Tuesday, April 24

เอาชีวิตเข้าแลก


จิตตปัญญาศึกษา..การเรียนรู้แบบเอาชีวิตเข้าแลก!

เมื่อ ๒๑-๒๔ ต.ค. ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา ผมและนพ. วิธาน ฐานะวุฒฑ์ ได้มีโอกาสไปช่วยดำเนินกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับ “การสื่อสารอย่างกรุณา” ให้กับบุคลากรของทีมงาน ชีวันตาภิบาล (Palliative care) โดยมีผู้จัดคือ นพ.สกล สิงหะ ประธานหน่วยชีวันตาภิบาล โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย รวมถึงจัดการเรียนการสอนสำหรับแพทย์ระดับก่อนและหลังปริญญา และพัฒนางานวิจัยเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย palliative care ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้และใคร่ครวญถึงกระบวนการเรียนรู้อย่างมีจิตวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง


โดยได้ใคร่ครวญกับคำถามง่ายๆว่า “ความกรุณา” นั้นจะเป็นผลจากการศึกษาได้อย่างไร การศึกษาหรือกระบวนการเรียนรู้แบบไหนที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดจิตเมตตากรุณาได้ ครูบาอาจารย์จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ในระดับลึกนี้ได้อย่างไร เพราะ “ความกรุณา”ไม่ใช่เป็นเพียง “ความคิด” ไม่ใช่สิ่งที่จะสอน บรรยายหรือเทศนาแล้วหวังว่าผู้เรียนจะมี “หัวใจแห่งความกรุณา” ได้อย่างถ้วนหน้าและถาวร การเรียนรู้อะไรที่จะประทับใจตราตรึงจิตให้อ่อนโยนและเคารพเพื่อนร่วมชีวิต

ทุกวันนี้ คำว่า “ผู้มีการศึกษา” มักจะมีความหมายว่าเป็น “ผู้มีความรู้ ความคิดหรือประสบการณ์ในความรู้แขนงที่ศึกษา” และดูเหมือนว่าศาสตร์แขนงต่างๆจะพัฒนาไปข้างหน้าพร้อมกับเทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ๆ เหลือเพียงศาสตร์เดียวที่ยังไม่ได้บรรจุไว้ในระบบการศึกษา นั่นคือ “ศาสตร์และศิลป์แห่งการมองตน” ทั้งๆที่คำว่า “ศึกษา” มีรากศัพท์มาจากคำว่า สิกขา (สะ+ติกกะ) หมายถึง “การมองตน”



เวลาเราเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ เรามองออกไปนอกตัวเองจนชำนาญ ปราดเปรื่องและคุ้นชิน และไม่ว่าโลกหรือจักรวาลใบนี้จะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน ก็ไม่พ้นสายตาของเรา แม้สิ่งที่เล็กๆลงไปเป็นจุล เราก็ยังสามารถใช้กล้องไมโครสโคปกำลังสูงส่องเห็นจนทะลุปรุโปร่งไปถึงระดับโมเลกุล ระดับอะตอมกันเลย แล้วอะไรเล่าที่จะช่วยให้เรามองเห็นตัวเองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ให้เห็นภูมิทัศน์ด้านใน (Inner landscape) ว่าตัวเรานั้นงดงามหรือไม่ปานใด


“จิตตปัญญาศึกษา” ที่ท่านอาจารย์สุมน อมรวิวัฒน์ได้กรุณาคิดขึ้นมาให้คงมีความหมายไปตามนี้กระมัง คือการศึกษาที่เริ่มต้นที่หัวใจ ไม่ใช่แค่คิด เพราะหัวใจนั้นมีอารมณ์ ความรู้สึก และที่สำคัญมีตัวรู้ที่เรียกว่าสติ ไม่ใช่มีเพียงความคิด ที่เป็นเพียงวัตถุดิบหรือสารที่จิตเรารับรู้ หรือเรียนรู้ นั่นหมายความว่า จิตจำต้องได้รับการฝึกฝนให้มีประสิทธิภาพและกำลังพอที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆ อย่างเป็นจริงและเชื่อมโยง หาไม่แล้วรวมทั้งตัวเองที่ไม่แยกออกจากกัน


เราไม่ได้เรียนรู้เพราะเห็นว่าการศึกษาเป็นเพียงทางผ่าน แต่เป็นหนทางแห่งการแปรเปลี่ยนและเติบโต ไม่ได้เรียนรู้เพราะรู้สึกว่าต้องเรียน แต่เป็นสิ่งที่เราเลือก เป็นพลังแห่งการได้เกิดเป็นมนุษย์ คือการเลือก

หนทางแห่งการตื่นรู้ อยู่ในปัจจุบันขณะ สิ่งที่เราจะเอาชีวิตเข้าแลกคือปัจจุบันขณะ เพราะเป็นประตูเข้าสู่การมีชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม เพื่อมองเห็นความงามอันวิจิตรและความดีอันประเสริฐที่ดำรงอยู่แล้วในทุกๆสิ่ง



มองเห็นโลกซ้อนๆกันหลายๆใบ เห็นน้ำค้างเกาะตามยอดหญ้า และกิ่งไม้ยามเช้า เห็นแสงสาดส่องผ่านม่านหมอกและไอดิน เห็นสิ่งต่างๆเชื่อมโยงกันอย่างเป็นอิทัปปัจจยตา เราสามารถ ชื่นชมความแตกต่างหลากหลาย โดยเห็นความคิดของคนอื่นสอดร้อยเชื่อมโยงกับความคิดเรา และทำให้เกิดปัญญาร่วม เป็นระบบนิเวศแห่งความรู้ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กันและกัน เมื่อนั้นเราก็จะดำรงอยู่ใน ความไม่แยกส่วนและไม่แบ่งแยก และการรับรู้อย่างไม่ต้องเลือกปฏิบัติ


เพราะโดยปกติเรามีสิ่งที่เราชอบ และไม่ชอบ มีสิ่งที่เรากลัว และรักใคร่ เรามักจะเลือกเรียนรู้หรือรับรู้เฉพาะสิ่งที่เราชอบหรือพึงพอใจ และปฏิเสธสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือไม่เห็นด้วย เป็นทวิภาพ เป็นหัวใจที่แบ่งขั้ว จึงเกิดการเรียนรู้อย่างเป็นเสี่ยงๆ เราไม่อาจเข้าใจทั้งหมดของตัวเองหรือโลกได้หากเรายังเลือกที่จะเบือนหน้าหนีสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของเรา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเงามืดทมึน เป็นสิ่งที่เรากลัวหรือไม่รู้ โดยที่เรามักปฏิเสธการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านี้ และมักปฏิเสธว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเรา และอาจไปโยนความผิดให้กรรม หรือเจ้ากรรมนายเวรไป




เมื่อเราสามารถน้อมรับสิ่งที่เราไม่พึงพอใจได้ เราก็จะสามารถสร้างสันติภาพภายในตัวเราเอง ดำรงอยู่และเรียนรู้จากความแตกต่างได้ และช่วยหล่อเลี้ยงให้เกิดความเข้มแข็งของความเป็นชุมชน และสังคมแนวราบที่ยิ่งนับวันจะขาดหายไปจากสังคมไทยที่สังคมแนวดิ่งกดทับอิสรภาพของการเป็นมนุษย์ ทั้งนี้ ความเป็นกัลยาณมิตรที่สามารถสร้างขึ้นจะเป็นดั่งผืนพรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่เมล็ดพันธุ์แห่งการเรียนรู้ของทุกๆคนจะงอกงาม และทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการค้นพบความรักและมิติแห่งจิตวิญญาณภายในตน เป็นการเรียนรู้ที่ต้องเอาชีวิตเข้าแลก เพราะสิ่งที่เราเรียนรู้คือตัวตนของเราเอง ที่อาจมีหลายหน้าตา หลายตัวตน โดยที่ความรู้หรือความเข้าใจที่ลุ่มลึกจะบังเกิดขึ้นได้เมื่อเรายอมให้ความคิดหรือความรู้ชุดเดิมล่มสลายลง เช่น เราอาจเคยคิดว่าเราเป็นคนดี แต่เมื่อเราสืบค้นเข้าไปในตัวเองแล้วค้นพบ “ความเกเร” หรือ “ความร้ายกาจ” บางอย่างของตัวเอง และเมื่อรับรู้และยอมรับได้ “ความไม่ดี” นั้นก็ได้เริ่มคลายกำลังลง และอาจหมดความหมายไปเลยก็ได้ แต่การที่เราจะสามารถยอมรับว่าเราก็ไม่ได้ดีเด่อย่างที่เราคิด บางครั้งก็เจ็บปวดได้เช่นกัน ภาพลักษณ์ของเราถูกบีบคั้นให้ล่มสลายลงราวกับปราสาททรายที่ถูกคลื่นทะเลโถมซัดให้พังลงมา


ความกล้าเผชิญความจริงแห่งตัวตนจะช่วยทำให้เราเห็นและอาจค้นพบอิสระจากกรอบกรงขังเดิมๆได้ทีละเปราะ เหมือนการปลอกหัวหอม เป็นการเดินทางเข้าสู่ด้านในเพื่อขัดเกลาตัวเอง ให้สิ่งที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอกนั้นหลุดออกไปจนเหลือเพียงความเปลือยเปล่าที่จริงแท้ เรียบง่ายและอิสระ.

No comments: