เมื่อเรามีจิตที่ว่างพอ ไร้ความคาดหวัง ไร้ความพยายาม
แล้วจึงได้ยินเสียงเพรียกจากอนาคต
กระทำการจากพลังอันบริสุทธิ์ทั้ง ๕ ในกายขับเคลื่อนแผ่วเบา
เมื่อเสียงแห่งความกลัว วิตกกังวลถึงตัวเองเบาบางลง
เราอาจจะได้ยินเสียงเพรียกหาจากอนาคต
เป็นเสียงเชิญชวนให้กระทำการเพื่อเติมเต็มและหล่อเลี้ยงสมบูรณภาพของชีวิต
ที่ไม่แยกส่วนโดดเดี่ยวอยู่ในเกราะกำบังตัวตนอันคับแคบอีกต่อไป
สมองส่วนหน้ากับอนาคตที่เคลื่อนเข้ามาหาเรา
ณ สัมผัสแห่งปัจจุบันอันสมบูรณ์ ไม่มีเส้นแบ่งระหว่างอดีตและอนาคต
ความเชื่อมรวมอันรื่นรมย์กับสรรพสิ่งก่อกำเนิดห้วงขณะใหม่ที่สดชัด
ราวน้ำค้างหยาดเยิ้มบนกอหญ้ายามอรุณรุ่ง
เงี่ยฟังเสียงเพรียกจากอนาคตแว่วกังวาลจากภายใน
ก่อแรงบันดาลใจให้ขยับไหว เคลื่อนคล้อยไปตามฤดูกาลที่ผ่านเปลี่ยน
เรียบง่ายราวเม็ดทรายที่รายลาดบนผืนหาด
ที่แผ่นดินและมหาสมุทรมาบรรจบ บรรจงจุมพิสสนิทแนบ
Monday, October 8
Sunday, October 7
Pure Awareness
No one can take away from us our awareness of whatever arises in the present moment.
Life can be lived only in the present.
Time is perceived as illusive, elastic, and therefore changeable, even though we always think about time as certain numbers or quantity.
How we relate to the present moment determine how much time we have in our life. So it’s not about the number of how many minutes we have within an hour, but how fully engaged we are with the present moment.
Life can be lived only in the present.
Time is perceived as illusive, elastic, and therefore changeable, even though we always think about time as certain numbers or quantity.
How we relate to the present moment determine how much time we have in our life. So it’s not about the number of how many minutes we have within an hour, but how fully engaged we are with the present moment.
เฝ้าคอยความกลัว
หากความกลัวเป็นส่วนหนึ่งของหนทางสู่การตื่นรู้แล้ว
ข้าขอนั่งเฝ้ารอคอยความกลัวที่จะย่างกรายเข้ามาเยือนอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
อย่างมิหวั่นเกรง ราวกับเด็กน้อยรอคอยอาหารมื้อต่อไป
อนิจจา... ข้าปฏิเสธเจ้าเรื่อยมาด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง รังเกียจเดียดฉันท์
ราวกับเป็นคนแปลกหน้าที่ห่างเหิน ไร้ใยดี
ข้าขอโทษที่มิได้ต้อนรับดูแลท่านอย่างสมเกียรติทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมเยียนหัวใจของข้า
แม้หัวใจข้าตื่นตระหนก ลมหายใจข้าหยาบกระด้างและหอบห้าวทุกครั้งที่ต้องพบเจ้า
แต่นั่นก็บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าท่านสำคัญกับข้าเพียงใด
ขอให้ข้าได้ดูแลท่านอย่างทนุถนอมเพื่อว่าข้าจะได้ใกล้ชิดกับเจ้า
เข้าใจเจ้าอย่างที่เจ้าเป็น และรู้จักที่ไปที่มาของเจ้า เพื่อข้าจะได้ฉลาดขึ้น
ด้วยปัญญาที่เจ้านำมาจากโลกแห่งความมืดมิด ที่ที่ข้าไม่รู้จัก และหวั่นเกรงมาตลอด
ขอบคุณที่เจ้าให้โอกาสข้าเรื่อยมา และจะใด้โอกาสข้าอีกร่ำไป
ข้าขอนั่งเฝ้ารอคอยความกลัวที่จะย่างกรายเข้ามาเยือนอีกครั้งแล้วครั้งเล่า
อย่างมิหวั่นเกรง ราวกับเด็กน้อยรอคอยอาหารมื้อต่อไป
อนิจจา... ข้าปฏิเสธเจ้าเรื่อยมาด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง รังเกียจเดียดฉันท์
ราวกับเป็นคนแปลกหน้าที่ห่างเหิน ไร้ใยดี
ข้าขอโทษที่มิได้ต้อนรับดูแลท่านอย่างสมเกียรติทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมเยียนหัวใจของข้า
แม้หัวใจข้าตื่นตระหนก ลมหายใจข้าหยาบกระด้างและหอบห้าวทุกครั้งที่ต้องพบเจ้า
แต่นั่นก็บ่งชี้อย่างชัดเจนว่าท่านสำคัญกับข้าเพียงใด
ขอให้ข้าได้ดูแลท่านอย่างทนุถนอมเพื่อว่าข้าจะได้ใกล้ชิดกับเจ้า
เข้าใจเจ้าอย่างที่เจ้าเป็น และรู้จักที่ไปที่มาของเจ้า เพื่อข้าจะได้ฉลาดขึ้น
ด้วยปัญญาที่เจ้านำมาจากโลกแห่งความมืดมิด ที่ที่ข้าไม่รู้จัก และหวั่นเกรงมาตลอด
ขอบคุณที่เจ้าให้โอกาสข้าเรื่อยมา และจะใด้โอกาสข้าอีกร่ำไป
Saturday, October 6
ให้ร่างกายตัดสินใจ
ให้ร่างกายตัดสินใจ
การทำงานกับฐานกาย เพื่อให้เกิดพลังแห่งความคิดและการทะลุทลวงความกลัว เป็นการตระเตรียมพื้นที่ว่างให้เกิดญานทัศนะ ความสดใหม่ และการดำรงอยู่กับปัจจุบันอย่างผ่อนคลาย กล้าเผชิญ เป็นมิตร เกาะติดกับภาวะแห่งความไม่รู้หรือความว่างเปล่าได้อย่างดี เป็นที่น่าประหลาดใจเมื่อร่างกายของเราได้ผ่านการยืดในท่าโยคะต่างๆ หรือผ่านการร่ายรำไทเก๊ก ที่ร่างกายเป็นประธานแห่งการเคลื่อนไหว แล้วให้จิตผูกตามไปจนเป็นหนึ่งเดียวกันได้บ้างนั้น เมื่อเหงื่อเริ่มผุดออกมาตามผิวหนัง ลมหายใจกรรมกรเริ่มกรรโชกแรงชัด ความคิดเริ่มเบาบางลง มีแต่ความร้อน เคลื่อนไหว ไหลเลื่อน เปลี่ยนแปลง ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับการมีชีวิต ที่มีรากฐานคือโลก คือธรณี คือความจริงและความเป็นเช่นนั้นเอง เราจะรู้สึกมั่นคงและมี “พื้นที่” ที่รู้สึกปลอดภัย ไม่แปรผัน เป็นความดีงามพื้นฐานที่สุด
ในภาวะที่ร่างกายปกติ ชี่ไหลเวียนดีเช่นนี้ เราสามารถตั้งคำถามแล้วร้องขอคำตอบจากจิตไร้สำนึกของเราเองว่าสิ่งที่พึงกระทำในสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่คืออะไร คำตอบที่ได้รับอาจเป็นความรู้สึกที่เริ่มจากอ่อนๆ เบาๆ ไปจนถึงเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนเราเริ่มมั่นใจและวางใจว่าคำตอบที่เราได้รับจากร่างกายหรือจิตไร้สำนึกของเรานั้นจะช่วยดูแลตัวเองให้ผ่านล่วงไปอย่างราบรื่น อย่างน้อยความเชื่อมั่นหรือแรงศรัทธานี้เองที่จะช่วยเปิดพื้นที่ให้กับจิตใต้สำนึกได้แสดงพลังปัญญาออกมาได้อย่างงดงาม
ความกลัวทำให้ประตูแห่งปัญญาของจิตใต้สำนึกของเราปิดลง เราอาจตรวจสอบตัวเองได้เสมอว่าเมื่อไรก็ตามที่เรามีความกลัวหรือความวิตกกังวลแม้เพียงน้อยนิด ประตูแห่งจิตไร้สำนึกก็จะปิดลงทันที หรือแม้แต่ร่างกายของเราก็เกิดอาการตึงเครียด แข็งตัวไม่ยืดหยุ่น จนเกิดอาการตัดขัด ปวดเมื่อยตามมา
เราสามารถให้ความรักและความสุขดูแลความกลัวไม่ให้ครอบงำชีวิตเรามากเกินไป ความสุขหาได้เป็นเพียงผลหรือเป้าหมายของการกระทำไม่ หากเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดออกของปัญญาของจิตไร้สำนึก ทั้งนี้ ความกลัวไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง เฉกเช่น มังกรที่มีพละกำลังมหาศาล หากเราสามารถรู้เท่าทันและน้อมรับความกลัวเหล่านี้ไว้ ยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรา เป็นตัวตนหนึ่งของตัวเราในหลายๆตัวตน การยอมรับความกลัวได้ช่วยทอนแรงของความกลัวลงได้มากทีเดียว แต่การฝืนสู้หรือหนีความกลัวนั้นยิ่งกลับเพิ่มแรงให้กับความกลัวให้ทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก
การทำงานกับฐานกาย เพื่อให้เกิดพลังแห่งความคิดและการทะลุทลวงความกลัว เป็นการตระเตรียมพื้นที่ว่างให้เกิดญานทัศนะ ความสดใหม่ และการดำรงอยู่กับปัจจุบันอย่างผ่อนคลาย กล้าเผชิญ เป็นมิตร เกาะติดกับภาวะแห่งความไม่รู้หรือความว่างเปล่าได้อย่างดี เป็นที่น่าประหลาดใจเมื่อร่างกายของเราได้ผ่านการยืดในท่าโยคะต่างๆ หรือผ่านการร่ายรำไทเก๊ก ที่ร่างกายเป็นประธานแห่งการเคลื่อนไหว แล้วให้จิตผูกตามไปจนเป็นหนึ่งเดียวกันได้บ้างนั้น เมื่อเหงื่อเริ่มผุดออกมาตามผิวหนัง ลมหายใจกรรมกรเริ่มกรรโชกแรงชัด ความคิดเริ่มเบาบางลง มีแต่ความร้อน เคลื่อนไหว ไหลเลื่อน เปลี่ยนแปลง ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับการมีชีวิต ที่มีรากฐานคือโลก คือธรณี คือความจริงและความเป็นเช่นนั้นเอง เราจะรู้สึกมั่นคงและมี “พื้นที่” ที่รู้สึกปลอดภัย ไม่แปรผัน เป็นความดีงามพื้นฐานที่สุด
ในภาวะที่ร่างกายปกติ ชี่ไหลเวียนดีเช่นนี้ เราสามารถตั้งคำถามแล้วร้องขอคำตอบจากจิตไร้สำนึกของเราเองว่าสิ่งที่พึงกระทำในสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่คืออะไร คำตอบที่ได้รับอาจเป็นความรู้สึกที่เริ่มจากอ่อนๆ เบาๆ ไปจนถึงเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนเราเริ่มมั่นใจและวางใจว่าคำตอบที่เราได้รับจากร่างกายหรือจิตไร้สำนึกของเรานั้นจะช่วยดูแลตัวเองให้ผ่านล่วงไปอย่างราบรื่น อย่างน้อยความเชื่อมั่นหรือแรงศรัทธานี้เองที่จะช่วยเปิดพื้นที่ให้กับจิตใต้สำนึกได้แสดงพลังปัญญาออกมาได้อย่างงดงาม
ความกลัวทำให้ประตูแห่งปัญญาของจิตใต้สำนึกของเราปิดลง เราอาจตรวจสอบตัวเองได้เสมอว่าเมื่อไรก็ตามที่เรามีความกลัวหรือความวิตกกังวลแม้เพียงน้อยนิด ประตูแห่งจิตไร้สำนึกก็จะปิดลงทันที หรือแม้แต่ร่างกายของเราก็เกิดอาการตึงเครียด แข็งตัวไม่ยืดหยุ่น จนเกิดอาการตัดขัด ปวดเมื่อยตามมา
เราสามารถให้ความรักและความสุขดูแลความกลัวไม่ให้ครอบงำชีวิตเรามากเกินไป ความสุขหาได้เป็นเพียงผลหรือเป้าหมายของการกระทำไม่ หากเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดออกของปัญญาของจิตไร้สำนึก ทั้งนี้ ความกลัวไม่ใช่สิ่งเลวร้าย หากทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง เฉกเช่น มังกรที่มีพละกำลังมหาศาล หากเราสามารถรู้เท่าทันและน้อมรับความกลัวเหล่านี้ไว้ ยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของเรา เป็นตัวตนหนึ่งของตัวเราในหลายๆตัวตน การยอมรับความกลัวได้ช่วยทอนแรงของความกลัวลงได้มากทีเดียว แต่การฝืนสู้หรือหนีความกลัวนั้นยิ่งกลับเพิ่มแรงให้กับความกลัวให้ทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก
Subscribe to:
Posts (Atom)