Friday, April 27

กู้วิกฤตมิตรภาพ



เสี่ยงสู้..กู้วิกฤตมิตรภาพ


ชีวิตโดยเดี่ยว..เฝ้ามองหาเพื่อนและมวลมิตร
แต่การเข้าถึงความเป็นกัลยาณมิตร หรือเพื่อนที่แสนดีนั้นอาจหมายถึงการเอาชีวิตเข้าแลก
หรืออาจหมายถึงการที่ต้องยอมปล่อยทิ้งความอบอุ่นปลอดภัยให้สูญสลายไปกับความโดดเดี่ยว
และก้าวล่วงไปสู่พื้นที่แห่งความสิ้นหวัง และค้นพบขุมพลังของหมาจนตรอก


เราทุกคนต่างมีรอยแผลในใจ และแสวงหาความปลอดภัยให้กับแผลเก่าเหล่านั้นไม่ให้เปิดออกมาอีกครั้ง
เราหวังว่ามิตรหมู่ทั้งหลายจะช่วยให้เราไม่ต้องเปิดแผลที่เจ็บปวดอีก
และดำเนินชีวิตต่อไปอย่างปกติ ไม่ต้องพะวักพะวงว่าความขาดพร่องของเราจะกลับมาเล่นงานเราอีก

แต่จนแล้วจนรอด รอยแผลก็กำเริบเสิบสานรุกรานชีวิตเราเป็นระยะๆ ไม่หยุดหย่อน แบบที่เราไม่รู้ตัว
แม้เราพยายามปกปิด ละเลย แล้วเดินหน้าต่อ และพยายามไม่มองมาข้างหลัง
แล้วปลอบประโลมตัวเองว่า "ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็หายไปเอง"
แต่จนแล้วจนรอด เราไม่เคยรอดได้จริงๆ


มิตรภาพไม่ได้มาด้วยเพียงความรู้สึกที่ดีที่เรามีให้กับตัวเองหรือคนรอบข้าง
แต่มาได้ด้วยความซื่อตรง จริงแท้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายในตัวเรา
ยอมรับอย่างที่เป็น ไม่ตัดสิน หรือพิพากษา หรือแม้พิพากษาก็ยอมรับว่าเราพิพากษาตัวเอง
เป้าหมายของการพัฒนาด้านใน ควบคู่ไปกับการพัฒนาชุมชน และมิตรภาพที่จริงแท้ ที่เริ่มจากเราเอง


ภาพลักษณ์หรือบทบาทที่ช่วยปกป้องคุ้มครองเราให้ปลอดภัยมาตลอดนั้น เมื่อถึงเวลาก็ต้องทำลายรื้อถอนลง เพื่อให้เราได้เปลือยเปล่าท่ามกลางโอกาสแห่งความเป็นไปได้ของชีวิตทั้งมวล
"ฉันไม่ใช่ ฉัน อย่างที่เคยคิด...ฉันคือความเป็นไปได้ทั้งมวล"

ไม่ว่าเราพยายามจะเป็นคนดีเพียงใด เป็นคนสำเร็จ คนเก่ง หรือคนที่น่ารัก
หรือไม่ว่าเราจะพยายามเป็นคนเลว คนชั่ว ทำตัวให้ไม่เป็นที่รัก หรือน่ารังเกียจหมั่นไส้ ในสายตาผู้คน
เพื่อว่าเราจะได้รู้สึกอิสระจากความคาดหวังของสังคม หรือไม่ผิดหวังในตัวเอง
นั่นคือ ตราบใดที่เรายังพยายามอยู่ หมายถึง เรากำลังแยกตัวเองออกจากความจริงแท้ของตัวเอง
ที่ดำรงอยู่ในความเปลี่ยนแปลง


บางครั้งการได้ลิ้มลองชิมรสชาดของบทบาทที่เราไม่คุ้นเคยดูบ้าง
เป็นคนกร้าวร้าวบ้าง หรือเป็นคนอ่อนเอนไหวพริ้วบ้าง อย่างไม่ตัดสินหรือพิพากษา
ก็น่าจะเปิดชีวิตให้กว้างใหญ่ขึ้น และค้นพบว่า ถึงที่สุดแล้ว เรามีทางเลือกเสมอ
ที่จะเป็นอะไรก็ได้ ดังใจปรารถนา
ไม่ว่าทุกข์หรือสุข


เมื่อเราจริงแท้กับตัวเองได้ พลังแห่งการยอมรับศิโรราบให้กับความจริงแท้และเปลือยเปล่านี้
ย่อมสำแดงปรากฎ แผ่กระจายไปสัมผัสชีวิตทั้งหลายที่เราเกี่ยวพันด้วย
เราไม่ต้องกลัวความโดดเดี่ยวอีกต่อไป เพราะนั่นเป็นเพียงมายาภาพที่เราเคยสงสารตัวเอง
เราไม่ต้องกลัวความล้มเหลวอีกต่อไป เพราะมันมิอาจทำให้ความรักของเราเปลี่ยนแปลงได้

การดำรงอยู่อย่างจริงแท้กับตัวเอง ไม่ใช่การได้ชัยชนะเหนืออะไร เพราะไม่มีอะไรแพ้หรือชนะ
ความเปลือยเปล่าก็ไม่ได้ดีไปกว่าอะไร มันเป็นเพียงความเปลือยเปล่า ที่ไร้วาระและความคาดหวัง
การไม่แสวงหาเกราะกำบังหรือคำปลอบประโลมใดๆ เพราะลมหายใจเข้าออกได้ดูแลฉันแล้ว


เพียงซื่อตรงและจริงแท้ โลกใหม่ก็ปรากฎอยู่เบื้องหน้า และเบื้องลึก
แต่นี่อาจถึงแก่อสัญกรรมแห่งอัตตา และการต้องเผชิญกับความหวั่นไหวและวิตกกัลวลอย่างสุดขีด
ความประหวั่นพรั่นพรึงที่เราจะไม่มีทำนบให้เกาะ ได้แต่เพียงลอยคออยู่ในมหาสมุทรที่เวิ้งว้าง
หากโชคดี อาจมีท่อนไม้สักต้น ลอยมาให้เกาะ
ไม่ได้...เกาะไม่ได้เชียว เรากระโดดลงจากท่าน้ำเพราะจะหลอมเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำมิใช่หรือ
แล้วจะกลัวจมน้ำทำไมกัน
กลัวจะเป็นหนึ่งเดียวกับห้วงมหรรณพที่ยิ่งใหญ่ไปใย






Wednesday, April 25

เล่าเรื่องนาโรปะที่วงจิตวิวัฒน์ (ปี๔๗)


เมื่อผมเข้าเรียนที่นาโรปะเมื่อ ๘ ปีก่อน ตอนแรกก็ไม่ได้ตั้งใจ เพราะว่าคุณพ่ออยากให้เรียน MBA แต่ผมต่อรองว่า ขอเป็น MA เฉยๆได้ใหม คุณพ่อก็เลยถามว่าแล้วจะไปเรียนที่ไหน ผมก็บอกว่า มหาวิทยาลัยนาโรปะ คุณพ่อก็ถามว่า ติดอันดับอะไรบ้าง (หัวเราะ) เพราะว่าไม่มีใครรู้จัก แต่ผมปรึกษาหลายๆ คนแล้ว อ.สุลักษณ์ ก็แนะนำที่นี่ ความจริง ชูมากเกอร์ คอลเลจ (Schumacher College) ก็น่าสนใจ แต่เนื่องจากไม่มีหลักสูตรประจำ มีแต่ course สั้นๆ ก็เลยไปเรียนที่นาโรปะ ตอนแรกตั้งใจไปเรียนเรื่อง Engaged Buddhism แต่คิดไปคิดมา ก็มาดูหลักสูตรผู้นำสิ่งแวดล้อม ซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจ เพราะเขาใช้คำว่า The Union of Science, Spirit and Action เป็น theme ของหลักสูตรการศึกษา คือเพื่อให้เข้าใจวิธีคิด กรอบความคิดทางวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ศาสตร์ทั้งหมดที่เป็นมา เข้าใจมิติของความศักดิ์สิทธิ์ แล้วต้องนำไปสู่การรับใช้ผู้อื่น และการเปลี่ยนแปลงตัวเอง ความศักดิ์สิทธิ์ถ้าหากไม่ได้ดำรงอยู่ในวิถีชีวิตแล้ว ก็เป็นเพียงแค่ความศักดิ์สิทธิ์ที่เราคิดเอาเอง
แนวคิอีกประการหนึ่งของหลักสูตรนี้ คือนิเวศวิทยาแนวลึก, System Theory, Chaos Theory และนำ principle ทางด้านมานุษยวิทยามาสอนด้วย เช่น Cultural Ecology ผมจึงเลือกเรียนสาขานี้เพราะเห็นว่าท้าทายดี

Course แรกก็เป็นอย่างที่เขียนไว้ในเอกสารประกอบ คือต้องออกไปอยู่ทะเลทราย ต้องพาตัวเองเข้าไป เป็นทั้งความรู้ เป็นทั้งตัวทดสอบความรู้ และเข้าไปหาความรู้ เพราะนาโรปะถือว่าความรู้เกิดขึ้นมาจากกระบวนการสัมพันธ์กับธรรมชาติ

นาโรปะเป็นมหาวิทยาลัยเล็กๆ ที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มคนเล็กๆ คล้ายๆ กับกลุ่มจิตวิวัฒน์ แล้วคิดว่าจะมีกระบวนการเรียนรู้และการศึกษาอย่างไร ที่ทำให้ผู้เรียนสามารถค้นพบความสุขในการเรียน แล้วเปลี่ยนแปลงตัวเอง เท่าทันตัวเอง ผู้ก่อตั้งคือ เชอเกียม ตรุงปะ (Chögyam Trungpa, Rinpoche) กับลูกศิษย์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นศิลปินบ้าง เป็นนักวิทยาศาสตร์บ้าง อลัน กินสเบิร์ก กวีเอกร่วมสมัยของอเมริกา ก็เป็นลูกศิษย์คนหนึ่ง ที่มาช่วยก่อตั้งมหาวิทยาลัยด้วย มีการสอนเปิดสอนในหลายคณะ เช่น จิตวิทยาการศึกษา ดนตรี ศิลปะบำบัด โดยส่วนใหญ่ผู้เรียนจะเป็นชาวอเมริกัน แต่ก็มีจากอังกฤษบ้าง หลายๆ คนที่มาเรียนก็เพื่อเยียวยาตัวเอง เข้าใจตัวเอง และไปรับใช้คนอื่น มีนักศึกษาประมาณ ๑ พันคน (นพ.ประเวศ: เดี๋ยวนี้ มี ๑,๕๐๐ คน)

ตอนแรกมหาวิทยาลัยก็ไม่มีเงิน เพราะรัฐไม่อุดหนุน ค่าเล่าเรียนจึงสูง เนื้อหาวิชาส่วนใหญ่ จะมี ๓ เรื่องหลักๆ คือ หนึ่ง เรื่องการเข้าใจตนเอง มีวิชาภาวนา ที่ใช้คำว่า contemplative ไม่ได้ใช้คำว่า meditation เพราะคนที่นับถือศาสนาอื่น ก็มาเรียนได้ มีการแสวงหารูปแบบที่จะพัฒนาการทำงานด้านใน การได้ยินเสียงของตัวเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นเสียงของเรา อาจจะเป็นเสียงของคนอื่น หรือเป็นเสียงของพระเจ้าก็ได้

สอง เรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับโลก มีการเรียนพัฒนาการของระบบชีวิต ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องค่อนข้างใหม่ อาจารย์ก็จะให้อ่านทฤษฎีวิวัฒนาการแล้ววิพากษ์ทฤษฎีเหล่านี้ เรียนจนถึงการเกิดขึ้นของทุนนิยม และทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ใน scale ที่ใหญ่และซับซ้อนมากขึ้น เรียนทฤษฎีระบบ โดยใช้หนังสือของ โจแอนนา เมซี (Joanna Macy) ซึ่งถือว่าเป็น scholar ที่โยงกับพุทธศาสนาในเรื่องอิทัปปัจจยตา โยงเข้ากับ General System Theory เธอใช้ภาษาบาลีในการเขียนหนังสือมาก คนที่ไม่ใช่พุทธอย่างเพื่อนผม อ่านแล้วก็หงุดหงิด เพราะไม่รู้ภาษาบาลีสันสกฤต

สาม เรื่องการพัฒนา leadership ความเป็นผู้นำ หมายถึง การทำงานเป็นกลุ่ม การแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง การพัฒนาการฟัง การประสานความขัดแย้ง คือทักษะทุกอย่างที่เกี่ยวกับการสร้างองค์การ หลักสูตรที่ผมเรียน แบ่งเป็น ๓ area แต่ภาควิชาอื่นๆ เช่น ดนตรี ศิลปะ หรือ psychology ซึ่งนาโรปะมีหลากหลายมาก ทั้งการใช้กาย จิต มีสาขาใหม่คือ ecopsychology คือการใช้ธรรมชาติเป็นตัวบำบัด ที่ทำให้เราเยียวยา และปรับจิตใจให้สูงขึ้น จุดที่ผมคิดว่าเป็นข้อเด่นของนาโรปะ คือการรักษาขนาดให้เล็ก เพราะมีผลต่อการสร้างบรรยากาศความเสมอภาคในการเรียน ที่เข้าใจกันว่าฝรั่งมีความเท่าทียมกันในชั้นเรียน ก็ถูกในระดับหนึ่ง คือลูกศิษย์สามารถแย้งอาจารย์ได้ แต่ผมก็คิดว่า power relationship หรือประเด็นเรื่องอำนาจ ยังเป็นปัญหาอยู่ในบรรยากาศของการเรียน ที่นาโรปะพยายามทำคือ ลูกศิษย์กับอาจารย์สามารถเรียนไปด้วยกันได้ อาจารย์ก็สามารถไม่รู้ได้ ยอมรับตรงๆ ว่าไม่รู้แล้วค้นหาร่วมกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ก่อตั้งเน้นมาโดยตลอด หลักเรื่องการดำรงอยู่กับความไม่รู้ การไว้วางใจชีวิต การอยู่กับความเปราะบาง vulnerable เป็นจุดที่ผมรู้สึกว่า ในฐานะที่เติบโตมาทางพุทธเถรวาท ไม่ค่อยได้สัมผัส โดยเฉพาะเรื่องการเปราะบาง ในหนังสือซึ่งมีแปลเป็นภาษาไทย เรื่อง Shambhala เชอเกียม บอกว่า หัวใจของนักรบ ต้องเป็นหัวใจที่เปราะบางและแตกได้ตลอดเวลา ไม่ต้องเป็นหัวใจที่มั่นคง เชื่อมั่น แล้วก็รู้ ซึ่งผมคิดว่าเป็น principle หรือหลักการบางอย่างของนาโรปะ ที่มีผลทำให้ให้เปิดกว้างต่อความคิดสร้างสรรค์ และ innovation ความรู้ถูกสร้างขึ้นมาร่วมกันระหว่างครูกับศิษย์ คืออาจารย์จะมีความรู้และมีประสบการณ์มาก แต่เวลาร่วมอยู่ในกระบวนการสอน ในการเรียนรู้ร่วมกัน ก็มักจะมีอะไรที่ใหม่และสดเกิดขึ้นเสมอๆ

พื้นฐานของความไว้วางใจ จะใช้คำว่า basic goodness คือความดีความงาม ศักดิ์ศรี ความสง่างามของชีวิต ความสง่างามของความเป็นมนุษย์ มีอยู่แล้ว ไม่สามารถทำลายได้ ซึ่งตรงกับวิธีคิดของชนเผ่าดั้งเดิมของอเมริกา ที่เรียกว่าอินเดียนแดง ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่นาโรปะพยายามนำมาสอดประสานระหว่างความคิดทางพุทธ อินเดียนแดง และวิทยาศาสตร์ อาจารย์คนหนึ่งบอกว่า ไม่ว่าจะนอนดึกขนาดไหน ก็จะตื่นขึ้นมาแต่เช้า เพราะช่วยให้ตนเองมีพลังและช่วยให้สามารถเดินอยู่บนขอบได้ตลอดเวลา และบอกว่าชีวิตของการเรียนรู้ ต้องเดินอยู่บนขอบ ต้องพบความเสี่ยง พบกับอะไรที่มาปะทะมาชนได้ตลอดเวลา
ในแง่ของกระบวนการเรียนรู้ที่ผมอยากจะพูดถึง คือการนำพิธีกรรมมาใช้กระบวนการศึกษา หน้าที่ของพิธีกรรรมจะมีหลายประการ เชื่อมโยงกับที่ใช้กันในสังคมดั้งเดิม ชุมชนดั้งเดิมอยู่แล้ว เชื่อมโยงกับจิตที่แตกออก กับธรรมชาติ ทุกๆ class จะมีธรรมเนียมว่า ผู้เรียนจะนั่งเป็นวงกลมอย่างนี้ พอจบ class ก็จะมีพิธีกรรมเล็กๆ

สำหรับการภาวนา หมายถึงการนั่งตามลมหายใจ จะมีครูสอนภาวนาเป็นผู้ให้คำปรึกษา เมื่อนักเรียนที่ไม่คุ้นเคยหรือว่ามีปัญหาเกี่ยวกับภาวนา ก็สามารถ sign up และขอพบอาจารย์ได้ นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยจะมีห้องภาวนา ขนาด ๓๐ เบาะ เปิดตั้งแต่เช้า นักศึกษา staff ของมหาวิทยาลัย หรืออาจารย์ สามารถเข้าไปใช้ได้ตลอดเวลา

กลับมาเรื่องพิธีกรรมอีกนิด ก็คือ พิธีกรรมที่เป็นกระบวนการเรียนรู้อย่างหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นพิธีกรรมเก่าดั้งเดิม จะมีการค้นพิธีกรรมใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ พวกผมจะถูกฝึก ถูกสั่งการบ้านให้คิดพิธีกรรม แล้วนำมาเสนอให้เพื่อนๆ ทำด้วยกัน ทำตัวเป็นชนเผ่า บางคนก็ใช้การเคลื่อนไหวร่างกาย บางคนก็ใช้การร้อง ฉะนั้น ก็จะหลากหลาย เพื่อนผมหลายคน ใช้พิธีกรรมการร้อง มีสีสันมาก อย่างการร้องโอมมมมม เป็นต้น กรณีนี้ จะเห็นได้ว่า กระบวนการเรียนรู้จะเกิดขึ้นจากนักศึกษาด้วย หรือการออกไปอยู่ในทะเลทราย อดอาหาร ๓วัน ก่อนออกเดินทาง ครูก็จะแนะนำว่า ให้ฝึกสร้างพิธีกรรมที่จะอยู่กับตัวเอง เพราะเวลาอยู่กับตัวเอง จิตจะฟุ้งง่าย ต้องอาศัยพิธีกรรมช่วย ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรม หรือว่าคุยกับมดที่ผ่านไปมา ถามไปเลยว่า ชีวิตผมสับสนมาก ขอคำตอบหน่อย แล้วก็ให้ฟังจริงๆ แต่มดก็เมิน ไม่อยากคุยด้วย (หัวเราะ) คือการออกทะเลทราย (อยู่ในรัฐยูทาห์ ใกล้ๆ กับอริโซนา สวยงามมาก) ในสมัยก่อนเขาใช้คำว่า “Vision Quest” มหาวิทยาลัยเชื่อว่าถ้าปล่อยให้อยู่คนเดียว ในที่ไกลๆ เคว้งคว้าง เวิ้งว้าง จะมีผลต่อวิธีคิด (นพ.ประเวศ: มีเขียนว่า ออกไปแก้ผ้ากลางทะเลทราย) อาจารย์บอกว่าอาจจะเจออะไรดีๆ ผมก็ลองทุกอย่าง แต่ไม่เจออะไรสักที คืออาจารย์จะให้ตั้งคำถามกับตัวเองว่า การออกไปอยู่กับตัวเองครั้งนี้ ต้องการจะรู้เรื่องอะไร เราสามารถขอให้พลังของธรรมชาตินำความกระจ่างชัดเข้ามาในใจเราได้ ในด้านหนึ่ง นี่เป็นกระบวนการที่ช่วยให้เราทำหมายเหตุชีวิต คล้ายการบวชในบ้านเรา ที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนสถานะจากเด็กกลายเป็นหนุ่ม การออกไปอยู่กับตนเองในธรรมชาติ ผมคิดว่าคงมาจากแรงบันดาลใจของหลายๆ คนที่ไปเรียนรู้มาจากอินเดียนแดง ประกอบกับเอาความรู้ความเข้าใจทางด้าน psychology สาย คาร์ล จุง (Carl Gustav Jung) ที่เป็นเรื่องของจิต เป็นเรื่องการตีความระบบสัญลักษณ์ เพราะว่าเมื่อเราออกจากทะเลทราย ก็จะมานั่งล้อมวง แล้วเล่าให้อาจารย์ฟัง อาจารย์ก็จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเราในช่วง ๓ วัน มีนัยสำคัญอย่างไรต่อชีวิตเรา เราตั้งโจทย์ของตัวเองอย่างไร ก็จะมีการตีความเชิงสัญลักษณ์ ในแง่หนึ่งก็ช่วยให้นักเรียนเข้าในตัวเอง เช่น ถ้าบางคนเห็นนกหรืองู อาจารย์ก็จะถามว่า ปรกติคุณมองนกหรืองูอย่างไร โดยไม่ต้องคิด สัญลักษณ์พวกนี้มีความหมายอย่างไร เขาใช้คำว่า synchronisity ความประจวบเหมาะของเหตุการณ์และความหมาย ไม่ใช่อุบัติเหตุ นี่เป็นกระบวนการหนึ่งที่ทุกคนต้องผ่านในการศึกษาระดับปริญญาโท ซึ่งจะโยงเข้ากับความเข้าใจเรื่องนิเวศวิทยาแนวลึก เพราะหากไม่ได้เข้าไปอยู่ตรงนั้น เพียงแต่อ่านหนังสือเกี่ยวกับนิเวศวิทยาลัยแนวลึก ก็จะไม่สามารถเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้

พวกเราเคยเชิญนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง ของสถาบันวิจัยทางอากาศที่อยู่ในโบลเดอร์ (Boulder) ซึ่งเป็นสถาบันที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในอเมริกา และกำลังวิจัยเรื่องโลกร้อน argument ของเขาคือ โลกร้อนอยู่แล้ว แต่คนไปคิดว่าตัวเองเป็นสาเหตุหลัก แม้เขาจะไม่ปฏิเสธว่ามนุษย์มีส่วนทำให้โลกร้อนยิ่งขึ้นก็ตาม โดยเขาเข้าไปอยู่ในป่า ภาวนา แล้วก็ทำงานในห้องแลป นักศึกษานาโรปะ จึงชวนมาร่วมเวที เพราะนาโรปะจะมีการจัดเวที brownbag lunch คือการถือขนมมานั่งกินมื้อกลางวันในวงสนทนาได้ เป็นกันเองมาก และพิธีกรรมหนึ่งก็คือการทำงานกับอารมณ์ ผมคิดว่า เป็นบรรยากาศทั่วไป ทุกชั้น ทุกสถานที่ ในนาโรปะ คือการให้คุณค่ากับการเข้าใจตนเอง เข้าใจอารมณ์ตัวเอง เพราะคนที่มาเรียนนาโรปะส่วนใหญ่จะใช้ความคิดมาก แต่เข้าใจเรื่องอารมณ์และการทำงานแบบกลุ่มน้อย เป็นเรื่องปกติที่นักศึกษาจะพูดเรื่องที่ตัวเองกลัว หรือเสียใจ แล้วร้องไห้ขึ้นมา การร้องไห้หรือการแสดงอารมณ์ความเศร้า เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในบรรยากาศของการศึกษา และสำคัญมาก เพราะอยากจะเอื้อเฟื้อให้คนได้สัมผัสแล้วไม่ปฏิเสธอารมณ์ของตัวเอง แต่ก็ไม่ปล่อยให้รุนแรงมากขึ้น
กลับมาที่หลักของการดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ เมื่อตอนที่ผมไปเรียน ผมไม่เคยอ่าน Mission ของนาโรปะหรืออ่านแบบไม่ได้สนใจมากนัก แต่พอเรียนจบแล้วกลับมาทำงาน เมื่ออ่านพันธกิจ ๖ ประการของนาโรปะ จะตรงกับกระบวนการเรียนรู้ที่สัมผัสมาเลย ซึ่งทำให้เปลี่ยนตัวเองมาก เพราะเมื่อก่อน ผมเป็นคนที่เหนียม ไม่แน่ใจ มีภาพลักษณ์ของตัวเองเยอะ ว่าควรเป็นอย่างไร แต่ไม่ได้คิดว่าตัวเองคือใคร ซึ่งก็ถูกยัดเยียดมาในกระบวนการศึกษา ในกระบวนการเติบโต ในความเป็นผู้ชาย ทีนี้กระบวนการทั้งหลายในแต่ละวิชา ก็ช่วยทีละนิดทีละหน่อย ทำให้รับรู้ในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น แล้วก็นำมาประยุกต์ได้

ประการที่ ๑ คือ ความรู้เท่าทันปัจจุบันขณะ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของการเรียนรู้ การสร้างความรู้ เป็นการฝึกฝนและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเอง ซึ่งตรงกับหลักการทางพุทธซึ่งพวกเราคุ้นเคยกันอยู่แล้ว แต่กระบวนการศึกษาในตะวันตก หลักการนี้ถือว่าเป็นข้อแรก ที่สำคัญที่สุด เพราะหากเราสามารถรู้เท่าทันปัจจุบันขณะได้มากขึ้น จะทำให้เรารับรู้ประสบการณ์ตรงที่เกิดขึ้น ทำให้กระบวนการเรียนรู้ละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเท่าทันความคิด ความรู้สึก การเกิดขึ้นของความคิดต่างๆ อารมณ์ต่างๆ และการอยู่ในปัจจุบันขณะ ก็จะมีคุณลักษณะต่างๆ ที่สามารถสำแดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นความคิดอ่านแม่นยำ ความเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น

หลักการที่ ๒ คือ การสร้างสรรค์ชุมชนแห่งการเรียนรู้ เพราะการเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องการแสวงหาของปัจเจกเท่านั้น และประสิทธิภาพก็ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องเรียนที่แยกสัดส่วนจากสิ่งแวดล้อม แต่ว่าจะต้องเกิดจากปฏิสัมพันธ์ dynamic จากการปะทะสังสรรค์ที่เรามีต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ฉะนั้น บรรยากาศของกัลยาณมิตรหรือการเรียนรู้ จะทำให้เกิดการทดลองการมีชีวิต ท้าทาย ทดสอบสติปัญญา ความรู้ และการรับรู้ของนักศึกษา เป้าหมายการเรียนรู้ในแต่ละวิชา ระบุว่าจริงๆ แล้ว คนที่มาเรียน เมื่อจบออกไป จะหาสมดุลในชีวิตอย่างไร การทำวิชาชีพจะเป็นอย่างไร เพื่อนผมหลายคนบ่นว่า มาลงภาวนาตั้ง ๙ หน่วยกิต จบออกไปจะทำอะไรกิน (หัวเราะ) ใครจะรู้ ใครจะเข้าใจบ้าง ว่าการภาวนามีผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน
หลักการที่ ๓ คือ บ่มเพาะการเปิดกว้าง ซึ่งแยกย่อยออกไปอีก คือเขาถือว่า graduate จะต้องมีคุณลักษณะอย่างไร ทั้งหมด ๕ ประการด้วยกัน

๓.๑ นักศึกษาต้องมีความเปิดใจและเคารพในประสบการณ์ตรงของตัวเอง ไม่เฉพาะความคิด ประสบการณ์คือทุกๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคิด อารมณ์ ความรู้สึก บัณฑิตที่พึงปรารถนาของนาโรปะ จะต้องมองเห็นประสบการณ์ตรงเหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา เพราะถ้าพลาดการรับรู้ประสบการณ์ตรงเหล่านี้ การเรียนรู้ก็จะไม่เกิดขึ้น การบ่มเพาะความสนใจใคร่รู้ในโลก ในสิ่งที่อยู่รอบข้าง สามารถดำรงอยู่และยอมรับในสิ่งที่เราเป็นได้อย่างไม่แปลกแยก ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องที่ยากที่สุดเรื่องหนึ่งของโจทย์การศึกษาในนาโรปะ ไม่แปลกแยกกับความคิด ไม่แปลกแยกกับความเป็นตัวเอง

๓.๒ ทักษะการสื่อสาร การสร้างความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์ คือต้องเรียนรู้ที่จะชื่นชมคุณค่าในประสบการณ์ตรงของคนอื่น มีการฝึก dialogue ของ เดวิด โบห์ม ซึ่งจะคล้ายๆ กับของเควกเกอร์ ต้องรับฟังและเคารพ เมื่อได้ยินเสียงข้างในของตนเอง ก็ต้องเคารพในประสบการณ์ข้างในของคนอื่นด้วย เพราะทักษะในการสื่อสารจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเราสามารถชื่นชมประสบการณ์ข้างในของคนอื่นได้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะในการเขียน พูด ฟัง หรือทักษะในศิลปะแขนงต่างๆ เช่น ศิลปะแบบเคลื่อนไหว ทัศนศิลป์ ฯลฯ

๓.๓ มีการวิเคราะห์ที่แหลมคม ลุ่มลึก เป็นเรื่องพุทธิปัญญา เข้าใจหลักการต่างๆ เชื่อมโยงได้อย่างมีวิพากษ์ วิจารณ์ มีวิจารณญาณและมีปัญญา มีความสามารถในการเปิดพื้นที่เรียนรู้ ความตั้งใจที่จะแสวงหาความสดใหม่

๓.๔ การชื่นชมในความมั่งคั่งในภูมิปัญญาของโลก ว่ามีความหลากหลายเหมือนความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ว่าจะเป็นของชนเผ่า ในศาสนาต่างๆ

ในนาโรปะจะมี World Wisdom Chair คือมีผู้อาวุโสคนหนึ่งไปอยู่ประจำ เป็นเทอมๆ เหมือนปราชญ์ประจำสถาบัน ตอนที่ผมอยู่ จะมีแรบไบ (rabbi) ซึ่งทุกเดือนหรือทุก ๒ อาทิตย์ ก็จะมีการนำเสนอเรื่องที่ตนเองสนใจและมีความรู้ โดยเปิดให้คนเข้าฟังได้โดยไม่ต้องเสียเงิน เมื่อครบเทอม ก็จะเลือกกรรมการคนอื่นต่อไป
๓.๕ การกระทำที่มีประสิทธิภาพ บัณทิตจะต้องกระทำเป็น ไม่ใช่คิดเป็นอย่างเดียว สามารถนำความรู้ไปกระทำให้ทะลุปรุโปร่ง

(หลักการที่ ๔ มรดกแห่งการศึกษาแนวพุทธ หลักการที่ ๕ วิถีแห่งภูมิปัญญาโลก และหลักการที่ ๖ การไม่ฝักใฝ่ในลัทธิความเชื่อหรือศาสนาใดๆ และความเปิดกว้าง, “บทเรียนจากมหาวิทยาลัยนาโรปะ”
โดย ณัฐฬส วังวิญญู)

มี paper อีกชิ้นหนึ่งเรื่อง “เบญจคุณ” ที่ผมแปลจาก “Five Wisdoms” ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงระหว่างคุณลักษณะทั้ง ๕ จะคล้ายๆ กับนพลักษณ์ แต่ว่าอาจจะมาทางสายธิเบต เช่น แต่ละคุณลักษณะจะเผยตัวอย่างไรในแต่ละคน มีวิธีการอย่างไร เช่น สีแดงของผมมีมากเกินไป สีน้ำเงินของผมมีน้อย ผมต้องการสีน้ำเงินมาก ก็จะมีกระบวนการ เป็นห้อง ๕ ห้องที่ออกแบบไม่เหมือนกัน แต่ละห้องจะระบายสีแต่ละสี แล้วรูปลักษณะของห้องเป็นกระบวนการที่ช่วยให้เราดึงลักษณะบางอย่างออกมา ไม่ว่าจะเป็นความใจเย็น ความสงบ หรือว่าความจัดจ้าน บางคนมีความจัดจ้านน้อยไปหน่อย ก็จะมีห้องฝึกการแสดงออก บางคนใช้ความคิดมาก อยู่กับกายน้อย บางคนอยู่กับกายมากไป ก็ไม่ค่อยดี คือช่วยให้คนเรียนได้ค้นหาสมดุลของตัวเอง คือจะมี course ที่เปิดให้คนข้างนอกมาร่วมเรียนด้วยได้ ไม่จำกัดความรู้และอายุ ส่วนใหญ่อาจารย์ที่ไปสอน ก็เพราะอยากจะ cross discipline ก้าวไปสู่พรมแดนความรู้ของคนอื่นบ้าง ว่าคนอื่นคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในแง่ของการเรียนที่หลากหลาย ก็จะแบ่งพื้นที่ไว้ให้นักศึกษาได้ออกแบบการเรียน ว่าอยากจะอ่านหนังสือเล่มไหน การเลือกสถานที่เรียน อาจจะนัดหมายที่ร้านกาแฟ หรือที่ห้องสมุดก็ได้

ผมไม่มีโอกาสได้เรียนกับเชอเกียม ตรุงปะ เพราะท่านเสียชีวิตไปก่อนแล้ว ตอนที่เชอเกียมยังมีชีวิตอยู่ ก็จะมีเรื่องมากมายให้ได้ชื่นชมและหมั่นไส้ เขาเป็นคนแปลกๆ ที่ไม่ธรรมดา แต่ก็มีวิธีการสื่อสารกับชาวตะวันตกได้ดีมาก เชอเกียมชอบสอนเรื่องความคิดฉับพลัน ความคิดแรก มหาวิทยาลัยนาโรปะจะให้ฝึกเรื่องการจับความคิดแรก บ่อยๆ เพราะส่วนใหญ่เราจะถูกความคิดที่ ๒ - ๓ ทับถมความคิดแรกซึ่งดีที่สุด ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการฝึกพู่กัน ยิงธนู จัดดอกไม้ หรือพิธีชงชา พิธีกรรมและกระบวนการเหล่านี้มีขึ้นเพื่อฝึกการปล่อยพื้นที่ว่างให้กับความคิดแรก เชอเกียม บอกว่าทำโต๊ะให้ว่าง แล้วอาหารอันโอชะจะถูกส่งมาจากสรวงสวรรค์ การทำโต๊ะให้ว่างก็คือการอดอาหาร (หัวเราะ) แล้วอาหารอันโอชะจะถูกนำมาจากสรวงสวรรค์
อ.เอกวิทย์: สังเกตดูว่าการเรียนที่นี่ ค่อนข้างจะหลากหลาย


คุณณัฐฬส: มีหลายแบบครับ อาจารย์สอน วิธีการสอน และวิธีการให้คะแนนจะมีหลายแบบ บางวิชาอาจารย์ก็จะถามว่า ทำไมเราให้คะแนนตัวเองเท่านี้ และไปถามเพื่อนๆว่า พัฒนาการของเราเป็นอย่างไร
อย่างวิชา Group Dynamic เป็นวิชาที่ค่อนข้างยากเพราะมีความขัดแย้งกันสูง หลายๆ คนที่มาเรียนก็คาดหวังที่จะออกไปเป็นนักสิ่งแวดล้อม ไปทำงาน policy อะไรอย่างนี้ แต่หลายคนก็ไม่ได้สนใจจะดูตัวเอง สนใจแต่จะได้ MAไปสมัครเข้า UN หรือรัฐบาล ฉะนั้น พอมาเจอกระบวนการอย่างนี้ ก็จะรับไม่ได้ ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายที่รับไม่ได้ ว่าร้องไห้กันทำไม แต่ผมยอมรับว่า ครูที่สอนเรื่องเหล่านี้ จะต้องมีประสบการณ์สูงมาก เพราะการจัดการความขัดแย้งในห้องเรียนขนาด ๔๐ คน แล้วเริ่มด่าทอกัน คนที่จะมีปัญญาจัดการได้ ต้องแสดงให้เห็นเลยว่ามีวิธีการอย่างไร

ในปัจจุบัน มีทฤษฎีหรือหนังสือมากมายเกี่ยวกับเรื่อง group dynamic เรื่อง Field Theory ทฤษฎีสนามพลังของกลุ่ม เปรียบเทียบได้กับศิลปะการป้องกันตัว ไอกิโด้ ซึ่งก็เป็นศาสตร์ที่น่าสนใจอีกด้านหนึ่งและควรจะปรับมาใช้กับบ้านเราได้บ้าง


อ.เอกวิทย์: มีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยข้างเคียงมาเรียนบ้างหรือเปล่า


คุณณัฐฬส: ก็มีบ้างครับ อย่างเช่น มาจากมหาวิทยาลัยโคโรลาโด ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่สนใจมาทางนี้มากกว่า แต่บางคนก็ไม่เคยรู้จักเลย คนที่เป็นฝ่ายซ้ายมากๆ ก็จะมองว่านาโรปะเป็นมหาวิทยาลัยของพวกคร่ำครวญกับชีวิตตัวเอง (หัวเราะ) ไม่ทำอะไร ไม่มี action ไม่มีจุดยืนทางการเมือง ซึ่งก็มีส่วนที่เป็นจริง คือคณะที่เรียนไปทางกวีนิพนธ์ อักษรศาสตร์ ศิลปะ หรือดนตรี ก็จะไม่มี action ในเชิงการเมืองมาก ไม่เหมือนนักศึกษาสิ่งแวดล้อม อย่างเช่นเพื่อนผม เคยเอาโซ่ล็อกคอตัวเองไว้กับร้านกาแฟสตาร์บัคที่มาเปิดใหม่ เพราะจะมาทำลายร้านกาแฟเล็กๆ ในเมืองโบลเดอร์ ซึ่งมีร้านกาแฟเล็กๆ น่ารักๆ มากมาย เพื่อนผมไม่ยอม ก็โดนจับไป


อ.เอกวิทย์: นาโรปะเป็นมหาวิทยาลัยทางเลือกที่น่าทึ่ง แต่ไม่ทราบว่า เท่าที่คุณณัฐฬสสังเกต คนที่เข้าเรียนมากน้อยเพียงใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้


คุณณัฐฬส: ผมไม่แน่ใจว่าจะตอบได้หรือเปล่า ถ้าดูจากคนที่ผมรู้จัก ผมเชื่อว่าถ้าคนที่มาเรียนแล้วสามารถเปลี่ยนตัวเองได้มีอยู่จริงไม่มากก็น้อย เพราะแต่ละปี ก็มีนักศึกษาเป็นพันคน และนักศึกษาจะถูกฝึกให้เปลี่ยนวิธีคิด จากการเรียนเพื่อไปสมัครงานที่ไหน ให้เป็นเรียนเพื่อจะสร้างงานของตัวเองเหมือนกับการสร้างพิธีกรรม บางคนอาจจะเป็นอาสาสมัคร กลับไปอยู่บ้าน ไปเป็นกรรมการในท้องถิ่นตัวเอง บางคนก็ไปเป็นครู และที่เป็นกันมาก คือ counsellor เดี๋ยวนี้ ก็จะมีเครือข่าย มี e-mail ส่งมาบอกว่า มีศิษย์เก่านาโรปะอยู่ที่นั่นที่นี่

อ.เอกวิทย์: ไม่ทราบว่านาโรปะมีการรับรองวิทยฐานะ ที่จะมีผลต่อการเรียนจบแล้วไปทำงานไหม


คุณณัฐฬส: ผมคิดว่า ก.พ. คงไม่รู้จัก ของไทยคงไม่มีการรับรอง แต่ว่าถ้าเทียบดูเนื้อหาวิชา ก็ไม่ห่างจากหลักสูตรที่อื่นมาก เพียงแต่มีวิธีการสอนและเนื้อหาบางอย่างที่แปลกออกไป อย่างผมเรียนตั้ง ๖๐ หน่วยกิต ในขณะที่หลักสูตรทั่วไปต้องการแค่ ๓๐ หน่วยกิต ถือว่าเป็นการเสริมเนื้อหาเข้าไป อย่างวิชาดนตรี หรือวิชา visual art ก็เป็นหลักสูตรที่น่าสนใจ หรือผมไปเรียนสีน้ำ เขาก็ไม่ได้สอนเทคนิคอะไรมาก แต่บอกว่า ศิลปะไม่ใช่การวาดภาพเหมือน แต่คือการสอนใจตัวเอง เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งที่เรามอง ที่เราชื่นชม และอย่าลากพู่กันจนกระทั่งไม่มีเราเสียก่อน คือจะฝึกในการมอง ฝึกจิต แล้วจึงค่อยทำ ผมคิดว่า ความเข้าใจเรื่องการภาวนาก็มีผลต่อการออกแบบหลักสูตร ออกแบบวิชา

นพ.ประเวศ: ผมไปเยี่ยมนาโรปะเมื่อ ๒ สัปดาห์ก่อน ที่ประทับใจคือ เวลาเดินเข้าไป คนทั้งหมดจะมีหน้าตายิ้มแย้ม มีความสุข ตั้งแต่ผู้บริหาร ครู พนักงาน นักศึกษา ที่น่าสนใจ คือผมได้คุยกับอธิการบดี รองอธิการบดี และหัวหน้าแผนก religious ทำให้ทราบ คนที่เป็นครูจะมาเข้าเรียนเพิ่มเติม เพื่อให้เห็นจิตใจตนเอง และเข้าใจจิตใจผู้อื่น แล้วครูก็จะกลับไปสอนศิษย์ เป็นกระบวนการที่ดีมาก เป็นจุดที่ยิ่งใหญ่ เพราะของเราจะเรียนแต่เทคนิค ไม่เข้าใจตนเอง และความเป็นมนุษย์

อ.สุมน: สิ่งที่ยังไม่ค่อยเข้าใจนัก คือเรื่องความเปราะบางของจิตใจ เพราะเวลาพัฒนาจิต เราจะบอกว่าเพื่อให้จิตแข็งแกร่ง เข้มแข็ง แต่คุณมาพูดถึงความเปราะบาง หมายความว่าอย่างไร อ่อนไหวหรือโรแมนติก ถ้าภาษาอังกฤษจะเข้าใจ แต่พอมาเป็นหัวใจเปราะบาง พร้อมที่จะแตกสลาย จะไม่เข้าใจ

คุณณัฐฬส: ความเข้าใจของผม เขาจะใช้ image ของพระโพธิสัตว์ ลักษณะเด่นก็คือความสามารถในการฟัง โดยเฉพาะเรื่องราวความยุ่งยากได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งหัวใจที่จะเข้าไปรับฟังได้ ต้องไม่แข็งกระด้าง ที่เขาใช้คำว่า vulnerable หมายถึง broken ได้ รับรู้ได้ ไหวตัว และตื่นตัว อีกคำหนึ่งที่ใช้คือ surrender หรือศิโรราบ ผมคิดว่า เรื่องนี้ถกเถียงได้ว่าภาวะความเป็นผู้นำที่ต้องการ ความเข้มแข็งที่ว่าเป็นอะไรได้บ้าง อ่อนโยนได้อย่างไร ทุกข์ไปกับสิ่งที่เรารับรู้ได้หรือไม่ พระโพธิสัตว์รับรู้ความทุกข์และเป็นหนึ่งเดียวกับความทุกข์ หมายความว่าอย่างไร เพราะเชื่อว่า เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกับความทุกข์ ไม่ปฏิเสธความทุกข์ action จะเกิดขึ้นจากความเมตตา แต่ใจจะต้อง broken heart, compassion ต้องเกิดมาจากใจที่ broken heart แต่นำมาตีความในเถรวาท ผมไม่รู้ว่าจะใช้ภาษาอะไร คนอื่นอาจจะช่วยเสริม

อ.เอกวิทย์: ความเข้าใจของผม คำว่า ความเปราะบาง vulnerable ในภาษาของการเล่นไพ่บริดจ์ หมายความถึงจุดที่จะต้องตัดสินใจ ว่าจะทิ้งไพ่หรือไม่ แต่คนที่จะทิ้งไพ่ได้ถูกต้อง ต้องเป็นคนที่เฉลียวฉลาด แหลมคม มีความอ่อนไหวสูงพอที่จะเข้าใจคนอื่น เข้าใจสถานการณ์ เข้าใจชีวิต นำไปสู่การเรียนรู้ และตัดสินใจที่ถูกต้อง

นพ.ประเวศ: ความหมายอีกประการหนึ่ง ก็คือการเปิดให้กับความเสี่ยงที่อะไรจะเกิดขึ้น เช่น การทำงานเพื่อส่วนรวม จะต้องถูกกระทบ

คุณวิศิษฐ์: เพื่อให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และเชื่อมโยงกับกระบวนการเรียนรู้ ผมคิดว่า ความเปราะบาง คือการนำตัวเองเข้าไปสู่ความเสี่ยง ในการเรียนรู้ จะมี ๒ โหมดหลักๆ ในชีวิต คือ โหมดปกป้องตัวเอง กับ โหมดเรียนรู้ พื้นฐานที่สุดของโหมดปกป้อง คือความกลัว การนำตัวเองไปสู่จุด vulnerability หรือจุดเปราะบาง เมื่อนำพาตัวเองไปที่ๆ เรากลัว หรือเสี่ยงภัยบ่อยๆ พบกับการท้าทายที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด ตัวเองก็จะไม่กลัว

อีกด้านหนึ่ง เมื่อเรานำพาตัวเองไปสู่สิ่งที่เรากลัว หรือ uncomfortable zone ที่เราไม่สะดวกสบาย การเรียนรู้จะเกิดขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่อยู่ในความสะดวกสบายเดิมๆ ความคิดเดิมๆ ความรู้สึกเดิมๆ และไม่เปลี่ยน

ทีนี้ ในแง่หัวใจแตกสลาย คือมีการศึกษาและสังเกตองค์ทะไลลามะ เมื่อมีการสนทนากับนักวิทยาศาสตร์ เรื่องความเมตตากรุณา เมื่อท่านฟังความทุกข์ของคนอื่น ท่านจะ suffer ทันทีภายใน ๒-๓ วินาที ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับเรื่องราวที่ท่านได้ยิน หลังจากนั้น ท่านก็ฟื้นคืนสดชื่นขึ้นมาทันที คือมันเป็นพลังของการรับรู้ความทุกข์ของคนอื่นถึงก้นบึ้งที่หัวใจของเราแตกสลายได้

นพ.โกมาตร: ผมเข้าใจว่า การตีความสามารถแตกต่างกันได้ ผมนึกถึงการสัมมนาที่หาดใหญ่ คุณสุรภี (ชูตระกูล) ซึ่งแลคุณสุภาพรจนถึงนาทีสุดท้าย เล่าว่า ในจังหวะที่ต้องดูแลผู้ป่วยมะเร็งที่ใกล้ตาย จะมีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่งทั่วร่างกาย ชนิดแทบทนไม่ได้ แม้แต่จะขยับแขนขา ก็ต้องค่อยๆ ยกเป็นมิลลิเมตร ทีนี้คนดูแลก็เป็นมนุษย์ บางครั้งก็ไม่สามารถอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้นได้ตลอดเวลา ส่วนผู้ป่วยเองก็หงุดหงิด เพราะว่าครั้งหนึ่งเคยควบคุม เคยจัดการกับชีวิตตัวเองได้ ปัจจุบัน แม้แต่เวลาคันก็ต้องเรียกคนอื่นมาเกาให้ พออยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น คุณสุภาพร ซึ่งปฏิบัติมาตลอด ก็จะหงุดหงิด จิตใจขุ่นมัว คนดูแลก็อยู่ในความบีบคั้น และเหนื่อยกับการดูแลข้ามวันข้ามคืน ก็จะเกิดการปะทะกัน ผมคิดว่าจุดนี้คือความเปราะบาง และถ้าเราไม่เปิดตัวเองกับความเปราะบางนั้น เราก็จะไปไม่พ้น และเรียนรู้จะไม่เกิดขึ้น เพราะไม่เห็นความเปราะบางของตัวเอง นักรบแท้จริง จะต้องมีสุขภาวะที่เข้าไปในเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับความเปราะบางนี้ เพื่อจะได้เติบโต และเรียนรู้ ดีกว่าการหวังว่าไม่ต้องพบ ไม่ต้องคิด แต่หงุดหงิดต่อไป หรือหาทางปกป้องตัวเองด้วยวิธีการเดิม ก็ไม่มีทางจะได้เรียนรู้

อ.เอกวิทย์: ดูเสมือนหนึ่งว่า นักรบชั้นยอด ศิลปิน กับพระสงฆ์ จะมีจิตอยู่ในระดับเดียวกัน

นพ.โกมาตร: คือพอแปล vulnerability เป็นความเปราะบาง จะมีลักษณะของความสุ่มเสียง ความหมิ่นเหม่ เกิดสิ่งที่ใจเรายากจะรับได้ มีความไม่แน่นอน

อ.จุมพล: เวลาฟังคุณณัฐฬสพูดถึง vulnerability เรื่องของความเปราะบาง ความรู้สึกแรกก็คิดในเชิงคำหมายว่า ถ้าเราใช้คำภาษาไทย ว่า “เปราะบาง” เราจะติดกับประสบการณ์เดิม เช่น แก้ว ที่เราเรียกว่าเปราะบาง แตกสลายได้ง่าย แล้วกลับมารวมกันลำบาก แต่พอฟังไประยะหนึ่ง ก็มีความรู้สึกว่า คำนี้มีความหมายกว้างมากกว่านั้นมาก

ผมรู้สึกว่า vulnerability เป็นศักยภาพ เป็นความสามารถของคน ที่พร้อมจะเปลี่ยน ซึ่งจะต้องยอมรับอะไรเข้ามา จึงจะเปลี่ยนได้ ถ้าใช้คำว่า บอบบาง แทน เปราะบาง อาจจะมีความหมายที่ผิด แต่ว่าจริงๆ ก็คือ ยอมให้อะไรซึมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเราได้ ไม่ไปสกัดกั้น หรือปกป้องเหมือนที่พูด พอซึมเข้ามา ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของเราไปทันที แล้วหลังจากนั้นก็จะเกิดไปเป็นสิ่งใหม่

แต่ถ้าจะพูดอย่างหยาบๆ ในทางจิตวิทยา เราพูดเรื่อง flexibility ว่าการจะ flexible ได้ ก็ต้องยอมรับสิ่งใหม่เข้ามาก่อน และพร้อมจะเปลี่ยนเมื่อมีสิ่งใหม่เข้ามา ในความหมายนั้น ผมมองว่าเป็นศักยภาพ และธรรมชาติของสรรพสิ่งด้วย

คุณเดวิด: Vulnerable comes from the Latin language meaning to wound or to be wounded. I was thinking of the distinction Ajahn Buddhadassa made between 'everyday language' (phasaa khon) and 'Dhamma language (phasaa Thamma) . An example of the word 'vulnerable' in everyday language would be: the government's position on this problem is vulnerable, which means the opposition could easily attack it and wound the government. So the government runs around and tries to make its position stronger. Or in a military situation or a war, you say your position is vulnerable; it means you have a weak spot in your defenses which could be attacked easily by the enemy. This is everyday language.


Vulnerable, in my opinion, also has a spiritual or a Dharma meaning, which is related to compassion. The word 'compassison' comes from two Latin words: 'com' means 'with'; 'passion' means 'to suffer.' (For example, the recent Mel Gibson movie - The Passion of Jesus Christ.) So compassion means to suffer with, which is to be vulneralbe. To make yourself vulnerable spiritually means to dare to suffer with someone, and thus to make yourself vulnerable. One of the great symbols of daring to be vulnerable, to be compassionate is Chaw Mae Kuan In. In Chinese this means 'the one who hears the cries of the world' - and this is a wonderful symbol. Who among us dares to hear the cries of the world - we all turn away from a beggar on the street.


So when Khun Nutt was speaking about professors or teachers daring to be vulnerable, it has the meaning of being able to admit that maybe their intellectual position may have some weak spots and thus be vulnerable. Teachers have to be able to admit that they could be wrong, or that there are other perspectives to look at what they are teaching. I think that is the meaning in this context.


As for the word 'surrender' - usually it is translated in Thai as yom phae, which means to give up or admit defeat in competition or battle. That is everyday language (phasaa khon). But in a spiritual context as in Christianity or Islam it has a different meaning. (Incidentally, the word 'Islam' means 'to surrender.') Surrender to what? To give yourself totally to what we call God, because in this belief system everything comes from the Divine (God or Allah), so now we must be willing to give everything back. The gift to the Divine that the Christian can make is to surrender oneself completely. So in this context surrender has a diffrent meaning. Surrender is usually associated with being vulnerable - to be willing suffer anything that life brings to you and to willing to offer (bucha) it to God in surrender. Surrender in this context would have a meaning more closely with the Thai words 'ploy wang.'

Now and then if you go deep in meditation, if you want to see what Anatta actually is, then you must clearly see that everything you think and feel and believe that you are is in fact not true. When you see this, you must be willing to surrender (ploy wang) everything. And most of us do not want to do this.

For example when the police in the US arrest a man with a gun, they say "surrender your weapon," which means to release or turn over your gun. So to surrender is to give up something. A Buddhist friend of mine said that the deepest meaning of the Thai words 'Tham Than', is much more than to be generous, to be charitable, to donate food or money to temples or monks - that is everyday language (phasaa khon). But the deepest meaning (phasaa thamma) is to give yourself totally to the teaching of the Buddha. For example to the name of Ajahn Buddhadassa means the 'slave of the Buddha' - or one who gives everything up to the Buddha, Dharma, Sangha.

นพ.โกมาตร: กลับมาที่ท่านพุทธทาส เพราะว่าการยินยอมเป็นทาส จะมีความหมายของการอ่อนน้อมต่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่

อ.สุมน: หัวใจเปราะบาง น่าจะรวมถึงความรักด้วย แต่พอคุณเดวิดอธิบายคำว่า compassion จะลึกกว่า ดังนั้น เป็นเรื่องภาษาคนกับภาษาธรรม ถ้าคุณณัฐฬส จะอธิบายเรื่องความเปราะบาง โดยใช้ภาษาคน ว่าความเปราะบางก็ได้ แต่ในภาษาธรรม จะต้องอธิบายคำต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงนี้ด้วย ว่าป็นอย่างไร
นพ.ประสาน: พวกเราส่วนใหญ่อายุยังน้อย ผมอายุมากกว่าเพื่อน มีบางช่วงที่คิดว่าใกล้จะตาย ซึ่งทุกคนต้องรู้สึกอย่างนี้ เมื่ออายุถึงขั้นหนึ่ง เมื่อรู้สึกขึ้นมาแล้ว จะทำอย่างไร ตอนนั้นเราจะ vulnerable ต่อความรู้สึกนั้นมาก ขอบคุณ เดวิด ที่ทำให้เข้าใจอะไรมากขึ้น ผมรู้สึกอย่างนี้ คือบางครั้งหัวใจสั่น รู้สึกเจ็บตรงนั้นตรงนี้ ก็คิดในใจว่า ถ้าความตายใกล้เข้ามา เราจะทำอย่างไร พร้อมจะรู้สึกหรือพร้อมจะแก้ไขอย่างไร เพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายๆ เมื่อรู้สึกบ่อยขึ้นๆ มากขึ้นๆ ถึงจุดๆ หนึ่ง คล้ายกับว่าจะบรรลุ ผมจะใช้วิธีแยกตัวเองออกเป็น ๒ ส่วน ต้องใช้ความพยายามและสมาธิสูงมาก คือให้กาย suffer ไป เพราะรู้ว่าเป็นเรื่องของกาย จึงอยากจะถามคุณหมอโกมาตรว่า ตอนที่คุณสุภาพรเจ็บ แล้วสุรภีทนไม่ได้ คุณสุภาพรเธอทำอย่างไร ในช่วงนั้น

อ.เอกวิทย์: ขอกลับมาที่นาโรปะอีกนิด ผมอ่านคุณณัฐฬสมาก่อน รู้สึกชื่นชม และคิดว่าประสบการณ์การเรียนรู้ที่นาโรปะ สำคัญและลึกซึ้งพอที่จะเผยแพร่ให้กับมหาวิทยาลัยที่ต้องการปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้ คุณณัฐฬสน่าจะมีโอกาสได้เสวนาแบบเดวิด โบห์ม กับอาจารย์มหาวิทยาลัยมากขึ้น พวกเราที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่อาจจะเป็นสื่อนำไปสู่สังเวียนเหล่านี้ได้ ผมอยากให้มีผลกระทบต่อการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยไทย อย่างพลิกโฉมหน้าการเรียนรู้มาสู่ความเป็นจริงของจิตใจ

ถ้าเป็นไปได้ อยากจะชวนไป มอ. ผมคิดเอาเองว่า นาโรปะคงไม่ใช่มหาวิทยาลัยที่ดีสมบูรณ์แบบ แต่แนวทางหลักๆ น่าจะมีประโยชน์ต่อการสร้างเวทีการเรียนรู้ที่ดี ที่น่าจะได้ผลคือการเรียนรู้จักตัวเองทุกแง่มุม ทั้งปัญญา อารมณ์ เรียนรู้โลกปัจจุบันขณะ เรียนรู้ความเป็นจริงของสรรพสิ่ง เป็นหัวใจของการเรียนรู้ที่ดี ผมให้คะแนนนาโรปะสูง ในการสร้างสรรค์บรรยากาศ และกระบวนการเรียนรู้ได้ลึกซึ้ง เข้มแข็ง ก็ขอเชิญชวนไว้

นพ.โกมาตร: เรื่องของสุภาพรคงไปพูดกันในตอนบ่าย ถ้ามีโอกาส แต่ในช่วงต่อไป อยากจะให้คุณณัฐฬส นำเสนอเรื่อง Deep Ecology บ้าง เพราะเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ

นพ.โกมาตร: ผมคิดว่าเรื่องสันติภาพคงอยู่กับเราไปอีกนาน อาจจะมีสักครั้งหนึ่งที่เราจะได้พูดคุยเรื่องนี้มากขึ้น เพราะเป็น ๑ ใน ๑๒ ข้อยุทธศาสตร์การทำงานเรื่องจิตวิญญาณ และอาจจะเป็นภารกิจทางจริยธรรมของยุคสมัยนี้อีกด้วย อ.สรยุทธ บอกว่า หลังจากที่คุยกันแล้ว มีเรื่องของการจัดการจะขอหารือ เพราะกลุ่มเคลื่อนไปได้ด้วยการจัดการ เพราะมีความริเริ่มบางอย่างเกิดขึ้น มีงานที่เราอยากจะให้ช่วย และอยากจะไปช่วยคนอื่นบ้าง

แต่ว่าตอนนี้ ควรจะใช้ประโยชน์จากคุณณัฐฬส ให้เต็มที่ เพราะทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วันนี้ได้ประโยชน์มาก อยากให้คุณณัฐฬส นำเสนอเพิ่มเติมสำหรับส่วนที่ยังไม่ได้คุยกันมากนัก เรื่องแนวคิดกับความเคลื่อนไหวหนึ่งที่มีขอบเขตกว้างขวาง คือเรื่อง Deep Ecology ตอนบ่าย ก็คงจะเป็นการพูดคุยกัน ดีกว่าฟังคนหนึ่งคนใดพูดไปเรื่อยๆ ถ้าใครสงสัย อยากจะถามหรืออยากจะเสริมอะไรก็ให้เป็นธรรมชาติ แบบสุนทรียสนทนาครับ

คุณณัฐฬส: เรื่องนิเวศวิทยาแนวลึก ต้องยกความดีให้คุณหมอโกมาตร ที่ให้ผมทำวิจัยอยู่ปีหนึ่ง แต่เลยมาเป็น ๒ ปี (นพ.โกมาตร: ลึกมาก) (หัวเราะ) ก็เป็นความเคลื่อนไหวที่อยากจะชวนแลกเปลี่ยน นิเวศวิทยาแนวลึก เป็นการเคลื่อนไหวในเชิงเปลี่ยนกระบวนทัศน์การมองตัวเองของมนุษย์ การมองธรรมชาติ เพราะเมื่อเรามองอย่างไร ความสัมพันธ์ต่อสิ่งต่างๆ ก็จะเป็นไปตามนั้น คนที่ใช้คำนี้เป็นคนแรก เป็นอาจารย์สอนวิชาปรัชญา ชาวนอร์เวย์ เป็นนักไต่เขา เป็นศาสตราจารย์แก่ๆ ใจดีคนหนึ่งที่อาศัยอยู่คนเดียวบนภูเขา คล้ายฤาษี นานๆ ครั้งก็จะลงมาสอนบ้าง คุยกับผู้คนแถวๆ ร้านกาแฟบ้าง ในช่วงปี ๑๙๖๐ เนื่องจากเขาเป็นคนรักธรรมชาติและการป่ายปีน จึงได้เดินทางไปทั่วโลก และตั้งข้อสังเกตต่อกระบวนการสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ว่ามีวิธีการมองหรือโลกทัศน์ที่แตกต่างกัน ๒ ประเภท คือ

นิเวศวิทยาแนวตื้น Shallow Ecology ซึ่งมองว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลางของจักวาล ถูกสร้างขึ้นมาให้ปกครอง ครอบครองและใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรของโลก เป็นผู้ที่มีอำนาจ ฉลาดปราดเปรื่อง เป็นโลกทัศน์ Anthropocentric หรือมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ที่แฝงอยู่ลึกในมิติของการมอง หรืออย่างที่ ฟริตจ๊อฟ คาปร้า พูดว่า โลกทัศน์ ๓ เรื่องที่ฝังลึกมากๆ คือมนุษย์เป็นศูนย์กลางของธรรมชาติ ผู้ชายเป็นใหญ่ และเรื่อง race

วิธีมองแบบนิเวศวิทยาแนวตื้น ในอีกแง่หนึ่งเป็นการมองปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นวัตถุ และพยายามใช้วัตถุเข้ามาแทนที่ ว่าเทคโนโลยีสามารถแก้ไขได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมลพิษหรือทรัพยากร เป็นกรอบการมองโดยไม่ตั้งคำถามกับกรอบวิธีคิดเรื่องการพัฒนา ทุนนิยม หรือโลกาภิวัตน์ที่ดำเนินอยู่

ส่วนมองแบบนิเวศวิทยาแนวลึก คือการเห็นว่าจริงๆ แล้วมนุษย์ใม่ได้เป็นศูนย์กลางของธรรมชาติ และตั้งคำถามว่ารากเหง้าของปัญหาเริ่มขึ้นเมื่อมีคำว่าสิ่งแวดล้อม มีคำว่าป่า หรือธรรมชาติ ในความหมายที่แยกออกจากตัวเราขึ้น กล่าวคือในแต่ละวัฒนธรรมจะมีการ split ออกจากธรรมชาติ ช้าหรือเร็วต่างกันไป บางคนว่าการ split เกิดขึ้นตั้งแต่มีการพัฒนาเครื่องมือทางการเกษตร เป็นการแทรกแซงธรรมชาติ เพราะมนุษย์อยากจะเปลี่ยนวิถีชีวิตจากการเก็บของป่า หาผลหมากรากไม้ มาเป็นการตั้งหลักแหล่ง และเข้าแทรกแซง แต่ยังไม่ถึงขนาดครอบงำ

ในวิธีคิดทางสิ่งแวดล้อม อาร์เน เนส เห็นว่า สามารถแบ่งออกได้เป็นสองเรื่องหลักๆ ดังกล่าว จึงตั้ง platform ขึ้นมาเป็นตุ๊กตาให้คนช่วยกันคิดมากกว่าจะเป็นกรอบตัดสินทางความถูกความผิด เพราะเขาคิดว่าน่าจะมาช่วยกันคิดใหม่ เผอิญงานเขียนของเขาได้สร้างความเคลื่อนไหว เช่นเดียวกับงานเขียนอื่นๆ จากสายวิทยาศาสตร์ เช่น แกรี่ ชไนเดอร์ (Gary Snyder) หรือทางสายเทววิทยาเชิงนิเวศ ที่มีความพยายามตีความคำสอนใหม่ เรื่องกำเนิดโลก กำเนิดมนุษย์ แต่ส่วนใหญ่ก็จะตีความเข้าข้างตัวเอง ไม่ว่าจะในศาสนาคริสต์หรือพุทธ

ผมเคยจัด workshop เรื่อง Deep Ecology ให้กับพระสงฆ์หลายครั้ง พระก็จะพูดว่า สัตว์มีกรรมเป็นของตัวเอง สมควรจะเป็นอาหารของเรา แล้วความเมตตา ความกรุณา อยู่ตรงไหน การเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ที่ทำให้รู้สึกถ่อมตัวอยู่ตรงไหน ผมว่าเหล่านี้เป็นการตีความที่ฝังลึก ทำให้รู้สึกว่าตัวเองถูกต้องในการกระทำที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ในแวดวงจิตวิทยาก็เริ่มเห็นว่า trauma ทั้งหลายจะเริ่มจากจากวิถีชีวิต ก็ไม่กลมกลืน แต่ขาดจากธรรมชาติ นอกจากมนุษย์สมัยใหม่จะมีการดำรงอยู่ที่แยกกับคนอื่น และธรรมชาติแล้ว ยังอยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม ที่สังคมพยายามจะสร้างกรอบของการดำรงชีวิตขึ้นมาอีกด้วย
Clarissa Pinkola Este เขียนหนังสือเรื่อง Women Who Run with the Wolves บอกว่ามนุษย์ทุกคนมีความดิบ (wild) หรือเถื่อนในความหมายที่ไม่บวกและลบ มีความอิสระ ความดิบ ความสด แต่ในขณะเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นศาสนา การศึกษา และกรอบทางวัฒนธรรม ทำให้ความดิบ ซึ่งเขาใช้อุปมาอุปไมย “หมาป่า” ที่อยู่ในตัวมนุษย์ จะถูกกักเอาไว้ เป็นมลภาวะบางอย่างที่ต้องช่วยกันปลดปล่อยให้เป็นอิสระ ก็จะมีกลุ่มนักคิดทางนิเวศวิทยาแนวลึก พยายามค้นหากระบวนการรศึกษาในรูปแบบต่างๆ อย่างเช่น โจแอนนา เมซี ซึ่งเป็นนักนิเวศวิทยาแนวลึก พยายามหาวิธีการช่วยทำให้คนมีประสบการณ์ตรงที่มีพลังเพียงพอจะทำให้เปลี่ยนวิธีคิด วิธีมอง และตระหนักว่าตนเองไม่ได้แยกออกจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการภาวนา หรือการออกวิเวกไปอยู่กลางธรรมชาติ

ตัวอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงด้านใน คือเจ้าหน้าที่ป่าไม้ชาวอเมริกันคนหนึ่ง ชื่อ อัลโด ลีโอโพลด์ (Aldo Leopold) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมทรัพยากรสัตว์ป่า คือการยิงหมาป่าหรือกวาง เมื่อมีจำนวนมากเกินไป เป็นต้น เช้าวันหนึ่ง เมื่อเขาเห็นหมาป่าชราตัวหนึ่งในระยะไกล ก็เอาปืนยิงจนล้มลง แล้วจึงเดินเข้าไปดูให้แน่ใจว่าตายสนิท เมื่อไปถึง หมาป่าตัวนั้นยังคงลืมตาอยู่ ทำให้เขาเห็นประกายตาสีเขียววาวเป็นประกาย ค่อยๆ หรี่ลงๆ จนดับไป ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ เหมือนกับพบประสบการณ์ทางจิตวิญญาณบางอย่างที่งดงาม ทำให้เขาคิดว่า สิ่งนี้หรือที่มนุษย์คิดว่าเป็นนายเหนือ ทั้งที่ความงามเหล่านี้มนุษย์สร้างขึ้นไม่ได้ มันมีค่า มีความสง่างามในตัวเอง นับตั้งแต่วันนั้น เขาก็เปลี่ยนความรู้สึกที่มองว่ามนุษย์เป็นประธานเหนือสิ่งอื่นใด มาเป็นนักคิดคนสำคัญในการนำเสนอความคิดเชิงนิเวศแนวลึก ผ่านงานเขียน และกิจกรรมต่างๆ
ประสบการณ์ตรงแบบนี้ เป็นสิ่งที่นักนิเวศวิทยาแนวลึก พยายามนำข้ามาในกระบวนการการศึกษา ให้เราได้ตระหนัก ไม่ใช่แค่คิดว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
สำหรับหลัก ๘ ประการ ที่โดดเด่นออกมาจากวิธีคิดแบบเดิมอย่างชัดเจน คือ ๑. นิเวศแนวลึกจะมองว่า ความเจริญงอกงาม ความอยู่ดีมีสุขของมนุษย์ และสรรพสิ่ง มีค่าในตัวเอง ไม่ขึ้นกับประโยชน์ใช้สอยของมนุษย์ มักมีคนตั้งคำถามว่า ที่บอกว่ามนุษย์ประเสริฐที่สุด เป็นเพราะอะไร ในส่วนตัวผมคิดว่า ความประเสริฐของมนุษย์อยู่ที่การมีความสามารถมากกว่า แต่ไม่ใช่การมีคุณค่ามากกว่า ถ้ามองจากบริบทของนิเวศ เช่น ไม้สักอาจจะขึ้นได้สูงกว่าหญ้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม้สักมีค่าในเชิงนิเวศมากกว่า คือเก่งกว่าไม่ได้หมายความว่าดีกว่าในเชิงคุณค่า ซึ่งการตีความในลักษณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมหรือศาสนายังไม่ชัดเจนนัก
๒. ความหลากหลายและความมั่นคงของรูปแบบชีวิตและวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มีค่าในตัวเอง เกื้อหนุนให้มนุษย์และสรรพสิ่งบรรลุถึงความงอกงาม หมายความว่า ความหลากหลายช่วยอุ้มชูให้สังคมมนุษย์ หรือระบบชีวิตอื่นงอกงามได้มากขึ้น ไม่ไช่การหักล้าง แต่ช่วยเสริมกันและกัน ในขณะที่เรากำลังมีปัญหาภาคใต้ เราจะมี diversity management อย่างไรในระดับสังคม และจะมีขันติธรรมในทางวัฒนธรรมอย่างไร สิ่งนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเราคงไม่สามารถเข้าใจเขาได้ทั้งหมด

๓. มนุษย์ไม่มีสิทธิลิดรอนหรือทำลายความหลายหลายของชีวิต โดยปราศจากความจำเป็นที่แท้จริง เขาใช้คำว่าความจำเป็นที่แท้จริง เพราะตั้งใจจะให้เกิดการถกเถียง ว่าความจำเป็นของใคร เพราะคนที่อยู่อลาสก้า กับคนที่ในแถบ Tropical ย่อมมีความจำเป็นต่างกัน

๔. เป็นหัวข้อที่ค่อนข้าง controversial เหมือนกันในแง่ประชากร คือสังคมและวัฒนธรรมมนุษย์จะงอกงามได้ขึ้นอยู่กับว่า เราจะลดจำนวนประชากรลงหรือไม่ เพราะประชากรมนุษย์ไปกดขี่ประชากรของ species อื่น ซึ่งมีค่าต่อโลก และต่อความหลากหลาย สุขภาวะของโลกขึ้นอยู่กับ species อื่นๆ ด้วย การลดหรือควบคุมประชากรมนุษย์จะทำให้ชีวิตอื่นๆ ได้บรรลุถึงวิวัฒนาการของตนเองด้วย เพราะชีวิตอื่นๆ ก็ยังอยู่กระบวนการวิวัฒนาการ ยังเจริญงอกงามอยู่ ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นี้

๕. เป็น statement ที่เข้าใจได้ไม่ยาก คือมนุษย์ได้เข้าไปก้าวก่าย แทรกแซง โลกของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในระดับที่เกินสมดุลแล้ว และสถานการณ์ต่างๆ เลวร้าย รวดเร็ว และรุนแรงขึ้น

๖. เป็นเรื่องของปฏิบัติการ คือจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การผลิต และการใช้เทคโนโลยีในระดับอุดมคติ อุดมการณ์ หรือการศึกษา สำนึกของสังคม วัฒนธรรมพื้นฐานของสังคม จะต้องเปลี่ยนแปลงในระดับรากฐานอย่างสิ้นเชิง

๗. จุดสำคัญของการเปลี่ยนแปลงมโนทัศน์ คือการทำให้สังคมเข้าถึงและชื่นชมคุณค่าแท้ของชีวิต มากกว่าการยกระดับการครองชีพให้ดีขึ้น เป็น statement ที่พูดถึงระบบบริโภคนิยม ตราบใดที่เรายังยึดถือปริมาณมากกว่าคุณภาพ บริโภคนิยมก็จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เรื่องนี้จะมาเข้ากับเรื่องจิตวิญญาณ คือการเข้าถึงคุณค่าและความหมายของชีวิต ว่าชีวิตมีความงดงาม และความสุขในตัวเอง

๘. เนื่องจากมันเป็น platform เขาจึงเขียนว่า ถ้าใครเห็นด้วยกับหลักการดังกล่าวข้างต้น ก็ย่อมจะมี “พันธกิจ” ไม่โดยตรงก็โดยอ้อมที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น

นี่คือ หลัก ๘ ประการ ซึ่งได้ส่งไปยังที่ต่างๆ เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ในแง่ของแรงโต้กลับ แต่ก็มีการยอมรับกันมาก อย่าง feminist จะมองว่า ใช้คำว่ามนุษย์เป็นใหญ่ไม่ได้ เพราะมีเพียงผู้ชายเท่านั้น ก็ต้องทำงานในมิตินั้นด้วย อย่าไปเหมาว่าเป็นมนุษย์ทั้งหมด ให้ดูความสมดุลระหว่างชาย – หญิง ด้วย feminism จะวิเคราะห์ว่า ความสำคัญระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ มีความคล้ายคลึงกับความสัมพันธ์ของหญิง-ชาย ในแง่ความไม่เท่าเทียมกันบางประการ

ทางด้าน social ecology ก็จะเน้นหนักไปในการวิเคราะห์เรื่องชนชั้น ว่าต้องจัดการเรื่อง class ให้ได้ก่อน แล้วปัญหานิเวศจะหมดไปเอง ก็เป็นความคิดที่เหลื่อมซ้อนกันอยู่บ้าง

ส่วนความเคลื่อนไหวในบ้านเรา ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะแต่ละคนจะมีนิยาม สร้างความหมายของตัวเอง เช่น กลุ่มเคลื่อนไหวทางทรัพยากรธรรมชาติ มีการเอามิติทางวัฒนธรรม การมองโลก ระบบป่า ระบบดิน ระบบน้ำ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เข้ามาใช้ แต่คนรุ่นใหม่ยังเข้าใจน้อยมาก ส่วนใหญ่จะมีการใช้พิธีกรรมต่างๆ อย่างโหยหามากกว่า เป็นเรื่องน่าห่วง ว่าวิธีคิดเชิงนิเวศจะอยู่ในคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร ในเมื่อเขาไม่ได้มีวิถีชีวิตใกล้กับธรรมชาติแล้ว

นพ.โกมาตร: ก็เป็นอย่างสั้นๆ ย่อๆ เพราะความเคลื่อนไหวของแนวคิดดังกล่าวกว้างขวางกว่านี้มาก ผมเคยฟังพ่อหลวงจอนิ โอ่โดเชา พูดในการประชุมคราวหนึ่งว่า มนุษย์อาจจะสร้างยานอะพอลโล สร้างจรวดพุ่งไปในอวกาศได้ แต่สร้างปลาซิวตัวเล็กๆ ไม่ได้เลย ความวิจิตรของปลาซิวยิ่งใหญ่กว่ายานอะพอลโล ทัศนะอย่างนี้อาจจะเป็น Deep Ecology แบบความรู้พื้นบ้าน นอกจากนี้ พ่อหลวงจอนิ ยังพูดเรื่องสุขภาพด้วยว่า สุขภาพของคน คือการไปไหนมาไหนแล้วไม่อายในวัฒนธรรม และกำพืดของตนเอง
นพ.วิธาน: เป็นกึ่งๆ คำถามถึงณัฐฬส โดยเชื่อมโยงกับข้อมูลที่คุณเดวิดเคยให้เรื่อง climate change ว่าในอีก ๑๖ ปีข้างหน้า จะมีปัญหาเรื่องวิกฤตการณ์ในเรื่องสิ่งแวดล้อม เช่นตอนนี้มีปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง ซึ่งผมยังไม่เข้าใจมากนัก คือแม่น้ำกก ที่เชียงราย หน้าแล้งจะตื้นเขินมาก จนเรือแล่นไม่ได้ แต่พอช่วงหน้าฝน น้ำก็จะท่วม ทำไมช่วงที่น้ำท่วม ก็ท่วมบ้านท่วมเมืองหมด แต่พอหน้าแล้งก็ไม่มีน้ำใช้ มีวิธีอย่างไร ที่จะนำองค์ความรู้เรื่องจิตวิญญาณ หรือเรื่องนิเวศวิทยาแนวลึก มาจัดการเรื่องน้ำให้เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องสร้างเขื่อน ในขณะนี้ มีการใช้รถขุดรอกกลางแม่น้ำกก เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ในแง่ spiritual จะมีความเหมาะสมหรือไม่ และในแง่ของ manage เราจะจัดการอย่างไร

อ.เอกวิทย์: ผมรู้สึกชื่นชมต่อความวิริยะอุตสาหะในการเข้าถึงความรู้ของคุณณัฐฬสมาก แต่ยังไม่ได้ยินคุณกล่าวถึงทฤษฎีกายา (Gaia) ว่าดาวพระเคราะห์โลกนี้ มีชีวิตของตนเอง ผมคิดว่า มนุษย์เปรียบเหมือนเหาหรือหมัดที่อยู่ในตัวสัตว์ ที่เรียกว่าโลก แต่มนุษย์บังอาจทำตัวเป็นนาย ควบคุมธรรมชาติให้มารับใช้มนุษย์ แล้วก็อ้าง ว่าเป็นอาณัติของพระเจ้าที่ให้มนุษย์นำสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมาทำให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ในมิติของ Deep Ecology เราจะเปลี่ยนกระบวนทัศน์และสำนึกใหม่ให้กว้างขวาง ให้ยอมรับนับถือ แม่ธรณี แม่คงคา แม่โพสพ แล้วไม่ด่าว่าคนที่เชื่ออย่างนี้ได้อย่างไร

ส่วนประเด็นที่ ๒ เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ ผมได้อ่าน World Watch Institute ปี ๒๐๐๔ เขายังยืนยันอยู่ว่า ภูมิปัญญาชาวบ้านที่ในหลายๆ ประเทศนำมาใช้เพื่อปกป้องน้ำ ดิน และสิ่งแวดล้อม ทำงานได้ผลมาก ก็หมายความว่า ชาวเมืองรุ่นใหม่ ยอมรับทฤษฎีเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของป่า ป่าเป็นสิ่งที่พระเจ้าหรือพระธรรมชาติเจ้าประทานให้มนุษย์ได้กินได้ใช้ ยังเป็นความดีงามที่ต้องเคารพ คนเมืองอาจจะไม่แยแส ไม่เคารพ แต่ชาวบ้านนอก ชาวชนบท เช่น ชาวกระเหรี่ยง ชาวเขา ยังเคารพอยู่ ทำให้เขาไม่ทำลายธรรมชาติ ซึ่ง World Watch Institute นำไปชื่นชม และเผยแพร่ โดยเฉพาะความสำเร็จทาง เชียงราย เชียงใหม่ น่าน เป็นต้น

เพราะฉะนั้น Deep Ecology เป็นทฤษฎีที่จะทำให้คนตั้งกระบวนทัศน์กันใหม่ แต่การปกป้องและคืนความสมดุลให้ธรรมชาติ เป็นเรื่องที่ Deep Ecology จะต้องเข้าไปอยู่ในใจคนให้ได้ คุณณัฐฬสจะมีความเห็นอย่างไรหรือไม่กับเรื่องดังกล่าว

นพ.ประเวศ: ปัญหาของโลกที่หนักๆ คงจะเป็นเรื่องของโครงสร้างต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างทางความคิด สังคม และเศรษฐกิจ ตามมาด้วย การศึกษา กฎหมาย ซึ่งเป็นความขัดแย้งกัน เพราะทุนกับเงิน ถ้ามองดูจะเห็นว่าเป็นของแปลกมาก เพราะสามารถเติมศูนย์ไปได้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด ย่อมจะไปขัดแย้งกับความเป็นจริงที่ว่าทรัพยากรในจักรวาลมีเท่าเดิม ส่วนเงินมีค่าสูงขึ้นๆ แม้ว่าทรัพยากรในจักรวาลคือความจริง เงินคือมายา แต่มนุษย์ได้เข้าไปช่วยให้มีสถาบันรองรับมายาคตินี้ จึงนำไปสู่ความขัดแย้ง ไปสู่การตลาด ไปสู่ความเชื่อว่าเงินมีค่า เป็นกำไรชีวิต เป็นกำไรชุมชน เป็นกำไรของรัฐ จนนำไปสู่การทำลายทรัพยากร ธรรมชาติ และความขัดแย้งกันในที่สุด ถ้าไม่มีกองทัพรองรับ ไม่มีกฎหมายรองรับ เงินก็จะไร้ค่าโดยสิ้นเชิง
การมอง ให้มองถึง ๔ เรื่องใหญ่ๆ คือ

๑. เรื่องชุมชนเข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกันในเรื่องข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และการเงิน อย่างเช่นที่เราพยายามเรียกร้องสิทธิชุมชนมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการทำมาหากิน ในการใช้ทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ในการทำมาหากิน ในการสื่อสาร และในการมีระบบการเงินของชุมชน สิ่งเหล่านี้คือ ภูมิคุ้มกันชุมชน ในการรักษาสิ่งแวดล้อม ทำอะไรก็ได้เพื่อก่อให้เกิดชุมชนเข้มแข็งทั่วทั้งโลก อย่างที่ สก๊อต เพก ได้กล่าวไว้ในหนังสือ A World Waiting to Be Born ว่าโลกในอนาคตคือโลกแห่งความเป็นชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับโลกในอุดมคติของพุทธศาสนา เพราะ “สังฆะ” คือ learning community ท่านพุทธทาส พูดว่า สังคมที่ดี ควรจะเป็นชุมชนเล็กๆ ที่เชื่อมโยงกันเป็น network

๒. เรื่องนโยบายอุตสาหกรรม หมายถึงทิศทางการพัฒนา แต่เป็นเรื่องที่มีคนทำน้อย มหาวิทยาลัยไม่ทำเลย เรื่อง public policy เพราะถ้าเราอ่านรัฐธรรมนูญ ในมาตรา ๓ จะเขียนไว้ว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” ถ้าจะใช้ในเรื่องใหญ่ที่สุด ก็คือเรื่องกำหนดทิศทางการพัฒนา เพราะทิศทางจะกระทบหมดทุกคน

๓. เรื่อง New Consciousness หรือเรื่องจิตสำนึก ที่กลุ่มจิตวิวัฒน์ทำอยู่

๔. เรื่องสันติวิธี เพราะโครงสร้างที่ก่อตัว ทำให้การกระทบมีความรุนแรง
ที่พูดมาเป็นลำดับ สสส. ก็กำลังเข้าไปทำอยู่ในทั้ง ๔ เรื่อง
นพ.โกมาตร: ความจริงผมชอบที่จะคิดว่า โลกเปลี่ยนไปทันทีที่เราเปลี่ยน แม้ภารกิจจะมาอยู่ที่ตัวเรามาก แต่ไม่ใช่การแบกไว้ เพราะโลกไม่ได้เป็นไปตามความคิดของเรา เราอาจจะหวังผลสำเร็จจากงานบางอย่างไม่ได้ แต่ก็ทำไปตามเสียงภายในของตนเอง และพร้อมจะทุ่มเทให้กับสิ่งนี้ เพราะให้ความหมายกับการมีชีวิตของเราได้

และอย่างที่คุณวิศิษฐ์พูดถึง morphic resonance หรือปัญญาญาณอันยิ่งใหญ่กว่าเรา ใช่ว่าเราจะยิ่งใหญ่อหังการ์มากว่าจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ เพราะจะเข้าไปสู่กรอบเดิมที่ถือว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลาง ซึ่งตรงนี้ก็เป็นปมที่ฝังอยู่ในตัวเรามานานพอสมควร

นพ.ประสาน: อยากจะชี้ว่า การสร้างชุมชนเข้มแข็งอย่างที่ อ.ประเวศ ว่า เป็นเรื่องดี แต่เมื่อชุมชนเข้มแข็ง มนุษย์ก็จะเกิดมามาก เมื่อมนุษย์มีมาก สัตว์และต้นไม้ก็ต้องน้อยลงไปเป็นธรรมดา ในที่สุด โดยธรรมชาติ ป่าแห่งใดมีสิงโตมาก กวางจะน้อยลง พอถึงจุดหนึ่ง สิงโตจะตายเอง พอตายแล้ว กวางก็จะมีมากขึ้น มนุษย์เราเมื่อถึงจุดหนึ่ง ก็จะต้องตายเกือบหมด ระหว่างนี้ นอกจากการหว่านความดี ความงาม ความจริง ไปเรื่อยๆ แล้ว ก็ต้องทำใจให้รับรู้เรื่องเหล่านี้ด้วย เพราะเป็นกลไกของ Chaos Theory หรือ self-organization ธรรมดาๆ ดังนั้น อย่าไปวิตกมากนัก เรื่องวิกฤตต่างๆ ไม่ว่าจะเรื่องรบกันทางภาคใต้ เพราะต้องเป็นไปเช่นนั้นเอง เราต้องเข้าใจ แล้วจะไม่กระวนกระวาย ดิ้นรนเกินไปจนใช่เหตุ
เมื่อเราพูดถึงพระแม่ธรณี แม่คงคา ทุกคำจะขึ้นต้นด้วยแม่ตลอด เพราะแม่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด แม่คือผู้ให้ ผู้ทะนุถนอม ผู้อุ้มชู เพราะฉะนั้น feminist จะลึกยิ่งกว่า Deep Ecology เพราะพูดถึงความไม่เท่าเทียมกัน หรือการแบ่งแยก reductionism โดยเหยียบย่ำสตรี

นพ.โกมาตร: ถ้าเราคิดไปในแนวนั้น จะเป็นการลดความหลากหลายลงไปเหลือแกนเดียว คือเรื่องหญิงชายหรือเปล่าครับ

นพ.ประสาน: ไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว

นพ.โกมาตร: ภารกิจของเราคือการหว่านไปเรื่อย พร้อมกับช่วย hospice paradigm เก่า และเป็นหมอตำแยให้กับกระบวนทัศน์ใหม่ คือการหา soft landing ให้กับมนุษยชาติ

อ.จุมพล: ระบบนิเวศเป็นระบบที่ใหญ่ และคลุมระบบย่อยๆ มากมายอยู่ภายใน แต่วิธีคิดที่ผิดมาตลอด คือการคิดว่าระบบย่อยใหญ่กว่าระบบใหญ่ เช่น การเอาระบบเศรษฐกิจมาคลุมเหนือระบบนิเวศ เป็นการเอาเล็กมาคลุมใหญ่ สิ่งที่เราจะทำได้ค่อนข้างดี คือทำให้เกิดจิตสำนึกใหม่ ในระบบนิเวศ เมื่อเขาคิดถูกและมองเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงของสรรพสิ่ง ผมเชื่อว่าการกระทำจะสอดรับกับวิธีคิดของเขา และหากทุกคนคิดอย่างนี้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะเกิดผลกระทบที่ยิ่งใหญ่มาก ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ หรือระบบการเมืองในที่สุด

การคิด การขยับ หรือการกระทำของเรา ถ้าเป็นความตั้งใจดี ทำดี ระบบใหญ่จะเกิดการกระทบกระเทือนไปในทางที่ดี ผมไม่อยากให้มีการหว่านอย่างสะเปะสะปะ ควรตั้งใจหว่าน แต่ไม่หวังผลอะไร ขณะเดียวกัน ก็เชื่อว่าสิ่งที่ทำจะได้ผล เพราะมีความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงกันอยู่
อ.เอกวิทย์: ผมชอบมองโลกในแง่ดี ทั้งๆ ที่มีเรื่องเลวร้ายมากมาย ผมคิดว่า ในโลกนี้ มีคนที่ตั้งวงพูดคุยแบบเรามากมาย ทั้งในอเมริกา ยุโรป เอเชีย ข้อพิสูจน์ของผมคือ เมื่อเราเอ่ยถ้อยคำที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมหรือนิเวศวิทยา คนเข้าใจกันมาก โดยเฉพาะชาวบ้านในต่างจังหวัด ที่ต้องเผชิญกับมลพิษต่างๆ เราควรจะเกื้อกูลให้สิ่งเหล่านี้เกิดมากขึ้น ผมเชื่อว่า ในไม่ช้าจะมีรุ่งอรุณของกระบวนทัศน์ใหม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน แต่จะทันใจพวกเราหรือเปล่า ไม่มีใครรับรองได้
ผมสะสมข้อมูลไว้มาก เมื่ออ่านบทความของคุณณัฐฬส ทำให้เห็นชัดเจนตรงกัน ว่าโลกมีกลไกที่เรียนรู้และปรับตัวเองอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะมีมนุษย์อยู่หรือไม่ก็ตาม แม้แต่ภูเขาไฟระเบิด ก็คือการปรับตัวของโลกเพื่อเข้าสู่สมดุล เหมือนร่างกายมนุษย์ ทั้งหมดนี้ ถ้าเรามีความรู้เรื่องนี้ดีมากขึ้นเท่าไร จิตสำนึกเราก็พร้อมที่จะรับรุ่งอรุณของกระบวนทัศน์ใหม่มากขึ้นเท่านั้น

อ.สุมน: ได้เรียนรู้จากคุณณัฐฬสมาก และติดใจประโยคหนึ่งในบทความที่ลูกชายถามพ่อว่า “ภูเขาข้างหน้า บริษัทอะไรสร้าง” คือรู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างวัย ก่อให้เกิดความแตกต่าง ทั้งทางกาย ฐานความรู้ การคิด และโลกทัศน์ จะแตกต่างกันมาก เช่นนี้ละกระมัง ธรรมชาติจึงปรับให้คนอายุมากตายไปเสีย
อย่างไรก็ตาม คุณณัฐฬส ได้พูดถึง social ecology น้อยมาก ก็ขอฝากการบ้านว่า ควรจะดูลึกลงไปให้เรื่องดังกล่าวด้วย

นพ.ประเวศ: เรียน อ.สุมน ในทางชีววิทยา จะมี Apoptosis (programmed cell death) คือการโปรแกรมให้ตัวเองตาย เพื่อให้เซลล์ใหม่เกิดขึ้นได้ เซลล์ที่ไม่ยอมตายคือเซลล์มะเร็ง ซึ่งทำให้ระบบทั้งหมดเสียหาย ถ้าพิจารณาในทางสังคม สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วตายยากก็คือ ระบบราชการนั่นเอง

ถ้าเราดูสมองของคน นีโอคอร์เท็กซ์ ถูกสร้างไว้เพื่อบรรลุธรรมอย่างชัดเจน ในระยะไกลคนจะบรรลุธรรมหมด แต่จะต้องเรียนรู้จากปัญหา อย่างเช่นหลานผม จะชอบตะปบมุ้งลวด ผมต้องคอยบอกว่าอย่าตะปบเดี๋ยวมุ้งจะขาด เขาก็ไม่เข้าใจว่ามันจะขาดได้อย่างไร ต้องตะปบให้ขาดเสียก่อนจึงจะรู้ มนุษย์ก็เช่นเดียวกัน ต้องเกิดเรื่องก่อนจึงจะเรียนรู้ ถ้าเรามองให้ทะลุ ก็จะรู้สึกว่า พอทนได้ แต่ถ้าเรามองว่าจะตายแล้ว ไม่มีทาง เราก็จะทนไม่ได้ เช่นเรื่อง Chaordic คือมี chaos แต่ก็มี order ด้วย ถ้าเราทะลุ chaos ไปได้ ผมมองว่า ในที่สุดมนุษย์จะบรรลุธรรมหมด ด้วยนีโอคอร์เท็กซ์ที่เรามีอยู่

คุณวิศิษฐ์: ที่ อ.สุมน พูดคำว่า social ecology อ.ประเวศ พูดเรื่องนิพพานลักษณะของนีโอคอร์เท็กซ์ ซึ่งรวม prefrontal lobe หรือสมองส่วนหน้าเอาไว้ด้วย เรื่องเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกัน ที่ผมอยากจะพูดคือ ในกระบวนการเรียนรู้ จำเป็นต้องมี chaos ในระบบชีวิต จึงจะเกิดการเรียนรู้ ใน autopoiesis ที่แปลว่า self making เครือข่ายอันสลับซับซ้อนที่ดูเหมือนโกลาหลวุ่นวาย แต่มีระเบียบภายในอย่างยิ่ง จะมีการผลักดันตัวเองให้หนีสมดุล far from equilibrium แต่ยังคงมีสมดุลอยู่ ในภาวะนี้ ทำให้เกิดตัวเลือกของการเรียนรู้ โดยวงจรป้อนกลับทั้งหลายจะมีอยู่ ๒ ประเภท
ประเภทที่ ๑ ก่อให้เกิดสมดุล ซึ่งมีอยู่แล้วในระบบชีวิต (balance loop)
ประเภทที่ ๒ ไปดัน ไปขับเคลื่อน ให้เกิดการหนีสมดุล เรียกว่า amplifying loop เพราะสิ่งที่ก่อให้เกิดการขยายตัวของวงจร ที่ผลักดันมนุษย์ให้อยู่ในความไม่สมดุล ให้อยู่ใน vulnerability นั้น ก็เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เป็น sensitivity คือละเอียดอ่อนอย่างมหาศาล และถ้าใส่ตัวกวน (attractor) เข้าไป วงจรดังกล่าวก็จะคว้าหมับ แล้วขยายผลอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง transformation ในตัวบุคคลอย่างรวดเร็ว รุนแรง ในแง่ social ecology ก็คือ วงจร amplifying loop จะดำรงอยู่ในสังคมมนุษย์ และในเครือข่ายก็จะมีวงจรสมดุลและวงจรขยาย ดังนั้น ถ้าคว้าหมับก็จะกระจายไปอย่างรวดเร็ว เราจะเห็นถึงพลังจากการเคลื่อนตัวดังกล่าวได้ในอินเตอร์เน็ต แม้ในกระบวนการเรียนรู้ผ่านปากต่อปากก็เร็วมาก และมีคุณภาพ ทำให้ผมมีความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำอยู่ แม้ว่าอะไรที่ต้องเผชิญก็เผชิญ แต่เป็นการเผชิญอย่างมีความหวัง
นพ.โกมาตร: ในการประชุมที่หาดใหญ่ พระไพศาล ได้พูดสรุปในตอนท้าย ว่ามีฝรั่งถาม ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า ชาวพุทธเป็นอย่างไร ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ตอบว่า “Buddhist is a person who hopes for the best but prepares for the worst.” พระไพศาล บอกว่า เป็นนิยามที่ดีสำหรับทั่วๆ ไป แต่จิตวิวัฒน์ต้องไม่หวังมาก เพราะอยู่เหนือความคาดหวัง ที่เราประชุมในวันนี้ คือการเห็น the worst ด้วย แต่ก็เบิกบานได้

นพ.ประเวศ: ที่คุณวิศิษฐ์พูด คือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นเส้นตรง แต่เกิดวูบ ถ้าอยู่ใน loop นั้น

Tuesday, April 24

เอาชีวิตเข้าแลก


จิตตปัญญาศึกษา..การเรียนรู้แบบเอาชีวิตเข้าแลก!

เมื่อ ๒๑-๒๔ ต.ค. ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา ผมและนพ. วิธาน ฐานะวุฒฑ์ ได้มีโอกาสไปช่วยดำเนินกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับ “การสื่อสารอย่างกรุณา” ให้กับบุคลากรของทีมงาน ชีวันตาภิบาล (Palliative care) โดยมีผู้จัดคือ นพ.สกล สิงหะ ประธานหน่วยชีวันตาภิบาล โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย รวมถึงจัดการเรียนการสอนสำหรับแพทย์ระดับก่อนและหลังปริญญา และพัฒนางานวิจัยเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย palliative care ของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ซึ่งทำให้ผู้เขียนได้เรียนรู้และใคร่ครวญถึงกระบวนการเรียนรู้อย่างมีจิตวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง


โดยได้ใคร่ครวญกับคำถามง่ายๆว่า “ความกรุณา” นั้นจะเป็นผลจากการศึกษาได้อย่างไร การศึกษาหรือกระบวนการเรียนรู้แบบไหนที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดจิตเมตตากรุณาได้ ครูบาอาจารย์จะช่วยสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ในระดับลึกนี้ได้อย่างไร เพราะ “ความกรุณา”ไม่ใช่เป็นเพียง “ความคิด” ไม่ใช่สิ่งที่จะสอน บรรยายหรือเทศนาแล้วหวังว่าผู้เรียนจะมี “หัวใจแห่งความกรุณา” ได้อย่างถ้วนหน้าและถาวร การเรียนรู้อะไรที่จะประทับใจตราตรึงจิตให้อ่อนโยนและเคารพเพื่อนร่วมชีวิต

ทุกวันนี้ คำว่า “ผู้มีการศึกษา” มักจะมีความหมายว่าเป็น “ผู้มีความรู้ ความคิดหรือประสบการณ์ในความรู้แขนงที่ศึกษา” และดูเหมือนว่าศาสตร์แขนงต่างๆจะพัฒนาไปข้างหน้าพร้อมกับเทคโนโลยีและวิทยาการใหม่ๆ เหลือเพียงศาสตร์เดียวที่ยังไม่ได้บรรจุไว้ในระบบการศึกษา นั่นคือ “ศาสตร์และศิลป์แห่งการมองตน” ทั้งๆที่คำว่า “ศึกษา” มีรากศัพท์มาจากคำว่า สิกขา (สะ+ติกกะ) หมายถึง “การมองตน”



เวลาเราเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ เรามองออกไปนอกตัวเองจนชำนาญ ปราดเปรื่องและคุ้นชิน และไม่ว่าโลกหรือจักรวาลใบนี้จะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน ก็ไม่พ้นสายตาของเรา แม้สิ่งที่เล็กๆลงไปเป็นจุล เราก็ยังสามารถใช้กล้องไมโครสโคปกำลังสูงส่องเห็นจนทะลุปรุโปร่งไปถึงระดับโมเลกุล ระดับอะตอมกันเลย แล้วอะไรเล่าที่จะช่วยให้เรามองเห็นตัวเองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ให้เห็นภูมิทัศน์ด้านใน (Inner landscape) ว่าตัวเรานั้นงดงามหรือไม่ปานใด


“จิตตปัญญาศึกษา” ที่ท่านอาจารย์สุมน อมรวิวัฒน์ได้กรุณาคิดขึ้นมาให้คงมีความหมายไปตามนี้กระมัง คือการศึกษาที่เริ่มต้นที่หัวใจ ไม่ใช่แค่คิด เพราะหัวใจนั้นมีอารมณ์ ความรู้สึก และที่สำคัญมีตัวรู้ที่เรียกว่าสติ ไม่ใช่มีเพียงความคิด ที่เป็นเพียงวัตถุดิบหรือสารที่จิตเรารับรู้ หรือเรียนรู้ นั่นหมายความว่า จิตจำต้องได้รับการฝึกฝนให้มีประสิทธิภาพและกำลังพอที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆ อย่างเป็นจริงและเชื่อมโยง หาไม่แล้วรวมทั้งตัวเองที่ไม่แยกออกจากกัน


เราไม่ได้เรียนรู้เพราะเห็นว่าการศึกษาเป็นเพียงทางผ่าน แต่เป็นหนทางแห่งการแปรเปลี่ยนและเติบโต ไม่ได้เรียนรู้เพราะรู้สึกว่าต้องเรียน แต่เป็นสิ่งที่เราเลือก เป็นพลังแห่งการได้เกิดเป็นมนุษย์ คือการเลือก

หนทางแห่งการตื่นรู้ อยู่ในปัจจุบันขณะ สิ่งที่เราจะเอาชีวิตเข้าแลกคือปัจจุบันขณะ เพราะเป็นประตูเข้าสู่การมีชีวิตอย่างเต็มเปี่ยม เพื่อมองเห็นความงามอันวิจิตรและความดีอันประเสริฐที่ดำรงอยู่แล้วในทุกๆสิ่ง



มองเห็นโลกซ้อนๆกันหลายๆใบ เห็นน้ำค้างเกาะตามยอดหญ้า และกิ่งไม้ยามเช้า เห็นแสงสาดส่องผ่านม่านหมอกและไอดิน เห็นสิ่งต่างๆเชื่อมโยงกันอย่างเป็นอิทัปปัจจยตา เราสามารถ ชื่นชมความแตกต่างหลากหลาย โดยเห็นความคิดของคนอื่นสอดร้อยเชื่อมโยงกับความคิดเรา และทำให้เกิดปัญญาร่วม เป็นระบบนิเวศแห่งความรู้ที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กันและกัน เมื่อนั้นเราก็จะดำรงอยู่ใน ความไม่แยกส่วนและไม่แบ่งแยก และการรับรู้อย่างไม่ต้องเลือกปฏิบัติ


เพราะโดยปกติเรามีสิ่งที่เราชอบ และไม่ชอบ มีสิ่งที่เรากลัว และรักใคร่ เรามักจะเลือกเรียนรู้หรือรับรู้เฉพาะสิ่งที่เราชอบหรือพึงพอใจ และปฏิเสธสิ่งที่เราไม่ชอบ หรือไม่เห็นด้วย เป็นทวิภาพ เป็นหัวใจที่แบ่งขั้ว จึงเกิดการเรียนรู้อย่างเป็นเสี่ยงๆ เราไม่อาจเข้าใจทั้งหมดของตัวเองหรือโลกได้หากเรายังเลือกที่จะเบือนหน้าหนีสิ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของเรา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเงามืดทมึน เป็นสิ่งที่เรากลัวหรือไม่รู้ โดยที่เรามักปฏิเสธการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านี้ และมักปฏิเสธว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของเรา และอาจไปโยนความผิดให้กรรม หรือเจ้ากรรมนายเวรไป




เมื่อเราสามารถน้อมรับสิ่งที่เราไม่พึงพอใจได้ เราก็จะสามารถสร้างสันติภาพภายในตัวเราเอง ดำรงอยู่และเรียนรู้จากความแตกต่างได้ และช่วยหล่อเลี้ยงให้เกิดความเข้มแข็งของความเป็นชุมชน และสังคมแนวราบที่ยิ่งนับวันจะขาดหายไปจากสังคมไทยที่สังคมแนวดิ่งกดทับอิสรภาพของการเป็นมนุษย์ ทั้งนี้ ความเป็นกัลยาณมิตรที่สามารถสร้างขึ้นจะเป็นดั่งผืนพรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่เมล็ดพันธุ์แห่งการเรียนรู้ของทุกๆคนจะงอกงาม และทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการค้นพบความรักและมิติแห่งจิตวิญญาณภายในตน เป็นการเรียนรู้ที่ต้องเอาชีวิตเข้าแลก เพราะสิ่งที่เราเรียนรู้คือตัวตนของเราเอง ที่อาจมีหลายหน้าตา หลายตัวตน โดยที่ความรู้หรือความเข้าใจที่ลุ่มลึกจะบังเกิดขึ้นได้เมื่อเรายอมให้ความคิดหรือความรู้ชุดเดิมล่มสลายลง เช่น เราอาจเคยคิดว่าเราเป็นคนดี แต่เมื่อเราสืบค้นเข้าไปในตัวเองแล้วค้นพบ “ความเกเร” หรือ “ความร้ายกาจ” บางอย่างของตัวเอง และเมื่อรับรู้และยอมรับได้ “ความไม่ดี” นั้นก็ได้เริ่มคลายกำลังลง และอาจหมดความหมายไปเลยก็ได้ แต่การที่เราจะสามารถยอมรับว่าเราก็ไม่ได้ดีเด่อย่างที่เราคิด บางครั้งก็เจ็บปวดได้เช่นกัน ภาพลักษณ์ของเราถูกบีบคั้นให้ล่มสลายลงราวกับปราสาททรายที่ถูกคลื่นทะเลโถมซัดให้พังลงมา


ความกล้าเผชิญความจริงแห่งตัวตนจะช่วยทำให้เราเห็นและอาจค้นพบอิสระจากกรอบกรงขังเดิมๆได้ทีละเปราะ เหมือนการปลอกหัวหอม เป็นการเดินทางเข้าสู่ด้านในเพื่อขัดเกลาตัวเอง ให้สิ่งที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอกนั้นหลุดออกไปจนเหลือเพียงความเปลือยเปล่าที่จริงแท้ เรียบง่ายและอิสระ.

มิตรภาพที่เปลือยเปล่าและสิ้นหวัง






มองด้วยใจ..เห็นด้วยกรุณา
เมื่อพร้อมที่จะร่วมทุกข์...คือพร้อมจะมองเห็น
ด้วยดวงตาแห่งความกรุณา

ในโลกแห่งความวิปลาส
เราต่างมองเห็นเพียงเสี้ยวส่วน
ของความจริง “ทั้งหมด”
เราจึงหันหน้าเข้าหากัน
รับฟังความจริงทุกส่วนเสี้ยวที่แตกต่าง
เชื่อมโยงความรู้สึกระหว่างกัน
มากไปกว่าความคิดที่แยกส่วน

กัลยาณมิตรก่อเกิด
เมื่อความเปลือยเปล่าของดวงใจเผยปรากฎ
ไร้อาภรณ์หรือเกราะกำบังใดๆ
เปราะบางราวแก้วมณีใสกระจ่าง พร้อมจะแหลกสลาย
ร่วมรับรู้ทุกข์ คือร่วมทุกข์
ให้ทุกเสียงความรู้สึกได้แสดงออกอย่างปลอดภัย
ไร้ตัดสินพิพากษา

ความสิ้นหวัง คือพื้นดินอันปราศจากความคิด
เมื่อสิ้นคิด จึงมองเห็น
ศิโรราบแก่ความไม่รู้

ในความมืดมน อนธการ
เมื่อนั้น

แสงกระจ่างแผ่คลุมเงามืด