วนใหญ่ก็ 2 ปีครึ่ง ผมเรียนโทเรื่องสิ่งแวดล้อม มีครอสอดอาหารทะเลทราย 3 วัน กินน้ำอย่างเดียว มีครอสแปลกๆ สนุกๆ เข้าใจตัวเอง หลากหลาย แต่ถ้าครอสสั้นไม่ต้องมีปริญญา 3 เดือน

เอกสารอ่านเพิ่มเติม
เรามีเวลาจำกัด แค่ 10 วัน การให้เขาไปอ่านเพิ่มเติม เรามีการปรับเปลี่ยนหา
ทางแก้ปัญหาให้บรรลุผลได้อย่างไร เรามีงานเขียนบางส่วนให้เขาไปอ่าน และส่วนที่ผมเขียนขึ้นมาเอง อย่างน้อยให้รับรู้ตรงๆ เช่นนิเวศน์แนวลึกคืออะไร ความเคลื่อนไหวในต่างประเทศ ระบบคิดอื่นๆที่สอดคล้องไปด้วยกัน เช่นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ทฤษฎีระบบ งานเขียนบางส่วนผมก็จัดให้เขา

วิวัฒนาการของชีวิต
ตัวกระบวนการแต่ละกลุ่มก็ไม่เหมือนกัน ดูความพร้อม พยายามนึกอยู่เพราะจัดน้อยมาก เลยไม่ค่อยได้ปรับอะไร เวลาทำกระบวนการจะเลือกตามสถานการณ์นั้นๆ ซึ่งจะมีกระบวนการที่ทำให้เข้าใจเรื่องวิวัฒนาการของชีวิต อันนี้เป็นชุดความรู้อีกอันนึง มาจากวิทยาศาสตร์ใหม่ จักรวาลเกิดมากี่ปี โลกกี่ปี สิ่งมีชีวิตสิ่งแรกเกิดเมื่อไหร่ กว่าจะเป็นเรา ยุคทำลายล้าง อุตสาหกรรมนิยม นี่เป็นอีกชุด จะเห็นมิติเรื่องการเดินทางของเวลา

สภาสรรพสิ่ง
อีกอันนึงที่ใช้ ที่ออสเตรเลียก็ใช้คือสภาสรรพสิ่ง สภาสรรพสิ่งคือกิจกรรมสวบบทบาทเป็นสิ่งมีชีวิตอื่นๆที่ไม่ใช่มนุษย์ แล้วมานั่งคุยกัน เหมือนเกมส์ เหมือนเด็กๆ คนได้ใส่หน้ากากสวม
แต่บางคนก็ทำภายใต้ความเป็นมนุษย์น๊ะ เพราะคนเราก็ไม่รู้นิไอ้เต่าจะคิดไง ทำไง
ใช่ หนีไม่พ้น แต่เราพยายามจินตนาการ

despair work แล้วอีกอย่างหนึ่งนิเวศน์แนวลึกเน้นเรื่องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์เองทั้งในระดับปัจเจก แล้วก็แนวนโยบาย คือสิ่งที่เป็นอยู่ในระบบโลก ที่ถลุงและขุดเอาธรรมชาติมาใช้ที่ยืนอยู่บนพื้นฐานทุนนิยม อุตสาหกรรมนิยมคือต้องเปลี่ยนไงถ้าไม่เปลี่ยนไปไม่รอด นี้คือสมมติฐานของนิเวศน์แนวลึก จะมีเครื่องมือมาจัดกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวข้องกับงานที่เรียกว่า despair work

ธรรมยาตรา
ทุกวันนี้ความเจ็บป่วยอันหนึ่งของสังคมสมัยใหม่ไม่มีหวังคือไม่คิดว่าโลกจะเปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม คืออับจนจินตนาการ พัฒนาวิธีคิดแบบวิพากษ์วิจารณ์จนมองอะไรลบไปหมดเลย มันก็จะไปเติมวงจรของความเป็นลบมากขึ้น เพราะว่ามีพื้นฐานอีกอันหนึ่งคือความกลัว งานอันหนึ่งในการจัดการขบวนการการเรียนรู้คือเข้าไปดูความกลัว ความทุกข์ คือตรงกับหลักพุทธเลยเข้าไปดูความทุกข์เป็นหนึ่งเดียวกับความทุกข์ เข้าใจ การจัดการความรักหรือว่าการริเริ่มอะไรบ้างอย่างน่าจะมาจากตรงนี้ มากกว่าจะเป็นการสอนอะไรถูกหรือผิดต้องมาจากผู้เรียนเองมันจะมองเห็นว่าอย่างคนทางใต้เป็นพี่น้องเรา คือไม่ทำอะไรไม่ได้ แล้วก็โดยตัวกระบวนการเองก็จะจัด เช่นการจัดธรรมยาตรา ใช้วิธีประสบการณ์มือหนึ่งมากชุดจะได้เป็นความรู้แฝงเร้น ซึ่งหนังสือ วิดีโอ สื่อต่าง ๆ ไม่สามารถให้ได้ครบส่วน ต้องใช้ประสบการณ์ตรง ไม่ใช่ความรู้ตัดทอน แต่ว่าเรื่องการอ่านความเข้าใจในความคิดแบบเหตุผล มันก็แฝงในนั้น แต่จะใช้ประสบการณ์ตรงเป็นตัวตั้ง แล้วก็ใช้หลักความเท่าทันตัวเอง แล้วก็ความมีสติแบบพุทธช่วยทำให้การรับรู้ละเอียดขึ้น
มันเป็นการเดินทาง ไม่ใช่เป็นก้อนๆ ต้องปูพื้นด้วยความเข้าใจ อย่างจัดธรรมยาตรา เราใช้การรับฟังเรื่องราว ใช้หลักการการเป็นสักขีพยานเป็นการเรียนรู้ การเป็นสักขีพยานคือการเรียนรู้อย่างไม่ตัดสิน รู้เท่าทัน การตัดสินของตัวเอง ท้าทายตัวเองให้ออกมาจากความคุ้นเคยหรือสะดวกสบาย ไม่ว่าพื้นที่เดิมเป็นพื้นที่ทางความคิด หรือเป็นพื้นที่ทางกาย ออกจากพื้นที่ไข่แดงที่มันจมจ่อมอยู่ในพื้นที่ความคิดชุดเดิม การออกมา การไปสัมผัสกับประสบการณ์ตรง เหมือนพระธุดงค์ที่แสวงหาความคิดสดใหม่ตลอดเวลา เพราะไม่ต้องการอยู่กับความคุ้นชินเดิม การเรียนรู้การเป็นสักขีพยาน ไม่ว่าการรับฟังการดู นิทานปรับปรา เรื่องเล่าและรับรู้จากคนทำงานในท้องถิ่น ngo ในท้องถิ่น เสียงของเจ้าหน้าที่รัฐบาลในท้องถิ่นเพื่อให้เข้าใจเสียงหลายๆเสียง แต่โดยตัวกระบวนการคนที่เข้าไปอยู่กับชาวบ้าน ธรรมยาตราไม่ใช่เข้าไปเพื่อแก้ปัญหา เพราะชาวบ้านเป็นคนบอกเอง ชาวบ้านเป็นวิทยากรนิเวศน์แนวลึก ชาวบ้านบอกเองว่าสิ่งที่เขาต้องการที่สุดไม่ใช่คนมาแก้ปัญหาแต่มีคนมาฟัง มารับรู้ ปัญหาเขารู้อยู่แล้ว เขาแก้มา การมาช่วยแก้ปัญหาเป็นสิ่งที่เขาต้องการ แต่การต้องการเพื่อนเยอะมาก มารับรู้รายละเอียด ไม่ใช่การประชุม 2 ครั้ง แล้วมาแก้ปัญหา เสร็จ รับรู้ ต่อเนื่อง

กระบวนการเรียนรู้ภายใน
ถ้ามองในแง่สมอง การเรียนรู้จะช่วยทำให้ปรับคลื่นสมองมีความถี่สูงคลื่นเบต้าที่วิ่งหมุน 14 รอบต่อวินาที ให้ลงมาละเอียดขึ้นเป็นคลื่นอัลฟ่าลงมาเป็น 7-14 รอบต่อวินาที ซึ่งจะช่วยให้วิธีการก็เยอะแยะ เช่นฟังดนตรี เดินภาวนา นอนภาวนา แต่เมื่อสมองโอเปอเรตในคลื่นอัลฟ่าการรรับรู้จะละเอียดมันจะเริ่มใช้สิ่งที่มนุษย์มีแต่ไม่ค่อยได้ใช้คือการมองตัวเอง การช้าลงแล้วกลับมามองตัวเอง สิ่งที่เราเห็นคืออะไร เราเห็นปั้บเราบอกเป็นต้นไม้ เราให้ความหมายว่ามันเป็นต้นไม้ ดูอีกที่ซิเราจะมองข้ามพ้นความคิดของเราเองว่าต้นไม้ควรจะเป็นอย่างไรหรือเปล่า แต่มองให้เห็นว่าต้นไม้เป็นอะไรจริงๆหรือเปล่า มองให้เห็นว่าความทุกข์คืออะไร ซึมให้มันนานๆ มองนานๆ พยายามเข้าไปคลุกคลี นัวเนียกับประสบการณ์ที่อยู่ตรงหน้า จนแยกไม่ออกว่านั้นเป็นปัญหา นั่นไม่ใช่ปัญหา แต่เข้าไปถึงความซับซ้อนของปรากฏการณ์ เวลาพูดถึงความซับซ้อนหมายถึงเหตุปัจจัยเยอะแยะไปหมด วิธีคิดที่พยายามมองหาเหตุเดียวเช่นทุนนิยมเป็นตัวการ ความคิดนี้มีปัญหา เพราะเห็นเหตุเดียว หรือป่าไม้เป็นตัวการ นี่เป็นปัญหา ก็ต้องสืบค้นต่อว่าหมายความว่าไร มีเหตุปัจจัยเต้นระบำอยู่เยอะมาก เหตุปัจจัยจากตัวชุมชนที่ดูเหมือนถูกกระทำด้วย

หมายถึงปัญหามาจากหลายสาเหตุมาผสมกัน แนวคิดที่ว่าทุนนิยม บ้างว่าป่าไม้เป็นเหตุ หรือชุมชนเป็นเหตุ ไม่ได้มองว่าชุมชนโรแมนติกอย่างเดียว ถึงที่สุดต้องมองว่าตัวเองเป็นเหตุ แล้วกรณีที่ตัวเองไม่ได้เป็นเหตุ การมองว่าตัวเองเป็นเหตุไม่ได้เป็นปัญหาหรือ หมายถึงตัวเองเกี่ยวข้องกับตรงนั้นด้วย ไม่ใช่ single cause พยายามแสวงหาความคิดที่ไม่ใช่เส้นตรงเพื่ออธิบายเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของสันติวิธี คือค้นแนวคิดเชิงขั้วตรงข้าม เพราะมีขั้วมันต้องการทำลายล้าง ท่านนัท ฮันส์ เป็นตัวอย่าง เป็นแนวคิดนิเวศน์วิทยาแนวลึกมากๆ เป็นสันติวิธี เป็นพุทธ ไปพ้นความคิดเชิงขั้วปฏิปักษ์ เพื่อเข้าไปอยู่ในสังสารวัฏ เป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย ที่ต้องดำเนินทางไปด้วยกัน ไม่ใช่ไปตัดคนใดคนหนึ่งออก นี่คือสิ่งที่คิดอยู่ในใจว่า นิเวศน์วิทยาแนวลึก เรียกชื่อนี้ไปก่อน แต่สิ่งที่อยากให้สืบค้นคือสิ่งที่พูดมาทั้งหมด

พิธีกรรม
มีอีกเรื่องนึงเรื่องการเข้าใจถึงพิธีกรรมในฐานะของกระบวนการเรียนรู้ ในฐานะการเข้าถึงความรู้ในทางราบ ผมไม่อยากใช้คำว่าลี้ลับ แต่เป็นเรื่องรหัสนัย ไปพ้นความคิด เวลาเราอยู่ในพิธีกรรม เราอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ที่ละเอียดอ่อนมาก และอยู่ที่ว่าเราทำพิธีกรรมอย่างไรด้วย ถ้าสักแต่ว่ากายเคลื่อนไหว ปากพูดขมับ แต่ไม่ได้เปิดใจรับรู้มัน เช่นพิธีผูกขวัญ ผูกขวัญเป็นการเรียนรู้มหาศาล เป็นทั้งกระบวนการเรียนรู้ และกระบวนการเชื่อมสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชน และผู้มาใหม่ และสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเรา ขวัญที่ยิ่งใหญ่ ขวัญของโลก
ถ้ามองในแง่การศึกษา มันขาดหายไปในสังคมสมัยใหม่เยอะมาก พิธีกรรม และไปคิดว่าพิธีกรรมเป็นเรื่องของศาสนา ศาสนาใดศาสนาหนึ่งไม่ปนเปกัน คิดว่าพิธีกรรมมีอยู่แล้ว และนำมาใช้ใหม่ หรือเป็นพิธีกรรมที่สร้างขึ้นมาใหม่ พิธีกรรมที่ผู้เรียนต้องค้นหาว่าเราต้องสร้างอะไรขึ้นมาให้ตัวเอง พิธีกรรมมีนัยะมิติความศักดิ์สิทธิ์ เรารู้สึกสิ่งที่เราทำ เราสัมผัสมีชีวิตเท่าๆกับเรา มีความงามมีศักดิ์ศรีในตัวเอง ไม่ใช่แค่พาไปดูบวชป่า แต่มันรับรู้ที่ละเอียดมาก ถึงเข้าไปรู้ว่าบวชป่าคืออะไร ถ้าเราเป็นต้นไม้เรารู้สึกอย่างไรถ้ามีคนมาบอกว่าอยู่นานๆ


การบวชป่าเป็นการยกมาเพื่อต่อสู้เชิงนโยบาย การเมือง มากกว่าการทำงานแม้ว่าจะเป็นสิ่งที่ทำมา อย่างนี้เรียกเป็นพิธีกรรมไหม อย่างนี้เป็นพิธีกรรม ถือเป็นการสื่อ ทั้งการสื่อสองทาง บอกคนอื่นด้วย บอกผู้มีอำนาจ
และบอกพวกเรากันเองด้วย สื่อบอกต้นไม้ด้วย


การปลีกวิเวก
อีกกระบวนการนึงที่ค่อนข้างส่งเสริมให้ผู้เรียนใคร่ครวญ พออยู่กับชุมชน 2-3 วัน บางทีมากกว่านั้น 4-5 วัน ก็มีช่วงเวลาของการอยู่วิเวก อยู่คนเดียวกับธรรมชาติ ปลีกวิเวก 1 วัน 1 คืนอย่างน้อย มีการอดอาหาร กินน้ำ ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้เข้มข้นอย่างนึงเพื่อเพิ่มกระบวนการใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ภาษาพุทธเรียกว่าโยนิโสมนัสิการ เข้าไปสัมผัสแล้วต้องมีเวลาในการใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ถึงความสัมพันธ์ของตัวเอง มีเรื่องเกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด ช่วงเวลาที่อยู่คนเดียว บางทีคิดถึงชีวิตตัวเองเกิดมาทำไม บางทีมาเห็น มาเรียนรู้อย่างนี้แล้ว มันต้องปรับชีวิตอย่างไร เป็นการภาวนา บ่มเพาะ รับพลังจากธรรมชาติ ให้มันคลี่คลาย และการสืบค้นจะลงลึก และค่อยให้เห็นจังหวะและเวลา บทบาทตัวเองว่าจะวางตัวเองไว้ตรงไหนของชีวิตในสิ่งที่เกิดขึ้น และพอออกมาจะนั่งคุยแลกเปลี่ยน มันจะมีระดับของการเรียนรู้ อยู่กับชุมชน กับตัวเอง กับกลุ่ม เวลาอยู่กับกลุ่ม จะทำ dialog แต่ก่อนเขาเรียกเป็นสภา สภาแห่งการรับฟัง เรื่องสิ่งที่เรียนรู้ข้างในของแต่ละคนโดยไม่ต้องมีข้อสรุป เพราะแต่ละคนจะมีคำตอบ มีการสรุปเอง เพราะการลำเลียงความเข้าใจของตนเองออกมามันจะฝึกให้ได้พูด ได้คิดให้ชัดขึ้น บนพื้นฐานว่ามันคงลำเลียงออกมาไม่ได้หมด มีความรู้บางอย่างที่เป็นความรู้แฝงเร้นที่ไม่สามารถพูดออกมาได้


ฟังเหมือนหลักการคือกระบวนการให้เราอยู่กับตัวเองมากที่สุด ภายใต้บรรยากาศที่มีคนอื่น ที่ให้เราตกผลึกทางความคิดใช่ไหมค่ะ

ใช่ ให้ความคิดออกมาโดยไม่จำเป็นต้องไปคิดกับมัน ให้จิตไร้สำนึกซึ่งมี97% ภูมิปัญญาที่เรามี ไอ้ที่คิดๆ คิดได้ทั้งหมดคือ 3 % แต่จิตใต้สำนึกจะมาตอนเรารู้สึกผ่อนคลาย อาบน้ำ อยู่คนเดียว หรือเล่นดนตรี คลื่นอัลฟ่าช่วยทำให้จิตไร้สำนึกผุดพรายขึ้นมา โผล่ปรากฏ การอยู่คนเดียวเป็นกระบวนการหนึ่งที่ช่วยให้

จุดเด่นของกระบวนการ
กระบวนการเรียนรู้ ความรู้ต้องมาจากธรรมชาติ มาจากตัวเขาเอง ผมไม่ใช้คำว่าวิทยากร เพราะวิทยากรมีความหมายกรอบคิดอยู่ที่ว่าผู้ให้ความรู้ แต่ถ้าเรามองว่าเราเป็นผู้เอื้อกระบวนการเราน่าเป็นกระบวนกร และทุกคนเป็นวิทยากร ถ้ามีคนเรียกเราว่าวิทยากร ต้องเรียกตัวเองว่าวิทยากร ทุกคนเป็นวิทยากรด้วย คือความรู้เกิดจากทุกคนช่วยกันสร้างขึ้นมา


ที่นี้กระบวนการที่เข้าไปเอื้อให้เกิดกระบวนกร มี pattern ไหมค่ะ ว่าต้องให้เกิดอย่างนี้ กับอย่างนี้ หรือใช้กระบวนการภายใต้เงื่อนไขอย่างไรบ้าง

แต่ละกระบวนการก็แล้วแต่กลุ่ม แต่โดยทั่วไปต้องสร้างพื้นที่ในกลุ่มของการรู้จัก วางใจ ปลอดภัย มิตรไมตรี เป็นประตูเข้าของการเรียนรู้ เพราะการจะไปสู่ดินแดนของความไม่รู้มันไม่ได้อยู่ที่อื่น มันอยู่ในตัวเองแหละ ของความรู้ใหม่ๆ เพียงแต่เรามีกรอบบล๊อคมันไว้ เพราะฉะนั้นต้องมีความไว้วางใจสูงเพื่อกล้าสืบค้น กล้าท้าทายกรอบคิดของตัวเอง กล้าท้าทายสมมุติฐานเดิมๆที่ถูกฝังลึกเช่นความคิดเรื่องผู้หญิงเป็นแบบนั้น ผู้ชายเป็นอย่างนี้ ซึ่งบางอย่างเข้าไปจี้จุดมากๆ บางคนเป็นคนจีน เข้าไปดูซิว่ารากคนจีนเป็นอย่างไร ถูกฝังความอายไว้ในสมอง หรือโดยบุคลิกภาพ มีประตูเข้า เมื่อไปสู่กระบวนการเรียนรู้ ส่วนกลางมีกระบวนการที่หลากหลาย ต้องฝึกการรับฟังที่ลึกซึ้ง ซึ่งเชื่อมโยงกับการปรับคลื่นความคิดตัวเองให้ช้าลง เพื่อให้เห็นชัดถึงความคิดเดิม และความคิดใหม่


อุปสรรคในการเรียนรู้
· ระยะเวลา /ความต่อเนื่อง / ความหลากหลายของผู้เรียน
เรื่องข้อจำกัดความต่อเนื่องของผู้เรียนและความหลากหลาย ผู้เรียนที่มาเรียน เจอกันบ่อยๆมีไม่มีกี่คน หลายคนเป็นพระ ซึ่งเป็นอาชีพที่มีเวลาเยอะที่สุด ผมรู้สึกว่ามันยังไม่ให้ภาพละเอียดมาก คิดว่าเขาได้อย่างที่เราไม่คาดหวังว่าต้องได้ อย่างที่พูดไปทั้งหมดตั้งแต่ต้น อย่างเรื่องวิกฤตินิเวศน์วิทยายังไม่ได้ให้เขาลงลึกมาก จากงานศึกษาทางวิชาการก็ดี มีข้อจำกัดเรื่องเวลา บางทีวางหลักสูตร เจอกัน10 วัน เป็นกิจกรรมทั้งหมดเลย ไม่ได้มี assessment ให้ไปค้น เพราะถ้าทำเต็มที่มันจะเยอะ รู้สึกว่าต้องอยู่ด้วยกัน ต้อง 2-3 เดือน
ตอนตัวเองอยู่เชียงราย เคยมีความคิดว่าอยู่เชียงรายด้วยกัน เป็นวิทยาเขตเสม เชียงราย ทำกิจกรรม มีเวลา มีความต่อเนื่องพอควร ในเงื่อนไขที่จำกัด เสมจัดเยอะมาก
เป็นข้อจำกัดว่าเยอะจนไม่รู้ว่าอะไรลงลึก ได้หลักการขั้นต้น เหมือนเขาอยากได้ทุกมิติ
บางทีกระบวนการเรียนรู้ไม่ได้หลายมิติ เป็นเรื่องจิตใจ ความรู้ข้างนอก เรียนรู้สังคม คิดถึงการเรียนรู้แบบเดิม โบราณ ต้องไปอยู่กับอาจารย์ ลูกศิษย์อาจารย์ชาต้องไปอยู่กับอาจารย์ชา จะเรียนรู้จากเชียงราย ก็ต้องไปอยู่ที่เชียงราย เชียงรายก็มีความรู้ด้านอื่น ไทเก็กก็เข้าถึงนิเวศน์แนวลึกได้ ต้องมีประตูหลายทาง แต่ไปเข้าประตูเดียวหมด แล้วผู้เรียนจะเป็นคนเลือกเอง เวลาเข้าไป แล้วเขาอยากไปไหนต่อ อันนี้เป็นคล้ายหลักโฮมสคูลด้วย โฮมสคูลจะรู้เลยว่าเขาต้องการอะไร แล้วจะเพิ่มการเรียนรู้ของเขา แต่จัดเป็นโปรแกรมแบบนี้ผมไม่แน่ใจ มันอาจจะดีตรงที่เป็นการจัดที่เราคุ้นเคย ต้องจัดเยอะๆจะได้เห็นจิกซอว์ทุกตัว บางทีจากจุดนึงอาจโยงไปได้ อันนี้น่าจะเสนอถึงเสม เป็นอีกรูปแบบนึงของกระบวนการเรียนรู้ ไปอยู่ที่เลย มีความต่อเนื่องพอควร

การประเมินผล
· วิธีการประเมิน
ใช้เกณฑ์ที่ดูว่าสิ่งที่เขาได้รับคืออะไร และมีผลต่อการดำเนินชีวิตอย่างไร ซึ่งมันอาจตอบ
ได้ยากเพราะมันกลายเป็นวิธีในไร้จิตสำนึกไป แต่คิดว่าเป็นคำถามที่ควรจะถามอย่างยิ่ง
การประเมิน คำว่าเกณฑ์ ถ้าเราตั้งคำถามแบบนี้มันจะปิดคำถามอื่นๆหรือเปล่า พอบอกว่ามีเกณฑ์ เพราะรู้สึกคำว่าเกณฑ์มันมีมาตรฐาน แต่ถ้าเราใช้คำถามเปิดธรรมดา แล้วให้ผู้เรียนให้ความหมายเองว่าเขาเติบโตอย่างไร เปลี่ยนแปลงอย่างไร มากน้อยขนาดไหน ที่นาโรปะใช้กระบวนการแบบนี้ เพื่อนด้วยมองเราอย่างไร เห็นการเปลี่ยนแปลงเราไหม เราประเมินครูอย่างไร ที่นาโรปะ เราประเมินตัวเองอย่างไร คนอื่นเห็นเราอย่างไร เราประเมินครูอย่างไร ครูเห็นเราอย่างไร เราดูครูอย่างไร ตัดอำนาจทั้งหมด โอเคครูใส่เกรด แต่เราให้ตัวเองเท่าไร แล้วครู โอเคเห็นด้วย มันฝึกระบบซื่อสัตย์ บางคนบอกผมได้ 4 เพราะผมจะไปศึกษาต่อ ก็ต้องให้ตามนั้น แต่ครูว่า เอน่าจะได้มากกว่านั้น การประเมินเพื่อได้grading ขึ้นมา ระบบที่เป็นอยู่ไม่เปิดโอกาสให้คนเรียนได้ตีความเอง เขาอาจได้อย่างที่เราไม่รู้ก็ได้ แต่อย่างน้อย เขาน่าได้มีโอกาสได้แสดงระดับการเรียนรู้



· ตัวชี้วัด
พูดถึงนิเวศน์วิทยาแนวลึกแบบชาวบ้านๆ ซึ่งเป็นกระบวนการยาวนานเพราะเป็นวัฒนธรรมที่สั่งสมกันมา ทั้งจากระบบคิด วัฒนธรรมความเชื่อที่ผลิตซ้ำกันมาร้อยๆปี ถึงแม้มีการตีความใหม่ แต่จะอยู่บนเงื่อนไขการปรากฏจริงเช่นการผลิตของเขา การทำมาหากิน สัมพันธ์กับป่ายังไง จะมีคล้ายสถาบันทางสังคมมากำกับอย่างเช่นมีผู้พิธีกรรม มีพิธีกรรมที่เป็นวาระประจำปีเช่นเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จมีพิธีทำบุญข้าวใหม่ ดังนั้นจึงเป็นกระบวนการร้อยรัดเป็นระบบยาวนานพอควร ดังนั้นการให้ความหมาย การตีความจากพิธีกรรมเป็นการตีความจากระบบชุมชนร่วมกัน แต่กระบวนการแบบนั้นถ้าเราจัดขึ้นมา มันค่อนข้างยาก เพราะในความเป็นจริงแม้เรามีกระบวนฝึกอบรม พยายามจัดเงื่อนไข เช่นไปตีความธรรมชาติ เดินดู แล้วมา dialog กัน โอเค แต่ละคนให้ความหมายในเชิงปัจเจก ออกมาจากกระบวนการเหล่านี้ ถ้าเราคิดว่ากว่าชาวบ้านจะสร้างระบบคิด ความรู้เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งมหาศาลและต่อเนื่องยาวนาน แต่ชีวิตคนสัมพันธ์กับเรื่องอื่น วุ่นวายซะมาก ปีนึงเราอาจมาอบรมสักไม่รู้กี่เดือน เสมกำหนดมาเท่าไหร่ แล้วไปฝ่าฟันกับเรื่องอื่น แล้วอาจไปสู่หลักสูตรอื่นๆที่อาจไม่ได้เป็นกระบวนการต่อเนื่องเท่าไหร่ แล้วสิ่งที่เราสร้างสรรค์กระบวนการจะได้ผลมากเท่าไหร่ เพราะถ้าเราเปรียบเทียบกับกระบวนการท้องถิ่น แม้ขณะมีสถาบันที่เข้มแข็งยังมีการเปลี่ยนแปลงมหาศาล กระเหรียงที่พูดเรื่องขวัญยังเอามากำกับเรื่องป่าไม่ค่อยได้ เพราะถูกบีบ ข้างในเขาก็เปลี่ยนระดับหนึ่ง ตรงนี้จะช่วย input ได้มากน้อยแค่ไหน เขาอบรมกับเรา แล้วเขาต้องฝ่าฟันข้างนอกแล้วต้องกลับมา ชาวบ้านอยู่กันอย่างนี้ ยังต้องสู้กันหนักเลย
เป็นความคิดที่ดี มีความเห็นอย่างน้อย 2 ประเด็นคือประเด็นการรับรู้ความรู้ที่สั่งสมและแฝงอยู่ในชีวิต การรับรู้พิธีกรรมคงไม่ใช่ที่เราจัดขึ้นเอง แต่เป็นการเข้าไปร่วม เข้าไปรับรู้ แค่ช่วยให้ได้สัมผัส ความคาดหวังผม เหมือนเป็นประตูเปิด ไม่คาดหวังว่าผู้เรียนจะรู้สึกนึกคิดเท่าชาวบ้านคนนึงรู้สึกนึกคิด เพราะนึกคิดไม่เหมือนกัน แต่รู้สึกร่วม เป็นไปได้ รู้สึกผูกพัน มีความสำคัญ มันมีความแตกต่างแน่นอน มีการสั่งสมกรอบคิด ระบบ filter ทางความคิดมาเยอะ ถ้าพยายามเปิดระบบการรับรู้ทางความคิด


2 ถ้าถามเรื่องความยั่งยืนในการดูแลจิตสำนึกตัวเองในการเกื้อกูลกับตัวเอง กับโลก คงเป็นโจทย์ของฝ่ายชาวบ้านด้วย เป็นโจทย์เยอะมาก แต่อย่างน้อยมันช่วยให้เกิดการตั้งคำถามและไม่พยายามหาข้อสรุปที่เร็วเรื่องอะไรเป็นปัญหา อะไรเป็นเหตุหลักเหตุเดียว อย่างน้อยทำให้ผู้เรียนมีเครื่องมือเอาไปมองความซับซ้อนของบริบท อันที่ 2 ในแง่การภาวนา ในฐานะเป็นเครื่องมือช่วยให้ดำรงอยู่กับวิกฤติกับความคิด ซึ่งอันนี้ขึ้นอยู่กับผู้เรียนเอง โดยทางอุดมคติของเสมอุดม คือการสร้างชุมชน แต่ชุมชนนั้น ต้องถามว่ามันเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใด ผู้เรียนบางคนมีชุมชนของเขาอยู่แล้ว น่าจะมีระบบสนับสนุนในการอยู่อย่างที่เขาอยากอยู่อย่างที่เขาคิดว่าดี อย่างเกื้อกูล แต่ก็มีผู้เรียนแบบ บางคนเป็นชาวบ้าน ความคิดเกี่ยวกับนิเวศน์แนวลึก บางอย่างไม่ใช่แนวคิดใหม่ เป็นเรื่องที่มีอยู่แล้ว แต่มีความคิดใหม่บางประการเช่นชาวบ้านต้องการรู้เหมือนกันว่าตำแหน่งแห่งที่ของตัวเองบนโลกนี้คืออะไร เพราะข้อความที่สังคมตี ส่งให้กับเขาอยู่ตลอดเวลา เช่นเขาไปติดต่อราชการ เขาคือคนล้าหลัง ไม่พัฒนา แต่จริงๆแล้วมันมีข้อความอีกอย่างที่เขาไม่ค่อยได้ยินคือเขาเป็นครูของโลก ผมว่ากระบวนการนี้มันสนับสนุน เกื้อกูลกันและกัน

โดยสรุปแล้วเหมือนเงื่อนไขขั้นต่ำเป็นการเปิดประตูให้กับผู้เข้าร่วมกระบวนการ แต่ขึ้นอยู่กับความหลากหลายของผู้เข้าร่วมกระบวนการ แต่เขายังไม่ได้คาดหวังสมบูรณ์แบบถึงการปรับเปลี่ยนวิธีคิด ความรู้ พิธีกรรมต่างๆจากกระบวนการทั้งหมด เพราะเป็นเงื่อนไขที่เขาไปสัมพันธ์กับชุมชนข้างนอก เราเป็นแค่เงื่อนไขจุดหนึ่ง แต่ถ้าดูความสำเร็จของกระบวนการนี้ เราคงต้องดูว่ามันสามารถเปิดประตูได้ แต่ไม่ถึงขั้นการประเมินเรื่องการปรับเปลี่ยนวิกฤติ ระบบพฤติกรรม แล้วไปทำให้ชุมชนเข้มแข็งเชิงนิเวศน์แนวลึก ยังคาดหวังแบบนั้นไม่ได้

ภายในกระบวนการพี่เห็นการเปิดประตูในช่วงระยะเวลานี้บ้างไหม เปิดเยอะเปิดน้อย เปิดลักษณะไหน เป็นอย่างไรบ้าง ตอนเปิดเป็นอย่างไรบ้าง

มีหลายแบบ บางคนรู้สึกเข้าใจโลกมากขึ้น เข้าใจที่มาของตนเองมากขึ้นในแง่เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง การเดินทางยาวนาน วิวัฒนาการจากแบคทีเรีย เห็นมิติยาวนาน มีหลายพวก พวกที่ถูกฝึกให้คิดทางวิทยาศาสตร์ เราก็เอาวิทยาศาสตร์ไปตี เอาวิทยาศาสตร์ใหม่ไปกินวิทยาศาสตร์เก่าที่มองว่าโลกไม่มีชีวิต สิ่งต่างๆเป็นแค่องค์ประกอบทางเคมี ชีววิทยาศาสตร์ มันรู้สึกว่าโลกมีชีวิตจริงๆ โลกไม่ใช่แค่ห้องใหญ่ๆที่มาอยู่กัน แต่ห้องมันมีชีวิต จริงๆคนที่มาเข้าเสมอุดมต่อเนื่องจริงๆมีไม่เยอะ มีพระ 2-3 รูป

· ผลที่เกิดขึ้น
เคยจัดให้กลุ่มชาวบ้านแท้ๆไหมค่ะ
ที่กาญจนบุรีไง ชาวบ้านมาเยอะเลย 7-8 คน ตอนนั้นมา ไม่มีผู้หญิงเลย แต่มีทางในเมือง
จัดผสม แต่ชาวบ้านมาเยอะหน่อย ตอนนั้นแปลก ไม่พยายามใช้คำพวกนี้เลย นิเวศน์แนวลึก ตอนนั้นใช้แนวตื้นก่อน เปิดพื้นที่กว้างๆ ให้เขาแสดงออก มีช่างต้อ แกบอกไปประชุม สัมมนาได้แต่นั่งฟัง รู้สึกว่าเขาคงพูดไม่ได้ แต่เขาชอบฟัง มานี่ก็อยากจะฟัง แต่เขารู้สึกมานี่ปลอดภัยที่จะพูด เขาก็พูดออกมา
บอกรู้สึกมีความสุข สนุก วงอื่นจะคนเยอะ การจัดนั่งฟังบรรยาย ฟังนักวิชาการ หรือพวกเดียวกันที่เป็นปราชญ์ชาวบ้าน ตัวเองเป็นแค่ชาวบ้าน


กระบวนการที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยเป็นไง
เป็น dialog นำเสนอกฎเกณฑ์ร่วมกัน เช่นพูดเปิ่นๆก็ได้ใครจะพูดอะไรก็ได้ ไม่ต้องมีความสำเร็จรูปทางความคิด ฟังกันเยอะๆ ใช้เวลาเตรียมเครื่องปรุงปรับความรู้สึกรู้จักกันที่นิด ระดับการฟังจะมีมากขึ้น ฟังเรื่องที่ยากๆ ฟังตรงข้ามความคิดมากขึ้น การฟังจะทำให้คนที่เห็นคุณค่าความเงียบตัวเอง ไม่ได้วิ่งตามหลังคนที่พูด คนที่เงียบเริ่มเห็นคุณค่าของความเงียบตัวเอง จะเริ่มพูด คนที่เงียบ รู้สึกด้อย แหย่ รู้สึกเงียบได้ ผมจะเชิญชวนว่าบางครั้งเวลานั่งคุย เงียบบ้างก็ได้ ไม่ต้องฆาตกรรมความเงียบ ความเงียบไม่ได้หมายถึงจะการหยุด จะตาย การให้ความเงียบ ตราบใดที่รู้สึกอึดอัดแสดงว่าเราให้ความหมายความเงียบแบบเดิมว่ามันไม่มีอะไร จริงๆความเงียบเป็นการโยนความรับผิดชอบกลับไปที่ทุกคนว่าใครจะพูดต่อไป แล้วไม่มีการเชิญชวนว่าใครจะเป็นคนต่อไป ผมก็ไม่เชิญชวนใคร


· อุปสรรคในการประเมิน
ในฐานะทีมประเมินยากที่สุดเพราะไม่ได้อยู่ในกระบวนการเรียนรู้ มาตามเก็บทีหลัง มันเลื่อนหายไปตามความทรงจำ ใส่ไว้ในข้อจำกัดการทำงานแบบนี้ด้วยว่าการมาตามเก็บทีหลัง บางทีการถอดรหัสพิธีกรรมจากการบอกเล่าย้อนหลังมันลำบาก ได้ไม่หมด ในกังฟูต้องมีเรียกว่าการอ่านแรง การประเมินแรงของอีกคนมันต้องนัวเนีย เป็นส่วนหนึ่งในนั้น เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตความรู้








คีตกายา

ช่วงนี้ผมพยายามทำให้ชีวิตด้านในมันมั่งคั่งขึ้น
ชีวิตหรืองานด้านนอกมันก็คงจะดูแลตัวมันเอง
จากอานิสงค์ของความมั่งคั่งด้านใน
เพราะไปๆมาๆนอกในมันเป็นอันเดียวกัน ..มั้ง

ช่วงนี้ได้บ่มเพาะความรู้ตัวไปเรื่อยๆก็ดี

บ่มในร่างกาย ในการเคลื่อนไหวของมือไม้และหัวใจ
ไท่ฉีฉวน ช่วยได้เยอะเลย โชคดีมีครูดี (อ.ฌาญเดช)
เวลาออกทำงาน ก็จะได้รำมวยตามศิษย์พี่(น้อง) ทุกเช้า

เหงื่อแตกพลักๆ

การมีชีวิตอยู่ในร่างกายมันคล้ายการเล่นดนตรีเลย
เล่นกีตาร์ก็ต้องตั้งสายให้มันเข้ากันก่อน
ร่างกายก็เหมือนกัน มีห้าสาย คือตับ ไต หัวใจ ม้าม ปอด (สมองไม่มีอะ เป็นพวกสิ้นคิด)

ตั้งเสียงให้มันเข้ากัน เวลาเล่นจะได้ไพเราะ เรียกว่า In Tune ไม่ใช่ OUT OF TUNE
รู้สึกว่าเส้นสายในร่างกายส่งผลกับการรับรู้โลก เพราะถ้าไหลลื่นยืดหยุ่นก็หมายถึงมันว่างๆ มันพร้อมเปิดรับ อย่างผ่อนคลาย ซึ่งก็ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต

มันคล้ายกับเป็น คีตกายา คือเป็น กายที่แสดงสุนทรียภาพเมื่อสามารถทำงานกันได้อย่างบรรสาน

พูดง่ายๆว่ามีพลัง ร่างกายก็คือมณฑลแห่งพลังนั่นเอง คือเป็นพื้นที่ที่พลังของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าเราสำแดงออกมา

จะเรียกว่าจักรวาลบันดาลดลบนร่างกายก็คงไม่ผิดนัก
พอมันเข้าได้อย่างกลมกลืน จะใช้คำอะไรดี coherent หรือ alignment ดี มันก็มีความสุขมีพลังทันที

ดังนั้นเรามาตั้งเสียงร่างกายกันเถอะครับ
แล้วจะบรรเลงเพลงที่ไหนก็ชวนไปฟังด้วยนะครับ

Tuesday, May 9

วิวัฒนาการของวงสนทนา


วิวัฒนาการของวงสนทนา

วงสนทนานั้นเป็นเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิต คือประกอบด้วยส่วนต่างๆ ทั้งที่มองเห็น จับต้องได้ เช่น ผู้คน บรรยากาศ อุณหภูมิ เสียง เป็นต้น ส่วนที่มองไม่เห็น แต่ดำรงอยู่และสัมผัสรับรู้ได้ ก็เช่น ความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ต่างๆของผู้คนในวงสนทนา ดังนั้น วงสนทนาแต่ละวงจึงแสดงลักษณะของสิ่งมีชีวิตออกมาอย่างไหลเลื่อน เคลื่อนที่ เปลี่ยนแปลง เชื่อมโยง ดังเรียกได้ว่าเป็นวิวัฒนาการของวงสนทนา


บางครั้งการเปลี่ยนแปลงแม้ดูเหมือนเล็กน้อย เช่น คนหนึ่งคนเดินออกจากวง ก็สามารถก่อให้เกิดการปรับสภาพสู่สมดลใหม่ ภายใต้เงื่อนไขหรือเหตุปัจจัยใหม่อย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงถือว่ามีความไหวตัว หรือ Sensitivity สูงมาก บางทีปัจจัยเชิงกายภาพ เช่น มีเสียงดังรบกวน อากาศร้อนอบอ้าวเกินไป หรือ นั่งแล้วไม่สามารถเห็นหน้ากันและกันอย่างครบถ้วน อาจมีผลต่อความเป็นไปหรือวิวัฒนาการของวงสนทนาได้อย่างเกินคาดจึงจำต้องใส่ใจรายละเอียดของพื้นที่หรือบรรยากาศของวงสนทนา

เพื่อนของผมคนหนึ่งชื่อ อิวอน ปีเตอร์ เป็นผู้นำเผ่ากวิชอิน ชนพื้นเมืองอเมริกา(อินเดียนแดง) ในเขตอลาสก้าดินแดนแห่งหิมะและความเหน็บหนาว การต่อสู่เพื่ออยู่รอดกับลมหนาวที่นั่น จำต้องใช้ความร่วมไม้ร่วมมือของทุกคนในชุมชน เขาบอกว่าในการนำวงสนทนาของสภาอาวุโส หากมีคนลุกออกจากวง เขาจะขอระงับการสนทนาลงทันที จนกว่าคนๆนั้นจะกลับมาร่วมวง เพราะถือว่าการสนทนาในเผ่านั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ เราจะต้องให้ความเคารพแก่องค์รวมหรือวงสนทนา

วงสนทนาสามารถเปลี่ยนแปลงเลื่อนไหลจากสภาวะหนึ่งไปสู่อีกสภาวะหนึ่ง ราวกับมีชีวิตในตัวเอง ที่อยู่เหนือการควบคุมของใครคนใดคนหนึ่ง เมื่อปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสไปนำวงสนทนาให้กับกลุ่มผู้ปฏิบัติงานสาธารณสุขที่โคราช ในช่วงสองวันแรก วงใหญ่มีสมาชิกราวๆ ๓๐ คน การสนทนาเลื่อนไหลพอไปได้ แม้ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ สับสน หรือหงุดหงิดกับความไม่รู้แน่ชัดว่าไดอะล็อคหรือสุนทรียสนทนานี้คืออะไรกันแน่ หลายคนก็หลายรูปแบบ บางคนกระโจนเข้าสู่การมีส่วนร่วมไปเลย โดยไม่ต้องกังวลหรือคิดมากว่า จะใช่หรือไม่ใช่ แต่บางคนก็พยายามเฝ้าสังเกตความเป็นไปในวงสนทนา มีการตั้งคำถามตรงๆกับผมบ้างว่า ตกลงแล้วไดอะล็อคคืออะไร และผมขอเลือกที่จะไม่ตอบ แต่เชิญชวนให้เฝ้าสังเกตและค้นหาคำตอบเองผ่านประสบการณ์ตรง


ในครั้งนั้นก็เหมือนกับหลายๆครั้งในสุนทรียสนทนา คือจะมีคนที่แสดงออกทางความคิดมากกว่าคนอื่น มีความคมชัด และดูเหมือนเป็นผู้นำทางความคิดอย่างโดดเด่น ซึ่งแม้จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ของกลุ่มในระดับหนึ่ง แต่ก็ปิดกั้นการมีส่วนร่วมทางความคิดของผู้อื่นได้เช่นกันโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนหนึ่งการที่ผมเป็นกระบวนกรที่วัยวุฒิน้อยกระมัง ที่ทำให้หลายคนรู้สึกปลอดภัยที่จะแสดงความโดดเด่นของตัวเองออกมาได้อย่างไม่ยากนัก ผมสังเกตว่าวงสนทนาเป็นพื้นที่ทางสังคมอันหนึ่งที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยใช้พิสูจน์ตัวเองกับสังคมว่าสถานภาพและคุณค่าของเขาพึงได้รับการรับรู้ หรือยอมรับ แต่หากเกิดขึ้นมากเกินไป ก็อาจนำไปสู่การแข่งขันที่คับแคบตีบตันลงจนคนอื่นๆที่ไม่ต้องการหรือรู้สึกเบื่อหน่ายจนอาจถึงกับหนีร่นออกไปจากการมีส่วนร่วม อันนี้เป็นสิ่งที่กระบวนการพึงเฝ้าสังเกตและระวังดีๆ เพราะโดยส่วนมากมักเกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว เป็นการทำงานของจิตไร้สำนึก เช่น ความต้องการสร้างอาณาเขตแห่งตัวตน หรือการประกาศเขตว่า “ฉันมีอยู่ และฉันอยู่นี่นะ กรุณาเคารพและให้เกียรติด้วย” และอาจจะไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นอีก ฉะนั้นเราอาจไม่ต้องไปกังวลกับมันมากนัก
อย่างไรก็ตาม เย็นวันที่สอง ในช่วงของการทานอาหารเย็น แต่ละวงที่เลือกนั่งทานข้าวกันเองตามโต๊ะบริเวณสนามหญ้า ดูผ่อนคลาย มีชีวิตชีวา ทำให้ผมเริ่มสัมผัสได้ถึงการเข้าใกล้จุดคลี่คลายอะไรบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในวงสนทนาในคืนนั้น
พอพวกเรากับเข้าไปที่ห้องประชุม ดูจำนวนคนน้อยลงกว่าหนึ่งในสาม หลายคนกลับไปดูแลภาระกิจที่บ้าน จึงเหลือคนอยู่ประมาณ ๒๐ คนเห็นจะได้ แล้วเราก็เริ่มพูดคุยกัน โดยผมชวนเชิญให้ทุกคนผ่อนคลาย ไร้ความคาดหวังใด แต่ดำรงอยู่ร่วมกันด้วยความพอใจและเบาสบาย เพียงแค่การได้อยู่ร่วมกันอย่างฉันท์มิตรก็นับว่ามีค่ายิ่งแล้ว หากได้พูดคุยกันอย่างไม่ต้องมีวาระไม่มีประเด็นตายตัว แต่เน้นการรับฟังกันและกันอย่างลึกซึ้ง และพูดจากใจด้วยความเคารพนอบน้อมสติปัญญาของกลุ่ม สิ่งดีๆก็อาจเกิดขึ้นได้อย่างที่เราไม่คาดคิดทีเดียว

เมื่อวงฯ สามารถไว้วางใจชีวิตของตัวเอง ผ่อนคลาย เฝ้าสังเกตและซึมซับกระแสเสียงแห่งความคิดความรู้สึกของเพื่อนและของตัวเองไปอย่างตื่นรู้ด้วยนั้น การเรียนรู้จากกันและกันมักเกิดขึ้น ความคิดต่างๆก่อประกอบตัวเองขึ้นมาอย่างเงียบๆในจิตใจของแต่ละคน เรื่องราวต่างๆได้รับการบอกเล่า ตั้งคำถาม ขบคิดร่วมกันอย่างไม่จำต้องได้ข้อสรุปใด ทั้งความรู้และมิตรภาพต่างงอกงามหรือผุดบังเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างมีชีวิตชีวาไปพร้อมๆกัน

และสิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นในคืนวันนั้นเอง เราสนทนากันตั้งแต่ทุ่มครึ่งถึงห้าทุ่ม เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวติดปีก ข้อสรุปหนึ่งที่ผมได้ยินคือ
“การสนทนาที่เกิดขึ้นคืนนี้ ราวกับปาฏิหาริย์”


ตอนต่อไป

คนไม่พูด ทำอย่างไรดี?
วงเงียบแล้วอึดอัดไหม?
ทำอย่างไรเมื่อเกิดการถกเถียงกัน?
ทำอย่างไรเมื่อเกิดภาวะอารมณ์เศร้าเสียใจ หรืออิน?
แกงจับฉ่ายที่ออกรสต้องตุ๋นอุ่นนานๆ การบ่มความคิดในวงสนทนา อย่าเพิ่งรีบผ่าท้องความคิด เมื่อถึงเวลา การเกิดก็มาถึง
พื้นฐานคนไม่เหมือนกัน ชุดภาษาไม่เหมือนกันทำอย่างไร
ทำไมต้องไม่มีวาระการพูดคุย?


๑๓ เม.ย. ๔๘
จิตตปัญญาศึกษา อิงดอย เชียงราย

จิตตปัญญาศึกษาแบบขวัญเมืองเป็นอย่างไร?

น้อง ชุมชนของเราแม้ว่าไม่มีพิธีกรรมอะไรชัดเจนที่ทำหน้าที่ร้อยรัด แต่วงไดอะล๊อคมันมีมิติของพิธีกรรม เป็นพื้นที่ที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วม แบ่งปัน มันมีการเรียนรู้ และเยียวยา ในกระบวนการนั้นมันทำหน้าที่ของมันอยู่แล้ว และในขณะที่เราไม่ได้มีระบบปรัชญาอะไรที่ชี้ชัดว่าเราเป็นชุมชนแบบไหน แต่น้องว่ามีอันหนึ่งที่เหมือนจะชัด แม้ว่าเราไม่ได้ระบุร่วมกัน แต่ทุกคนเหมือนกับว่าได้รับการตอกย้ำร่วมกันคือ การเรียนรู้

วิศิษฐ์ เวลาเราไปจิตวิวัฒน์ เราพยายามทำให้เกิดมิติการเรียนรู้แบบนี้ แล้วเราก็พบว่ามันไม่ค่อยเกิด มันเกิดเป็นบางครั้ง อยากถามหมอวิธาน ว่าเวลามันเกิด มันคืออะไร อะไรเป็นองค์ประกอบที่ทำให้วงมันเกิดไดอะลอก

หมอวิธาน ผมว่าทั้งหมดนะ สำหรับผมที่มองเรื่องจิตตปัญญาศึกษา ผมมีข้อสังเกตว่า อะไรจะเป็น จิตตปัญญาศึกษา หรือ Contemplative education ได้นั้น ถ้าเทียบกับคลื่นสมองแล้วหมายถึงเป็นการศึกษาด้านใน ผมชอบคำของวิจักขณ์ ที่แปลคำว่า contemplative ว่า การศึกษาด้วยใจที่ไคร่ครวญ ส่วนคำว่า จิตตปัญญาศึกษาก็ไม่ขัดข้องนะครับ แต่ว่าคำว่า การศึกษาด้วยใจที่ไคร่ครวญ มันบอกในเนื้อในตัวชัด

แต่พอมามองในเรื่องคลื่นสมองเนี่ย การศึกษาในระบบทั้งหมดมันเป็นเบต้าเวบ มันเป็นข้อมูลชิ้นข้างนอกหมดเลย มันไม่มีการเข้าไปสู่การศึกษาด้านใน ซึ่งต้องเข้าไปในคลื่นสมองระดับ เทต้า และเดต้าเวบ ซึ่งก็คือข้อมูลของมหาสมุทรทางปัญญาทั้งหมด ที่นี้จะเข้าไปอย่างไร ก็ต้องผ่านอัลฟ่า คือวิธีการเข้าสู่แหล่งข้อมูลด้านในนี้ก็คือ จิตตปัญญาศึกษา

วงสนทนาแบบไดอะลอกเองมีความเป็นพิธีกรรมศักดิ์ไปในตัว เพราะมีการลงเข้าไปหาความเป็นจิตด้านใน เข้าสู่คลื่นเทต้า และเดลต้า นี่ทำให้วงสนทนาแบบไดอะลอกสามารถเป็นจิตตปัญญาศึกษาได้ และอาจจะโยงเรื่องทฤษฎีเชียงรายด้วยว่า การเรียนรู้เกิดขึ้นทั้งในระดับปัจเจกและสมุหะ เป็นโฮโลแกรมไปพร้อมๆกัน

วิศิษฐ์ บางครั้งที่วงสนทนาไม่เป็นไดอะลอก เพราะ หนึ่ง มันเป็นการลำเลียงข้อมูลหรือความรู้จากภายนอก ถึงแม้ความรู้นั้นจะเป็นความรู้ด้านในก็ตาม แต่มันลำเลียงมาให้คิดและจดจำ ซึ่งอยู่ในระดับคลื่นเบต้า แต่ในวงสนาทนา(จิตวิวัฒน์) มันก็มีบางช่วงเวลา ที่คำพูดของคนบ้างคนทำให้ปัจเจก หรือบางคนเกิดการเข้าไปเรียนรู้ด้านใน แต่กระบวนการทั้งหมดนี้ มันไม่ได้เหนี่ยวนำไปสู่ การเติบโตของชีวิตวงสนทนา ซึ่งเราเคยพูดกันว่า มีวัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ วัยเซียน นั้น อย่างมากในวงจิตวิวัฒน์ มันถึงวัยรุ่น หรือวัยผู้ใหญ่ระดับหนึ่ง แต่มันไม่ถึงจุดเต็มที่หรือวัยเซียน

ความมุ่งมั่นหรือความต้องการเรียนรู้แนวกว้าง ครอบคลุม ซึ่งอาจจะมีประโยชน์ของมัน มันทำให้ความสนใจในตัวกระบวนการพูดคุยกันนั้นมีน้อย และไปเน้นอยู่ที่การพูดคุยเพื่อให้ได้เนื้อหามากกว่า เมื่อสนใจตัวกระบวนการน้อย มันก็ไม่ได้เป็นไดอะลอกเต็มรูปแบบที่จะเข้าไปสู่สภาวะหลอมรวม (Synchronized state) หรือวัยเซียน ซึ่งเป็นสภาวะแห่งการประสานคลื่นสมองและพลัง ซึ่งพลัง ปัญญา ข้อมูล จิต กรรม (หมดประสานถือว่าเป็นเรื่องเดียวกัน)

ที่นี้หากเราใส่ใจเรื่องกระบวนการสนทนามากขึ้น โดยเน้นในเรื่องการฟัง ซึ่งมันเป็นสมาธิในตัว หากทุกคนฟังอย่างลึกซึ้ง จะทำให้เกิด ใจที่ไคร่ครวญ (contemplative mind) หรือเกิดการสะท้อนกลับเข้าไปมองดูตัวเองด้านใน โดยมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างด้านในและด้านนอก มองเห็นว่าโลกภายนอกและโลกภายในว่าเชื่อมสัมพันธ์กันอยู่ ย่อมเห็นข้อจำกัดของโลกภายของตัวเอง ย่อมมีโอกาสเห็นความเปลี่ยนแปลงโลกภายในของตัวเอง เห็นพลวัตร คือความไหลเลื่อน เคลื่อนที่ เปลี่ยนแปลง เชื่อมโยงของโลกภายใน ซึ่งในขณะทีเปลี่ยนนั้น ย่อมเกิดอัศจรรย์ทางจิต ย่อมเห็นว่าเมื่อโลกภายในเปลี่ยน โลกภายนอกเปลี่ยน เชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียว ตรงนี้เป็นจิตตปัญญาศึกษาของปัจเจกบุคคล

แต่ในไดอะลอกนั้น เมื่อทุกคนจริงจังกับการรับฟัง จริงจังกับกระบวนการไดอะลอก ทุกคนก้าวล่วงร่วมกันไปสู่ภาวะที่เกิดการประสานคลื่นสมอง พลัง ปัญญา จิต ข้อมูลนั้น พรมแดนของปัจเจกได้สลายตัวลง ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญนะ กระบวนการเรียนรู้เป็นสมุหะ การตื่นรู้ของคนคนหนึ่งเป็นการตื่นรู้ของคนทั้งกลุ่ม เกิดปรากฏการณ์ที่มนุษย์ได้ค้นพบว่า การทำงานทางปัญญา สมอง และจิตไม่ได้มีขอบเขตการทำงานอยู่ที่อัตตาหรือตัวตนของคนๆเดียว แต่สภาวะสมุหะหรือ Collective ในสภาวะนั้นเอง หากพูดเรื่องคลื่นสมอง ที่แอนนา ไวส์ ได้พูดถึงคลื่นสมองของจิตที่ตื่นรู้ (Awakening mind) ซึ่งเกิดขึ้นในระดับสมุหะ การเหนี่ยวนำกลุ่มให้อยู่ในสภาวะนี้อย่างเนิ่นนาน เป็นการฝึกฝนปฏิบัติธรรม จิตตปัญญาศึกษาแน่นอน เป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการตื่นรู้ หรือเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะให้เป็นนิจศีล ให้เป็นกิจวัตร จนหยั่งราก แม้ไม่อยู่ในวงสนทนาไดอะลอก ผมคิดว่านี่เป็นที่มาที่ทำให้เราแตกต่าง ก็คล้ายๆกับที่หมอวิธานได้พูด แต่ช่วยเชื่อมโยงให้เห็นภาพมากขึ้น

ณัฐฬส สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตคือ ที่น้องหรือหมอวิธานได้พูดว่า ไดอะลอกแบบที่เราทำกันนั้นมันมีธรรมชาติบางอย่างที่มีความเป็นพิธีกรรม เช่น เป็นสิ่งที่เราทำร่วมกันในสภาวะที่คลื่นสมองเราเป็นอัลฟ่า และตราบใดที่วงสนทนาสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันไม่เฉพาะในคำพูดที่แสดงออกมา หากอยู่ในความเงียบที่ปรากฎก่อนคำพูด ซึ่งมีความหมายค่อนข้างมาก หากวงสนทนาไหนยังไม่เรียนรู้ข้อนี้ ไดอะลอกที่แท้จริงมักไม่ค่อยเกิด นี่เป็นข้อสังเกต

ผมคิดถึงคำคำหนึ่งของท่านติช นัท ฮันท์ คือ Interbeing คือการเป็นกันและกัน หรือความต่างดำรงอยู่ร่วมกัน ผมเห็นว่าไดอะลอกมีพื้นฐานที่สำคัญคือการอยู่ร่วมกัน มากกว่าการพูดกัน อยู่ร่วมกันโดยไปพ้นเรื่องภาษา เพราะภาษาเป็นคลื่นเบต้า ดังนั้นการอยู่ร่วมกันได้เป็นการสร้างพื้นที่หรือภาชนะรองรับที่ยิ่งใหญ่มหาศาลสำหรับการสืบค้น แลกเปลี่ยนและค้นพบภูมิปัญญามหาศาลที่ไร้ขอบเขตร่วมกัน ยิ่งเราสามารถยอมรับความแตกต่างได้ การตัดสินก็น้อยลง ไม่มีความรู้สึกว่าต้องปกป้องตัวเอง เพราะอย่างที่อ.วิศิษฐ์ว่านั่นแหล่ะ การได้ค้นพบว่าพรมแดนของเราหรือความคิดเรามันไม่มี มันก็มีแต่ความเปิดรับ

วิศิษฐ์ อยากเติมว่าดำรงอยู่ร่วมกันได้ความตื่นรู้ เพราะเมื่อเกิดการรับฟังอย่างลึกซึ้ง ตัวตนของคนอื่นเข้ามาดำรงอยู่ในตัวตนของเรา และตัวตนของเราเข้าไปดำรงอยู่ในตัวตนของคนอื่น แต่ทีนี้ธรรมชาติของจักรวาลนั้น ฟิสิกส์ใหม่บอกว่า สรรพสิ่งล้วนดำรงอยู่และสอดแทรกอยู่ในกันและกัน เหมือนกับเรื่องดอกกะหล่ำ หรือโฮโลแกรม ตัวตนของเราก็เป็นจุลจักรวาล ในขณะที่เราอยู่ในกลุ่มนั้น ตัวเราก็เป็นเหมือนกับส่วนจำลองของทั้งกลุ่ม หรือเป็นจุลจักรวง ถ้าเป็นวงเชียงรายก็หมายความว่า เรามีความเป็นวงเชียงรายในตัวเรา และในวงเชียงรายก็มีเราอยู่ในนั้น ก็เลยเป็นจุลจักรวง

สิ่งที่เกิดขึ้นในตัวเรา กระทบทั้งระบบ กระทบทั้งสกุลเชียงราย สิ่งที่เกิดขึ้นกับสกุลเชียงรายก็กระทบกับชีวิตเรา (มั้ง)

อ.ฌาญเดช อาจารย์ถามว่าอะไรเป็นจิตตปัญญาศึกษาแบบที่เราเป็น ผมคิดว่าทั้งหมดคือจิตตปัญญาศึกษา เคยดูหนังกำลังภายในไหม พระเอกจะไปประลองยุทธกับปรมาจารย์ญี่ปุ่นคนหนึ่ง พอไปถึงก็พบอาจารย์ค้นนี้นั่งจิบน้ำชาอยู่ และได้กล่าวว่า ชานั้นมีหลายเกรด เราจะเลือกกินชาที่มีเกรดสูงที่สุด เพื่อให้เกิดความรื่นรมย์ แล้วถามอาจารย์กังฟูว่า อาจารย์เห็นด้วยอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะไม่เห็นด้วยซะทีเดียว เพราะชาตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นยอดนั้นจริงๆแล้วไม่ได้มีเกรด สิ่งที่มนุษย์ไปกำหนดต่างหากทำให้เกิดเกรดหนึ่ง เกรดสอง แต่ชานั้นเขาไม่ได้กำหนดตัวเอง เพราะฉะนั้นมันเป็นทั้งหมด แล้วจึงย้อนถามว่าแล้ว วิทยายุทธล่ะมีขั้นมีตอนไหม มีสายดำ สายแดง สายเขียวหรือเปล่า อาจารย์ท่านก็บอกว่าคล้ายๆชานั่นแหล่ะ คือมีมาจากรากเดียวกัน ผมรู้สึกว่าไดอะลอกเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมในการใช้ชีวิต แต่ว่าเรามองมันอย่างไรต่างหาก เช่น การตั้งวงน้ำชาก็เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ส่วนเราไปทานอาหารแหนมเนืองก็เป็นพิธีกรรมอันหนึ่ง เราไปออกกำลังกายร่วมกันก็เป็นพิธีกรรมอันหนึ่ง การนั่งสนทนากับลูกและภรรยาก็เป็นพิธีกรรมอันหนึ่ง เหมือนกับที่อ.วิศิษฐ์ พูดว่า มันเป็นโฮโฮแกรม หรือเป็นเสี้ยวส่วนของกันและกัน ประเด็นอยู่ที่ว่าเราจะนำพาเข้าจากภายนอกสู่ภายในได้อย่างไร แล้วนำจากภายในไปสู่ภายนอกได้อย่างไร

ซึ่งอาจต้องการอาศัยกระบวนการบางอย่างเพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ดังกล่าว เพื่อให้เกิดวิธีการมอง เช่น เวลาเราเรียนเต๋า พุทธศาสนา หรือเซน กระบวนการหรือวิธีการอันหนึ่ง อาจารย์ก็จะมีวิธีการให้ศิษย์ได้เข้าไปสืบค้นกับตัวเอง เช่นเมื่อเราอยากเข้าถึงธรรมชาติ เราก็ต้องไปอยู่ที่นั่น เช่น หากเราอยากเรียนรู้เรื่องน้ำ เราก็ไปที่น้ำตกขุนกรณ์ แล้วเราก็เข้าไปอยู่ในโพรงน้ำแล้วรับรู้มัน ขณะที่เรานั่งอยู่ในนั้นก็รับฟังเสียงที่อื้ออึงของมัน ซึ่งจะเป็นเสียงที่รบกวนหรือเปล่า หรือเมื่อน้ำสัมผัสโดนตัวเรา เรารู้สึกอย่างไรกับมัน รู้สึกกับน้ำอย่างไร เมื่อถามว่ารู้สึกกับมันอย่างไร จะทำให้จิตวิ่งเข้าหาภายใน ซึ่งก็จะหยิบเอาประสบการณ์ตรงนั้นมาเฝ้ามอง ทั้งที่เป็นปัจเจกและไม่เป็นปัจเจกด้วย และเมื่อเกิดการเฝ้ามองอย่างเนิ่นนาน ตัวจิตตปัญญาศึกษาก็ค่อยๆเกิดขึ้น (โผล่ปรากฎ) หรือค่อยๆบังเกิดขึ้นตามสภาวะที่เป็น

ผมรู้สึกว่าจิตตปัญญาศึกษามันอาจไม่เกิด เพราะมองประสบการณ์ว่าเป็นเพียงเสี้ยวส่วน ยังเห็นเป็นเสี้ยวๆ เช่น ในเมื่อทุกคนต่างถือว่าต่างคนต่างมีความรู้ ความคิดมากๆ แล้วมานั่งคุยกัน แล้วแลกเปลี่ยนเฉพาะเสี้ยวส่วนของตัวเองมาบอก แต่เมื่อเสี้ยวของคนอื่นไม่เหมือนกับเสี้ยวของเราก็อาจรู้สึกขัดแย้ง โดยที่สิ่งที่เฝ้ามองหรือศึกษานั้นอาจเริ่มจากสิ่งที่แต่ละคนสนใจ ซึ่งอาจแตกต่างกัน แล้วมาเชื่อมโยงกับสิ่งที่คนอื่นๆศึกษาหรือพูดได้ ซึ่งจะเป็นจิตตปัญญาศึกษาที่ทำให้ความรู้เกิดการเคลื่อนไหว เชื่อมโยงได้มาก

แล้วก็ จิตตปัญญาศึกษาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับปัจเจกและพหุ เกิดการเหนี่ยวนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงซึ่งกันและกัน

วิศิษฐ์ คำว่า พิธีกรรม หากพูดภาษาสมัยใหม่ ซึ่งอาจทำให้ความศักดิ์สิทธิ์ลดลงไป ก็คือคำว่า วิธีการ ถ้าพูดภาษาวิจัยวิชาการ ก็คือ Methodology ซึ่งเป็นเรื่องน่าปวดหัวมาก คำว่าวิธีการในที่นี้หมายถึงวิธีการที่นำเข้าสู่หรือเข้าถึงจิตตปัญญาศึกษา ตอนนี้มันมีคำถามง่ายๆว่า สิ่งใดเล่าที่ยกชีวิตธรรมดาไปสู่สิ่งที่เรียกว่าพิธีกรรม อันนี้เป็นคำถาม

ณัฐฬส ส่วนหนึ่งผมคิดว่าเกี่ยวข้องกับโลกทัศน์บางอย่างที่มีในชุมชนเราที่มองเห็นว่าชีวิตมันมีมิติของความศักดิ์สิทธิ์ดำรงอยู่ แม้ว่าเราจะทำหรือไม่ทำอย่างไรกับมัน มันก็ยังดำรงความศักดิ์สิทธิ์อยู่ ผมว่าความเชื่อพื้นฐานอันนี้ทำให้เราสัมผัสสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆว่าศักดิ์สิทธิ์ อย่างที่อ.ฌาณเดชบอกว่า ทุกอย่างสามารถทำให้เป็นพิธีกรรมได้ หรือทำให้มีมิติของความเป็นชุมชนได้ ทีนี้โจทย์ที่ว่าเราจะมีชีวิตอันสามัญที่เข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร แม้ว่าเราจะไม่ได้ไปวัด ตามที่สังคมทั่วไปอาจนิยามว่าวัดคือพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ เราอาจขยายพื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์อันนั้นให้มาอยู่ในชีวิตของเราเองไร เหมือนกับเป็นศาสนาของคนนอกวัด ได้หรือไม่

วิศิษฐ์ ผมอยากพูดถึงความไม่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อจะได้เข้าใจความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะไม่ศักดิ์สิทธิ์เมื่อมันถูกลดค่าลงไปให้ซื้อขายได้ ลึกๆแล้วหากทำให้สิ่งใดกลายเป็นสิ่งที่ซื้อขายได้ เช่น สิ่งของ แม้กระทั่งมนุษย์เอง ก็ถูกทำให้กลายเป็นสิ่งที่ซื้อขายได้ เพราะคนในประเทศไทยก็โดนทักษินซื้อเกินครึ่ง มนุษย์ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เพราะขายได้

ทีนี้อะไรที่ลึกลงไปในความซื้อขาย เมื่อสิ่งนั้นไม่มีจุดมุ่งหมายในตัวมันเอง แต่รับใช้จุดประสงค์ของผู้อื่น แต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมักมีวัตถุประสงค์ของมันเอง แต่ถ้าเราคิดว่าต้นไม้มีไว้เพื่อทำเฟอร์นิเจอร์ สร้างความมั่งคั่งให้กับบริษัท ร้านค้า วงค์ตระกูล หรือ คิดว่าพนักงานของเรานั้นมีไว้เพื่อเติมเต็มจุดมุ่งหมายการทำงานของบริษัท เขาไม่มีจุดมุ่งหมายของเขาที่เราต้องไปดูแลดวงวิญญาณของเขา คือเมื่อสิ่งและสรรพสัตว์ถูกตัดขาดออกจากจุดมุ่งหมายของตัวเอง หรือได้รับการปฏิบัติเหมือนดั่งว่าไม่มีจุดมุ่งหมายของตัวเอง สิ่งนั้นก็หมดความศักดิ์สิทธิ์ หากชุมชนนี้ดำรงอยู่แล้วทุกคนถูกใช้ เช่น อ้า นี่อาจารย์มาสอนมวยนะ ชุมชนนี้จะได้มีเสน่ห์ เป็นความคาดหวังทางการตลาด จะได้ดึงดูดให้คนทั้งหลายเข้ามาร่วมชุมชนกับเรา อาจารย์ก็ขาดความศักดิ์สิทธิ์ไปเลย นี่ยกตัวอย่างความไม่ศักดิ์สิทธิ์

แต่ถ้ามวยนั้นมีจุดมุ่งหมายของเรา และเราต้องเคารพ ไม่ใช่ว่าจะเอาตามใจเรา ความศักดิ์สิทธิ์ของมวยก็จะเกิดขึ้น

ณัฐฬส ถ้าอย่างนั้น มองในแง่นี้ ความศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้ดำรงอยู่อย่างแยกออกจากเรา แต่ดำรงอยู่ในความสัมพันธ์อย่างไร ความสัมพันธ์อย่างหนึ่งไม่ศักดิ์สิทธิ์ ส่วนความสัมพันธ์อีกอย่างหนึ่งศักดิ์สิทธิ์

ยาดา ผึ้งเห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นการรำมวย หรือการรินน้ำร้อน มันก็เป็นสิ่งเหมือนกัน ที่เราคุยกันเมื่อวานนี้ ช่วยตอบโจทย์ของผึ้งเมื่อวาน ผึ้งเล่าให้แม่ฟังว่า เดี๋ยวนี้เรามีการเรียนรู้อย่างไรบ้าง แม่ก็บอกว่า อย่างนี้ที่แม่อยู่กรุงเทพก็เหมือนคนโง่น่ะสิ มันต่างกันอย่างไรบ้างกับที่ลูกอยู่ เพราะไม่มีสภาน้ำชา ไม่มีการรำมวย ผึ้งก็ตอบว่าไม่ต่างหากมีการดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข แม่ถามต่อว่าแล้วยังงี้ แม่จะมีความสุขได้อย่างไร เพราะแม่เขาก็มีความรู้สึกว่า เรากำลังสร้างพิธีกรรมที่คนอื่นไม่มีหรือเปล่า ก็อึ้งไปเหมือนกัน ...เลยรู้สึกว่าที่คุยกันวันนี้ก็ช่วยตอบโจทย์บางอย่างในใจ
แล้วก็บอกว่าถ้าอยากมีความสุขก็มาอยู่ด้วยกันสิ แต่ก็ไม่อยากจะเน้นตรงนี้ เพราะเดี๋ยวจะไปคิดว่าคนทั้งโลกก็จะไม่มีความสุขถ้าไม่มีการไดอะลอก

อย่างบ้านเราก็มีการไดอะลอกอยู่แล้วแบบธรรมชาติ มีการคุยกันอยู่แล้วในหมู่พี่น้อง บางทีปิดไฟแล้วคุยกันก่อนนอน บางทีก็ร้องไห้ เพียงแต่เราไม่ได้พูดถึงมันอย่างเป็นรูปธรรม เขาก็เลยไม่ได้ซึมซับว่ามันมีความหมายอย่างไร เพราะมันถูกทำให้ไปทำกิจกรรมอื่นๆในสังคมเสียมากกว่า อย่างผึ้งก็คิดว่า การทำวัตรเนี่ย พอหลังทำวัตรก็มีการเดินจงกรม ก็เอามาเปรียบเทียบกับที่พวกเรารำมวยเสร็จแล้วก็มากินน้ำชากัน เหมือนกับการบ่ม ชาร้อนก็ต้องค่อยๆกินและซึมซับกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ จบค่ะ

หมอวิธาน ผมชอบที่พี่ใหญ่พูดเรื่องที่ว่าข้อมูลภายในที่กลายมาเป็นข้อมูลภายนอก ทีนี้ก็คงไม่ได้แขวะเถรวาทนะ แต่รู้สึกว่าบางแนวทางได้ไปนิยามความศักดิ์สิทธิ์ให้จำกัดอยู่ในพื้นที่จำเพาะหนึ่งๆ เช่น ว่าจะต้องเป็นที่วัดหรือสำนักอะไรบางอย่างถึงจะศักดิ์สิทธิ์ แล้วต้องมีพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นนะถึงจะทำให้เกิดจิตตปัญญาศึกษาได้ คือถ้าเราทำอย่างนั้นมันก็กลายเป็นว่าเรากำลังเอาสิ่งที่น่าจะศักดิ์สิทธิ์มาทำให้ไม่ศักดิ์สิทธิ์ไปเสีย เพราะเป็นเพียงการกระทำภายนอก ซึ่งอันนี้เป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือไปเอาข้อมูลด้านในไปใส่ไว้ผิดที่ ในขณะที่เชียงราย มีลักษณะที่มองความศักดิ์สิทธิ์ว่ามีได้ทุกที่ และผมคิดว่าพี่ใหญ่นิยามความศักดิ์สิทธิ์ได้ดีมาก จบ

ฌาณเดช ผมรู้สึกว่าความศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องของคุณค่า แต่เป็นคุณค่าที่มีความหมายไปทางความลึกลับ คุณค่าทางความลึกลับ มีพลัง ที่นี้มันลึกลับอย่างไร เช่น เวลาเราพูดถึงเรื่องบางเรื่องว่าศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า ในความลี้ลับ คำว่า สิทธิ์ หากมองเชิงบวก มันหมายถึงการให้ เช่น เวลาอาจารย์เขาพูดถึงการขึ้นครู ก็จะพูดถึงเรื่อง กรรมสิทธิ์ หมายถึงการให้ พอพูดถึงการให้ ก็นึกถึงนีล บอห์ร นักฟิสิกส์ ที่พูดว่า เมื่อเราเกิดมาแล้วจะมีคุณค่าหรือไม่อย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับว่า เราให้ขนาดไหน และยังพูดถึง ที่อาจารย์วิศิษฐ์พูดถึงต้นไม้ ผมรู้สึกว่า ต้นไม้เขาก็มีอะไรของเขาที่จะดำรงอยู่ แต่ก็ไม่ได้ดำรงอยู่โดดเดี่ยว แต่เป็นการดำรงอยู่เพื่ออะไรบางอย่าง ขณะเดียวกันก็มีการให้ ผมรู้สึกว่าการให้นี้ทำให้เขาศักดิ์สิทธิ์ และการให้นี้มันเชื่อมกับวิทยาศาสตร์ใหม่ในเรื่องความเป็นผู้นำ ที่จะถามว่า ผมจะช่วยอะไรได้บ้าง ซึ่งผมคิดว่าเป็นคำพูดที่งดงามมากๆ ถ้าชีวิตมนุษย์ หรือวิทยาศาสตร์พัฒนาสูงขึ้นจริงก็น่าจะพูดถึงการให้มากกว่าการทำลาย จบ

ยาดา ผึ้งชอบเหตุผลทุกคนเลย การได้เรียนรู้ร่วมกันอย่างไม่แยกเป็นบุคคลแต่ประสานกันเป็นหนึ่งเดียว โดยไร้ภาษาด้วย แค่มองตาก็สัมผัสกันได้ว่า มันมีอย่างหนึ่งที่บอกว่าเรากำลังเรียนรู้หรือเผชิญหน้ากับอะไรบางอย่างร่วมกัน อย่างเมื่อวานพอคุยกับแม่เสร็จ แม่ก็รู้สึกขอบคุณตัวเองที่ให้พื้นที่ลูกให้ได้มาเรียนรู้ ได้มาเจออะไรแบบนี้ เขาก็จบด้วยว่า ดีใจแล้วที่ลูกได้เรียนรู้และเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆงามๆ ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ และไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมาก

วิศิษฐ์ ผมเห็นอย่างนี้นะ การยกกิจกรรมธรรมดาขึ้นเป็นพิธีกรรม ทำได้โดย

หนึ่ง ทำให้มีความตื่นรู้ แทนที่เราจะอยู่กับกิจกรรมนั้นอย่างหลับใหล เราก็ตื่นขึ้นมา

สอง เมื่อเราตื่นรู้ มันก็จะช่วยทำให้เราเห็นความเชื่อมโยง ระหว่างโลกภายนอก กับโลกภายใน เชื่อมโยงการรับรู้ของเต้า กับโลกภายในของเทต้า

สาม เมื่อเราลึกลงไปในโลกภายนอกและภายใน เราเห็น ศักยภาพมากกว่าที่เราเคยรู้แล้ว ณัฐใช้คำว่าลี้ลับ ศักดิ์สิทธิ์คือลี้ลับ ศักดิ์สิทธิ์คือมีมากกว่าความเข้าใจของเราในปัจจุบัน

สี่ ศักยภาพนั้น อยู่ในคำว่า จิตเดิมแท้ ที่ดำรงอยู่ทั้งวัตถุภายนอกและจิตภายใน สภาวะจิตเดิมแท้นั้นไหลเลื่อน เคลื่อนที่ เปลี่ยนแปลง เชื่อมโยง เวลาเราเอาผลบั้นปลายของการทำงานด้านในออกมาสู่ด้านนอก ในระดับเบต้าอ่อนๆ หยาบๆ คือเราสามารถเอาสภาวะไหลเลื่อน เคลื่อนที่ เชื่อมโยง เปลี่ยนแปลงของจิตเดิมแท้ออกมาบอกเล่า หรือเขียนลงในหนังสือ โดยไม่เข้าไปสู่ในพิธีกรรมตื่นรู้ หรือไม่ได้กลับเข้าไปใน Motion picture (ภาพเคลื่อนไหว) ของจิตเดิมแท้ แต่ไปอยู่ในหนังแผ่นที่ถูกแช่แข็ง ก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดๆเกี่ยวกับจิตตปัญญาศึกษา เราอาจจะกลับไปหาคำว่า ไม่มีคำตอบเดียว ไม่มีมาตรฐานเดียวในเรื่องการตื่นรู้ ไม่มีหลักสูตรตายตัว เพราะเมื่อใดที่เรามีมาตรฐานเดียว หรือมีหลักสูตรตายตัว เรากำลังหลุดออกไปจากกระบวนการหรือธรรมชาติที่แท้จริงของจิตเดิมแท้ที่มีความเป็นพลวัตร ที่ไหลเลื่อน เคลื่อนที่ เปลี่ยนแปลง เชื่อมโยง คนที่หลงไหลกับสิ่งเหล่านี้อยู่ จางจื๊อท่านเรียกว่า กากวิชา เหมือนกับการที่ไม่ได้ชิมชาอันเลิศรส แต่ได้กินเพียงกากชาเท่านั้น

ณัฐฬส หากมองในแง่ของตัวกิจกรรมที่เป็นพิธีกรรม ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ๆ อย่างที่เรามารำมวยกันทุกเช้านี้ ผมรู้สึกว่าทุกคนมีความใหม่ แม้ว่าอาจารย์ มีคุณภาพใหม่บางอย่างเกิดขึ้น รู้สึกว่าเป็นสิ่ฟงที่สนุก หนึ่ง มันไม่มีใครถูกบังคับ สองไม่มีใครถูกวัดผล อันนี้ช่วย ให้เราเติบโตมาก เพราะตราบใดที่เกิดการวัดผลขึ้น มันจะหมายถึงการตั้งมาตรฐานหรือคำตอบของการเรียนรู้ไว้อย่างตายตัวหรือเปล่า มันเชื่อมโยงกับความคิดที่ว่า มันมีแต่ความเป็นไปได้ คำตอบมันไม่ได้มีคำตอบเดียว และเรายอมรับความหลากหลายได้ ดังนั้น ประเมิลผลเป็นกระบวนการเฝ้ามองดูตัวเอง และช่วยกันดูมากกว่า ประเมิลผลด้วยกรอบตายตัว หรือประเมิลผลด้วยไม้บรรทัด

กิจกรรมของชุมชนพวกเรามันก็หลากหลายได้ อะไรก็ตามที่ช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหวทางกาย ไม่ว่าการปั้น การเดิน การจัดดอกไม้ ช่วยทำให้เราเข้าถึงความสดของประสบการณ์ตรงบางอย่างร่วมกัน ยิ่งมีการทำร่วมกันมันก็ยิ่งวิเศษ

เมื่อวานตอนผมเดินอยู่ที่น้ำตก มีคำๆหนึ่งวิ่งเข้ามาในหัว คือคำว่า Celebration หรือ การเฉลิมฉลอง คือ พวกเราเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่มักเฉลิมฉลองชีวิตหลังเที่ยงคืน คือหกชั่วโมงครึ่งหลังเที่ยงคืน เราเฉลิมฉลองต้อนรับตะวันขึ้นหรือรุ่งอรุณ ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเปลี่ยนการให้ความหมายคำว่าเฉลิมฉลอง ที่มักหมายถึงช่วงเวลาดึกๆดื่นๆ มาเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ในช่วงรุ่งเช้าที่พวกเรามีความสุขที่จะทำร่วมกัน กินน้ำชา นม น้ำเต้าหู้ และการมีชีวิตอยู่คือการเฉลิมฉลอง Living as celebrating!

โต๋ ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันหรือเปล่านะครับ พอพูดเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ก็นึกถึงคำว่าปัญญาร่วม ซึ่งก็เหมือนทรัพยากรอื่นๆ อย่างต้นไม้ น้ำ อากาศ ที่ผู้คนมีสิทธิ์เข้าถึงได้เท่าๆกัน เพียงแต่ว่า บางคนมีโอกาสในการเข้าถึงไม่เหมือนกัน แต่พอเรากลับมาคิดว่าการเข้าถึงได้ทำได้หลายแบบ เช่น การเดินป่า ก็เป็นทางหนึ่ง นึกถึงที่เคยพูดว่า ในซากปรักหักพังมันมักมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆเกิดขึ้นมา ถ้าเราวางใจว่ามันต้องมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาแน่ๆ และมันต้องเกิดขึ้นมาแน่ๆ ขอเพียงแต่ว่าเราปล่อยให้พื้นที่นั้นมีเวลาของตัวเอง โดยที่เราไม่เอาจอบไปถางทุกวันๆ มันก็ต้องมีสิ่งที่ก่อเกิดขึ้นมาจนได้

ธนัญธร ดีค่ะ การสืบค้นมันทำให้เรามีความชัดเจนยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

หมอวิธาน เวลามีการพูดคุยถึงจิตปัญญาศึกษา และหลักสูตรจิตตปัญญาศึกษา ผมก็รู้สึกขัดๆว่า แล้วหลักสูตรมันจะมีหรือเปล่า หรือควรจะใช้อะไรอย่างไร คือผมก็เข้าใจว่าคนทำงานก็คงพยายามทำให้เกิดอะไรขึ้นมา แต่พอเราใช้คำว่าหลักสูตรปุ๊บ มันทำให้เกิดการแข็งตัวหรือเปล่า หรือเราควรช่วยคิดกันหน่อยไหม ว่าควรใช้คำว่าอะไรดี หรือให้ความหมายเพิ่มเติมกับคำว่าหลักสูตรในวิถีทางของจิตตปัญญาศึกษาอย่างไร

เดินเท้า..ก้าวย่างด้วยพลังธรรมชาติ

ธรรมชาติยาตรา…การเดินเท้าอันศักดิ์สิทธิ์

เมื่อวานเป็นวันปีใหม่ที่พิเศษวันหนึ่ง
ไม่เหมือนปีอื่นๆ อาจเป็นเพราะสายตาเราเปลี่ยน
จิตใจเราเปลี่ยนกระมัง

เชียงรายเต็มไปด้วยหมอกไอยามเช้า
รวยละอองระยิบ นุ่มหนาไม่กรุ่นเกรงต่อไอแดด
ท้องฟ้าอวดสีฟ้า ระบัดระบายสีครามสว่างไสว
สีฟ้าอ่อนๆสัมผัสสายตา...เบาสบาย

กาลเวลาย่างก้าวช้าลง
ราวกับจะรอคอยผู้คนที่ยังคงหลับไหลในเตียงอุ่น
ให้ได้ตื่นขึ้นมายลโฉมอรุณรุ่งปีใหม่
ให้ไม่ต้องร้อนรน รีบเร่งที่จะริเริ่มกระทำการใดๆ
เหมือนกับกาลก่อกำเนิดจักรวาล
จากความว่าง
จากความไม่มีอะไร
มาสู่ความเคลื่อนไหว เปลี่ยนแปร

แม้จะสายแล้ว รถราก็ยังไม่ค่อยออกมาวิ่งมากนัก
ถนนว่างดีจัง ผมขับรถปิ๊กอัพคู่หูนวยนาดไปตามท้องถนน
จากบ้านสวน...เข้าสู่เมือง
รถราอ้อยอิ่งตามโรงจอด และริมทาง
เมื่อคืน ผู้คนคงปาร์ตี้เคาท์ดาวน์กันน่าดู
ผมร่วมเคาท์ดาวน์กับเพื่อนๆที่จบโรงเรียนเดียวกัน

ความคิดคำนึงเกี่ยวกับปีที่ผ่านมาค่อยๆทะยอยเข้ามาในใจ

ก่อนสิ้นปี อ้ายไชยประเสริฐ ชายชาวปกาเกอญอโทรมาเล่าแรงบันดาลใจที่ได้จากการเดินเท้าไปกรุงเทพ พวกเขาไม่ได้เดินเพื่อเอาชนะใคร แต่เดินตามแรงศรัทธาของแผ่นดิน
ในความเอื้ออาทรและความผูกพัน เขาบอกผมว่า "แม้เราไม่ได้พรบ.ป่าชุมชน แต่เราได้ใจคนกรุงเทพหลายคน" เป็นคำบอกเล่าทางโทรศัพท์ด้วยเสียงกรั้วด้วยรอยยิ้มแฉ่ง

พะตีตะแยะ ลุงปกาเกอญออีกคนก็เล่าว่า มีคนมาสัมภาษณ์ว่า “ความยั่งยืน” ในความหมายของพะตีคืออะไร นักวิชาการมักใช้คำว่า ความยั่งยืนของการจัดการทรัพยากรธรรมชาตินั้นขึ้นต่ออะไร พะตีตอบว่า “ขึ้นอยู่กับความผูกพันระว่างคนกับป่า” เมื่อผูกพันก็ดูแล เมื่อดูแลก็ยั่งยืน เด็กปกาเกอญอเกิดมาทุกคน ผู้เป็นพ่อจะเอารกและสายสะดือไปผูกติดกับต้นไม้ ในป่าเดอปอ ป่าศักดิ์สิทธิ์ที่ขวัญของมนุษย์และธรรมชาติเชื่อมสัมพันธ์เป็นหนึ่ง

ราวๆเดือนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปร่วมเดินธรรมชาติยาตรา ปีนี้เป็นปีที่แนวคิดเรื่องสันติวิธีและมิติของวัฒนธรรมแห่งความศักดิ์สิทธิ์ได้รับความสนใจจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชน ในเรื่องการแสดงความปรารถนาพระราชบัญญัติป่าชุมชน ฉบับที่ชุมชนจะสามารถมีส่วนร่วมในการดูแลรักษาดิน น้ำ ป่าอันเป็นนิเวศหรือบ้านหลังใหญ่ของสังคมไทยและสังคมโลก ดังที่ได้กระทำกันมาอย่างยาวนานในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา

ปีนี้การแสดงเจตจำนงค์ในทางนิเวศวิทยานี้ จะไม่กระทำออกมาจากความเกลียดชัง ความปรารถนาร้าย หรือความรู้สึกเป็นศัตรู ไม่มีการเผาหุ่น ก่นด่า สาปแช่ง ไม่เรียกร้องให้ได้ตามความต้องการของตน หากเป็นปฏิบัติการแห่งกรุณาเพื่อคนทั้งประเทศอย่างบริสุทธิ์ใจ เพื่อระบบนิเวศที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ เป็นสันติวิธีตรงที่เป็นการทำงานกับตัวเอง ทั้งความรัก ความปรารถนาดีและความกลัว

บางคนบอกว่าการเดินนี้ ดีกว่าไม่ทำอะไรเสียเลย ลุงชาวลำปางคนหนึ่งบอกว่าการนั่งอยู่บ้านเฉยๆ มันก็ต้องแก่ตายสักวันหนึ่ง เพราะตอนนี้ก็อายุหกสิบกว่าเข้าไปแล้ว ไม่รู้ว่าวันตายจะมาถึงเมื่อใด แต่ยังพอมีเรี่ยวแรงเดินได้ จึงขอเดินดีกว่ารอตายอยู่ที่บ้าน อย่างน้อยก็ทิ้งเรื่องราววีรกรรมไว้ให้ลูกหลานได้พูดถึงในวันข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจได้บ้าง

ปีนี้ การเดินธรรมชาติยาตราไม่มีความต้องการเอาชนะ เพราะเมื่อต้องการเอาชนะทำให้เกิดช่องว่าง มีเรามีเขาขึ้นมา เกิดความแบ่งแยกและขั้วคู่แห่งการแข่งขันขึ้นมา แต่เป็นปฏิบัติการเพื่อแผ่เมตตาและพรแห่งการมีชีวิตอยู่ เป็นการเดินเท้าที่มองเห็นว่าทุกชีวิตล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน

หากมองอย่างผิวเผิน หลายคนอาจคิดไปว่า บรรดาผู้คนเหล่านี้มาเดินเพื่ออะไร จะได้อะไร บางทีเรามักจะประเมินคุณค่าของสิ่งที่เราทำที่ผลที่จะออกมา มักจะมองเรื่องคุ้มหรือไม่คุ้มเป็นเชิงประสิทธิภาพไปเสียหมด ผมกลับคิดว่า เวลาเราทำสิ่งที่รู้สึกว่าถูกต้อง โดยคนอื่นอาจไม่เห็นด้วยกับเรา แต่มันเป็นเสียงพร่ำร้องภายใจลึกๆของเรา มันอาจไม่ส่งผลให้เห็นชัดเจน แต่มันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าแก่การกระทำเสมอ

มิเชล เพื่อนชาวฮอลแลนด์ที่พำนักอยู่ที่ศูนย์อนุรักษ์เมล็ดพันธุ์ บอกว่า เขานับถือคนเล็กคนน้อยที่ไม่ปล่อยให้ชีวิตของตัวเองนำพาไปด้วยความรู้สึกที่ต้องจำนนต่ออุปสรรคที่เกิดขึ้นในสังคม การเดินเท้าของคนที่ไม่มีทางเลือกหรือสิทธิพิเศษอย่างที่คนอื่นมีกันมากมายนั้นแสดงถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่อย่างหนึ่งที่งดงาม

พฤ (พรึ) ชายปกาเกอญอวัย ๓๔ ต้องเผชิญหน้ากับคำถามมากมายของตัวเอง ว่าสันติวิธีนั้นมีหัวใจหรือแก่นสารอยู่ที่ไหน พฤ เป็นปกาเกอญอที่ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยกับการตั้งคำถามอย่างจริงใจ คำถามบางคำถามของเขาดูเรียบง่าย แต่อาจทำให้ผู้ถูกถามต้องผงะงงไปได้เหมือนกัน มาคราวนี้ การเดินเท้าทำให้เกิดคำถามมากมายในใจ เราได้มีเวลาพูดคุยกันบ้าง เป็นคำถามที่ผมเองก็อาจไม่มีคำตอบใดๆ เช่น สันติวิธีเป็นเพียงเครื่องมือสำหรับกระบวนการต่อสู้ภาคประชาชนหรือไม่ แทนที่จะเป็นวิธีคิดและแนวปฏิบัติทั้งหมดของขบวนการ หรือ ในเรื่องมิติของความศักดิ์สิทธิ์ ทำไมปฏิบัติการทางกาย เช่นการเดินเท้า ธรรมชาติยาตรานี้มีมิติของความศักดิ์สิทธิ์อย่างไร หลังจากที่ผมตั้งข้อสังเกตให้เขาฟังว่า กายกรรมนี้เองที่เป็นการแสดงถึงมโนกรรมอันแกล้วกร้า มิใช่เป็นเพียงการเคลื่อนไหวทางกายอย่างไรความหมาย หรือเป็นไปเพียงเพื่ออัตตาตัวตนของเราเอง

ตอนที่ผมไปภาวนาอดอาหารอยู่วิเวกในทะเลทรายแถว แคนยอนด์แลนด์นั้น ในขณะที่นั่งชมตะวันตกดินในวันที่สามของการอด ท้องฟ้าเป็นสีทอง ริ้วเมฆระบัดสีแดงส้มสดสวย
อากาศเริ่มเย็นลงเล็กน้อง แต่ยังเบาสบาย ผมมองออกไปไกลสุดขอบฟ้า จากก้อนหินใหญ่ที่นั่งอยู่ ในช่วงที่เหตุปัจจัยต่างๆประกอบกันอย่างถึงพร้อมนั้น เกิดความคิดว่า ผมคือชนเผ่าที่นั่งมองความงามของแผ่นดินและจักรวาลมายาวนาน ชีวิตรุ่นแล้วรุ่นเล่าได้ผ่านไป การที่ผมเกิดมาเป็นคนเมืองที่ปลูกข้าวไม่เป็น เรียกชื่อต้นไม้ใบหญ้าไม่ถูกนั้น หาได้ทำลายสัมพันธภาพที่ผมมีต่อโลกใบนี้ลง ผมยังมีศักยภาพในการเยียวยาโลกและตัวผมเองได้เสมอ ผมไม่ควรมองตัวเองต่ำเกิน แล้วยกภาระหน้าที่ไปให้เพื่อนพี่น้องที่เป็นชนเผ่าแต่ฝ่ายเดียว ผมควรรับรู้ความรักที่ผมมีต่อโลกและแผ่นดินนี้อย่างไม่ต้องลังเลสงสัย แล้วยอมให้ความรักและความผูกพันนี้สำแดงออกมาเป็นปฏิบัติการต่างๆอย่างเปี่ยมพลัง

Doing the right thing is sometimes more important than doing things right.

พรแห่งอดีต คือมรดกแห่งนิเวศวิทยา ความหลากหลายทางชีวภาพ ชีวิตน้อยใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิต ที่ได้สืบทอดมาสู่ปัจจุบัน รวมทั้งภูมิปัญญาทั้งหลายที่เป็นปัญญาอันเกิดจาก
พื้นภูมิและบรรพชนของพวกเราทั้งหลาย

พรแห่งปัจจุบัน คือความมุ่งมั่นในการดูแลรักษา ความมีชีวิตของระบบนิเวศอันเป็นประธานแห่งชีวิตทั้งมวล คือความศรัธทราที่มีต่อข้าวมากกว่าเงินตรา

พรแห่งอนาคต คือดุลยภาพที่สังคมมนุษย์จะพึงมีกับสังคมหรือนิเวศแห่งธรรมชาติ ในสัมพันธภาพที่เท่าเทียมและเคารพ ดังจะเป็นหลักประกันสำคัญในการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ทั้งนี้ โลกนั้นเป็นระบบมีชีวิตที่มีกระบวนการรับรู้และจัดการตัวเองได้อย่างน่าประหลาดใจ

พรจากแรงบันดาลใจของการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า “เราไม่อาจอยู่ได้โดยไม่มีกันและกัน และยิ่งยากนักที่จะอยู่โดยปราศจากความรักในตนเองและผู้อื่น ก้าวแรกของการเยียวยาโลกือการเดินไปสู่ความงามภายใน’เธอ’ ด้วยการดูความงามในหัวใจเธอเอง ให้อภัยความคิดที่มาบดบังไฟแห่งปัญญาที่แท้ในดวงจิตเธอและแก้ไขความคิดเหล่านั้นให้ถูกต้องเสีย...จงนั่งลงสักครู่แล้วเฝ้าดู เราเรียกการทำเช่นนี้ว่า การค้นหานิมิต เราอาจนั่งอยู่หลายวัน นานเท่าที่จะทำให้สันติสุขกลับคืนมาสู่หัวใจเรา”

ปีนี้คือปีแห่งการสร้างพลังแห่งความอ่อนโยน
แปรทุกข์เป็นเมตตา
แปรความกลัวเป็นความศรัทธา