Tuesday, October 20

สนทนาคาเฟ่


เดี๋ยวจะหาว่าไม่ค่อยได้อัพเรื่องราว ตอนนี้ผมใช้เฟสบุคเยอะมาก เพราะแสนง่ายดาย เชื่อมโยงกันง่ายจริงๆ
ถ้าใครยังไม่ได้มีaccount ก็รีบมีเสีย จะได้ไม่ตกข่าวครับ ส่วนภาพข้างบนนี้คือสมาชิกขวัญแผ่นดินครับ ถ่ายเมื่อเดือนสิงหาคม 2552 ที่บ้านครูส้ม เชียงราย


ส่วนที่โพสตรงนี้ เป็นเรื่องราวที่ลงกรุงเทพธุรกิจ ที่ผมให้สัมภาษณ์ไปเมื่อสองสัปดาห์่ก่อน ถ้าอยากอ่านที่เวบไซด์เขาเลยก็ดูได้ที่
http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/hi-life/20091008/80524/คาเฟ่-สนทนา.html

บทความโดย
เพ็ญลักษณ์ ภักดีเจริญ

ณัฐฬส วังวิญญู นักกิจกรรมเพื่อสังคม และวิทยากรอบรมกระบวนการเรียนรู้ สถาบันขวัญแผ่นดิน เล่าถึงวงสนทนาง่ายๆ ที่คนในสังคมไทยอาจมองข้าม

สุนทรียสนทนาไม่ใช่แค่การพูดคุยสนุกๆ เหมือนวงสนทนาทั่วไป แต่มีวิธีการพูดคุยเพื่อเผยความรู้สึกด้านใน แล้วจะมีประโยชน์อันใดกับชีวิต มาเปิดคาเฟ่คุยกันตรงนี้ดีกว่า...

ดื่มคาปูชิโนอุ่นๆ พร้อมเรื่องเล่าจากหัวใจในคาเฟ่เล็กๆ ของคุณย่าวัย 83 ปีในซานฟรานซิสโก อเมริกา เธอให้โอกาสคนที่แวะเวียนผ่านมาดื่มกาแฟ นั่งคุยเปิดพื้นที่ของหัวใจทุกวันอาทิตย์...

ณัฐฬส วังวิญญู นักกิจกรรมเพื่อสังคม และวิทยากรอบรมกระบวนการเรียนรู้ สถาบันขวัญแผ่นดิน เล่าถึงวงสนทนาง่ายๆ ที่คนในสังคมไทยอาจมองข้าม เพราะการพูดคุยลักษณะนี้เป็นการเรียนรู้การฟังกันอย่างลึกซึ้งและเรียนรู้ที่จะเข้าใจผู้อื่นและตัวเอง

“คุณรู้ไหม คาเฟ่บางแห่งในอเมริกาทำแบบนี้ คุณย่าเจ้าของร้านกาแฟที่ผมเล่าให้ฟัง เชิญให้ทุกคนที่เข้ามาวันอาทิตย์นั่งลง ดื่มกาแฟ แนะนำตัว มีป้ายวางบนโต๊ะว่า หนึ่ง...เราจะฟังกันอย่างลึกซึ้ง สอง...เราจะไม่ด่วนตัดสิน สาม...เราจะพูดเยิ่นเย้อกินพื้นที่ สี่...เราจะสนใจเรื่องที่พูดและรู้สึกต่อเรื่องนั้นจริงๆ” ณัฐฬส เล่าและมีเพื่อนที่ผ่านมาขอร่วมวงสุนทรียสนทนาในการสัมภาษณ์ด้วย เธอบอกว่า ทุกวันนี้มีคลับหรือชมรมเยอะขึ้น หรือการไปแดนซ์กลางคืน เพราะเราต้องการสังคม แต่เราไปยึดอย่างอื่นที่ไม่ใช่ด้านในตัวเอง

“ต้องหาที่ให้คนในสังคมยืน มีคนสนใจเรื่องพวกนี้นะ เพราะคนต้องการหาผู้ฟังเวลาพูด”

เหมือนเช่นที่เชียงรายมีกลุ่มวงน้ำชาของกลุ่มนักกิจกรรมสังคม เชื้อเชิญคนเชียงรายมาร่วมวง ณัฐฬสเองก็มีร้านหนังสือเอกเขนกของตัวเองในเชียงราย เป็นการทดลองเล็กๆ มีมุมกาแฟ มีที่นั่งเล่น

“ร้านหนังสือส่วนใหญ่เอาหนังสือล่อให้คนมาซื้อ แต่ผมเอาหนังสือล่อให้คนมาเจอกัน ต้องเข้าใจก่อนว่า กระบวนการเรียนรู้มีหลายวิธี มนุษย์เรียนรู้ตลอดเวลา สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ตัวเราอย่างเดียว แต่เป็นคนในวงสนทนา คำตอบอยู่ที่ตัวเรา ไอเดียและคำพูดจากวงสนทนานำไปพัฒนาตัวเองได้”

พื้นที่ปลอดภัยในการพูดคุย

ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริหารระดับสูงหรือคนงานเล็กๆ เมื่อล้อมวงพูดคุยกัน บรรยากาศก็จะดูสบายๆ ผ่อนคลาย ณัฐฬสจัดกระบวนการการเรียนรู้ด้านในมานานกว่า 8 ปี เขาบอกว่า เน้นการเรียนรู้โลกด้วยใจ บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า สุนทรียะสนทนา เพราะคนทำกระบวนการ ต้องการให้คนเรากลับมารู้จักตัวเอง ทั้งร่างกาย ความรู้สึก ความสัมพันธ์กับคนอื่นและการใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย

กระบวนการสุนทรียสนทนาหลักๆ คือ สร้างพื้นที่ที่ทำให้คนรู้สึกปลอดภัยต่อความไว้วางใจ คุยแบบเปิดใจร่วมทุกข์ ไม่ต้องแยกพรรคพวก

"ทำมา 7-8 ปี คนที่ไม่เคยคุยกันเลย แต่พอมาอยู่ในวงนี้ก็เปิดใจ เราไม่ได้เริ่มจากปัญหา แต่เริ่มจากเรื่องที่พวกเขารู้สึกดีๆ ไม่ว่าเรื่องราวการเดินทาง ชีวิตที่ผ่านมา การต่อสู้ ความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ คนที่มีบุญคุณกับเขา คนไม่ได้เรียนจบปริญญาตรีมักจะมีเรื่องราวต่างๆ ที่พอนึกถึงหรือเล่าออกมาแล้วจะรู้สึกดีๆ" ณัฐฬส เล่าถึงกระบวนการที่ไม่ได้เริ่มจากปัญหาคับข้องใจ

“บางคนทำงานด้วยกันกว่าสิบยี่สิบปี ไม่เคยคุยกันมาก่อน บางคนไม่รู้ว่าเพื่อนที่ทำงานมีพี่น้องกี่คน การเรียนรู้แบบนี้ เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยที่ต้องอาศัยพลังกลุ่มในการขับเคลื่อน เมื่อคนหนึ่งเริ่มเปิด อีกคนก็จะเปิดใจตาม”

กระบวนการสุนทรียสนทนา จึงไม่ใช่การอบรมโดยวิทยากรให้ความรู้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการแสดงความคิดและความรู้สึกร่วมกัน ไม่ตัดสินว่าใครผิดหรือถูก โดยมีวิทยากรคอยแนะนำในบางครั้ง

“ผมใช้คำว่าให้เกียรติกัน เพราะเวลาเราทำงานในองค์กร เราคาดหวังกันเยอะ แต่ไม่ค่อยให้เกียรติกัน และแนวคิดที่ว่าคุณค่าของคนอยู่ที่ผลของงานเป็นช่วงของการสร้างชาติ ทำให้คนเอาตัวเองไปฝากไว้ที่คุณค่าของงาน เราอยู่ในโลกที่เราต้องสัมพันธ์กัน เราต้องให้ค่ากัน เพราะเราเป็นมนุษย์ และไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ มนุษย์มีความเก่งไม่เหมือนกัน บางคนก็ชุ่ย บางคนไม่ได้เรื่อง แล้วเราจะท้าทายความแตกต่างได้อย่างไร”

สิ่งที่ณัฐฬสย้ำคือ ต้องกล้ามองตัวเอง จริงๆ เราเปลี่ยนตัวเองได้ คนที่ชอบตำหนิคนอื่น ก็ไม่จำเป็นต้องมุ่งมั่นตำหนิคนตลอดเวลาเพราะความนเคยชิน

“เหมือนเราโตมากับค้อน ก็ใช้แต่ค้อนหรือ”

เรียนรู้อดีตเข้าใจตัวเอง

อดีตคือ รอยร้าวในใจที่ณัฐฬส เชื่อมโยงให้เห็นว่า ต้องเยียวยาอดีตก่อน วิธีการคือ ต้องรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อทำให้คนเห็นภาพตัวเอง หลายคนวิ่งหนีอดีต บางคนเป็นเด็กกำพร้า บางคนเพื่อนไม่ยอมรับ นำไปสู่ความรุนแรง

“ผลจากอดีตคือ การโทษตัวเอง โทษคนอื่น โทษพ่อแม่ อันนี้คือกรรมนะ แล้วเดี๋ยวนี้ภาษาคำว่าแก้กรรม เยอะมาก ถ้าคุณจะแก้กรรม ต้องเยียวยาอดีต แค่นั้นแหละคุณเปลี่ยนชีวิตได้”

การทำกระบวนการลักษณะนี้ต้องทำความเข้าใจกับหลักจิตวิทยา ศาสนา ศิลปะและการภาวนา ณัฐฬส บอกว่า คนบางส่วนไม่มีความเชื่อหรือศรัทธาใดๆ ต่อศาสนา เพราะคนสมัยนี้ไม่ได้สนใจที่จะฟังภาษาธรรม

"ต้องมีภาษาที่สื่อสารกับชีวิตเขาได้ ถ้าบอกว่าต้องมีศีล ต้องทำความดี แต่ผมอยากบอกว่า เรื่องเหล่านี้คนรู้อยู่แล้ว มันจะไม่ผลกระทบต่อเขา สิ่งที่มีผลกระทบคือสิ่งที่เขารู้สึก คนที่เขารัก ลูก และครอบครัว ถ้าคุณเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทุกอย่างในชีวิตก็เปลี่ยน อีกอย่างการรับฟังไม่ใช่การเชื่อตาม เป็นการแชร์ความรู้สึก เป็นกระบวนการเรื่องเล่า คนที่มีเรื่องเล่าแบบเดิมๆ ก็สร้างสรรค์โลกแบบเดิมๆ"

และไม่ใช่ว่า ร่วมกระบวนการเรียนรู้ไม่กี่ครั้ง จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ทันที กระบวนการทั้งหมดอยู่ที่การเรียนรู้ด้านในของแต่ละคนในการเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น

“ต้องสร้างสังฆะการสนทนาในองค์กรอย่างต่อเนื่องให้ได้ เพราะโลกของความทรงจำอยู่ในจิตไร้สำนึก เวลาดึงโลกของเราออกมา ส่วนใหญ่จะอยู่ในบทสนทนา” ณัฐฬส เล่าถึงการฝึกฝนตัวเองในลักษณะนี้ ต้องมีสติในการพิจารณา ถ้าเราเชื่อว่า เราทำได้ เราก็จะทำ แต่ถ้าเราเชื่อว่า เราทำไม่ได้ เราก็จะไม่ทำ

“หลายองค์กรที่ผมจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ ยังไม่ค่อยประสบความสำเร็จในแง่ความยั่งยืน เพราะคิดว่า ทำเวิร์คชอปแล้วจะได้ผลทันที ทำเรื่องพวกนี้เหมือนการกินข้าว ต้องทำอยู่เรื่อยๆ”

แม้การจัดกระบวนการเรียนรู้ขององค์กรธุรกิจและองค์กรเพื่อสังคมจะต่างกัน แต่มนุษย์ก็คือมนุษย์ ต้องการชีวิตที่ดีไม่ต่างกัน

“ผมอยากจัดรีทรีทให้ครูมาวิเวกอยู่กับตัวเอง หนังสือเล่มหนึ่งที่ผมแปลตอนนี้เรื่อง 'กล้าสอน' คนแปลคนนี้เคยจัดรีทรีทให้ครูสามสิบคน สามเดือนครั้ง เป็นเวลาสองปี ปรากฏว่า จิตวิญญาณของครูกลับคืนมา การแลกเปลี่ยนความรู้สึกโลกภายในของครู พวกเขาได้ทั้งแรงบันดาลใจในการสอนและสร้างสรรค์ ซึ่งครูส่วนใหญ่ในอเมริกา เต็มไปด้วยเรื่องการเหยียดสีผิว อาวุธปืน ความรุนแรง ผมก็เลยบอกครูที่ผมไปจัดเวิร์คชอปว่า ผมอยากมาทำแบบนี้บ้าง” ณัฐฬส เล่า เพราะอาชีพครูสามารถสร้างผลกระทบให้กับคนในสังคมได้มาก

ล้วงลึกความเป็นมนุษย์

นอกจากแนวคิดเรื่องสุนทรียสนทนาที่ทำให้คนเมือง ทั้งองค์กรธุรกิจ องค์กรสาธารณสุข ครูสอนหนังสือแล้ว ณัฐฬส ยังมีแนวคิดเรื่องการจัดกระบวนการให้เยาวชนกระทำผิด

“ผมยังไม่ได้ทำงานกับเยาวชนกลุ่มนี้ เด็กส่วนใหญ่ทำไม่ดี เพราะต้องการการยอมรับ มีความเจ็บปวดและถูกบีบคั้น ต้องทำให้เขาให้อภัยตัวเองก่อน ส่วนใหญ่เยาวชนจะทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ชกต่อย ลักเล็กขโมยน้อย ฆ่าคนมีน้อยมาก”

กระบวนการล้วงลึกความเป็นมนุษย์สามารถช่วยเยียวยาได้ ณัฐฬสเคยคุยกับคนทำงานในศาล ซึ่งเห็นด้วยกับงานของเขา เนื่องจากการจองจำเยาวชนที่ทำผิดต้องใช้งบประมาณปีหนึ่งกว่าสามหมื่นบาท ถ้าให้มาเข้าคอร์สเปลี่ยนแปลงตัวเองใช้งบประมาณไม่กี่พันบาท

เหมือนที่เกริ่นนำตั้งแต่แรกว่า ไม่ใช่วงสนทนาที่วิจารณ์ซึ่งกันและกัน แต่เป็นกระบวนการจากด้านใน มีช่วงของการภาวนา เพื่อเปิดพื้นที่ในหัวใจ ณัฐฬสบอกว่า ไม่ได้ต้องการให้พูดคุยธรรมดา แต่เป็นการพูดคุยล้วงลึกสืบค้นความเป็นมนุษย์ในตัวเรา ต้องอาศัยความกล้าและความสงบ

“เหมือนการภาวนาเพื่อให้เกิดการพูดจากข้างใน ซึ่งเราจะใช้ผัสสะทุกอย่าง ทั้งศิลปะ ดนตรี การวาดรูป ภาวนา และสมาธิ เพื่อให้เกิดความรู้สึก เพราะการเข้าสู่พื้นที่ในหัวใจ ไม่ได้ผ่านความรู้ ต้องผ่านความรู้สึก” ณัฐฬส บอกและให้เหตุผลว่า ชีวิตคนเราผ่านการเรียนรู้ภาคบังคับมาเยอะ

"ระบบการศึกษาถูกตั้งขึ้นมาเพื่อพัฒนามนุษย์ แต่ไม่ได้เริ่มต้นจากสิ่งที่เราเป็น มันฉุดกระชากวิญญาณ เลือกเฉพาะคนเก่ง มันทำลายจิตวิญญาณมนุษย์"

เพราะเขามีความเชื่อต่างจากคนในสังคม จึงมั่นใจว่า คนในสังคมสร้างสิ่งดีๆ ได้ จัดสรรสิ่งแวดล้อมให้ดีกับเพื่อนมนุษย์และธรรมชาติได้

“คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่า เรามีส่วนในการเปลี่ยนแปลงสังคม แต่เชื่อตัวเองว่าหาเงินได้ ผมอยากเห็นสังคมที่เป็นเพื่อนกันและเคารพความเป็นมนุษย์”

...........................

หมายเหตุ : ทุกวันเสาร์ที่สามของเดือน จะมีการจัดกระบวนการเรียนรู้ด้านในหรือสุนทรียสนทนา ที่บ้านพักคริสเตียน ศาลาแดง โดยมีไอเดียเรื่องความสุขทางจิตใจ โดยไม่ต้องสร้างภาพหรือมีเป้าหมายเพื่อพิสูจน์ตัวเอง

Tags : คาเฟ่ สนทนา • ณัฐฬส วังวิญญู

Thursday, August 6

4-9 สิงหาคม ปาย แม่ฮ่องสอน



/Users/nutt/Pictures/iPhoto Library/Originals/2009/GC Meet 2009/DSC01663.jpg

ไม่ได้มาทักทายกันมานาน ช่วงที่ผ่านมาชีพจรลงเท้าออกนอกประเทศไปเกือบครึ่งเดือน แต่ก็ดีนะครับได้เปลี่ยนบรรยากาศออกจากห้องประชุมบ้าง
ไม่ได้เดินทางมานานเหมือนกัน นับตั้งแต่ไปเปรูเมื่อ ๒ ปีที่แล้ว คราวนี้ไปแค่ครึ่งโลกคืออเมริกา ได้ไปเจอเพื่อนเก่าๆที่มาจากกลุ่ม World Jam หลายคน เจอกันสี่สี่ห้าปีก่อนที่อินเดีย หรือไม่ก็ที่ เซเนกัล อัฟริกา เมื่อปี 2004

Saturday, May 16

เอาจริงกับการเปลี่ยนแปลงองค์กร (ยกเว้นตัวเอง)




มติชนรายวัน : หนังสือพิมพ์คุณภาพ
เพื่อคุณภาพของประเทศ
www.matichon.co.th
วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11389 มติชนรายวัน


เอาจริงกับการเปลี่ยนแปลงองค์กร (ยกเว้นตัวเอง)

คอลัมน์ จิตวิวัฒน์

โดย ณัฐฬส วังวิญญู สถาบันกาญาเพื่อการเรียนรู้ด้วยใจ, www.earth-soul.com www.thaissf.org แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)





ขอถอดความจากข้อเขียนของ ปีเตอร์ เซ็งกี้ (Peter Senge) เรื่อง "เอาจริงกับการเปลี่ยนแปลงตัวเอง" ว่า "หลังจากได้เฝ้าติดตามผลจากหนังสืออย่าง การเรียนรู้ในระดับองค์กร ของ อาร์กิริสและฌอน ในเรื่องการจัดการ ทำให้เห็นว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย นี่เป็นหนังสือแห่งประวัติศาสตร์เล่มหนึ่ง เรื่ององค์กรเรียนรู้ (Learning Organization) เป็นเรื่องที่กว้างและมีหลายชั้น การที่จะพลิกวิธีคิดและสร้างผลอย่างเป็นรูปธรรมในการจัดการต้องใช้เวลาพอควร ดังนั้น การบอกว่าผลลัพธ์จะเกิดจากปัจจัยอันใดอันหนึ่งนั้น นับว่าเป็นความเขลา ...ผมคิดว่าการประเมินผลในเรื่องนี้จำต้องใช้กรอบเวลาหลายชั่วรุ่น ดังนั้น ตอนนี้ยังถือว่าเร็วไปที่จะมีข้อสรุปในเชิงการฝึกปฏิบัติ"

ข้อคิดเห็นตรงนี้ ทำให้หลายคนรู้สึกได้ 2 อย่าง คือ "ร้อนใจ" ที่จะต้องใช้เวลามากมายถึง 3 ชั่วรุ่นในการสร้างองค์กรสายพันธุ์ใหม่ หรือสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่ช่วยหล่อเลี้ยงบ่มเพาะมนุษย์ให้งอกงามและพัฒนาได้จริงๆ

แต่หากมองอีกแง่หนึ่ง ก็อาจทำให้หลายคนรู้สึก "วางใจ" ลงได้บ้าง และทำงานนี้ไปอย่างไม่ต้องรีบเร่งหรือร้อนรน เรียนรู้กับกระบวนการที่เกิดขึ้น แทนที่จะประหม่าวิตกว่า "ผลลัพธ์" จะออกมาอย่างไร

เพื่อนๆ ของผู้เขียนหลายคนหนักใจ ที่พอนำเอาแนวคิดเรื่องการฟื้นมิติของความเป็นมนุษย์กลับมาในองค์กรต่างๆ ก็เกิดอุปสรรค

เช่น เจ้านายถามว่าจะวัดผลอย่างไร หรือมองสิ่งเหล่านี้ว่าเป็น Soft Side หรือ "ด้านละมุน หน่อมแน้ม" แล้วเสียกำลังใจไปถึงขนาดเลิกล้มความตั้งใจ และกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของ "องค์กรเครื่องจักร" แบบเสียมิได้ก็มีไม่น้อย

ทั้งที่จริงๆ แล้วผลที่เกิดขึ้นตรงหน้าจากการสร้างพื้นที่การเรียนรู้และเชื่อมสัมพันธ์กันระหว่างผู้คนในองค์กร นำมาซึ่งความจริงแท้ ปลอดภัย และกรุณาในองค์กรไม่มากก็น้อย และน่าจะเรียกการพัฒนาในมนุษย์นี้ว่าเป็น Heart Side หรือด้านที่เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาองค์กรเสียด้วยซ้ำ

หากจะตั้งคำถามง่ายๆ ว่า กรอบเวลาสั้นไปอย่างนั้นหรือ?

ปีเตอร์กล่าวว่า "ขอให้ผมได้เริ่มโดยการขยายความจากที่กล่าวมาแล้ว ทำไมผมจึงกล่าวว่า 25 ปีนั้นสั้นไปสำหรับการประเมิลผลงานของอาร์กีริสและฌอน แน่นอน 25 ปีเป็นเวลาที่ยาวนานพอดู และคนส่วนมากก็จะคิดว่านี่เป็นเวลาที่มากเกินพอที่จะประเมินว่าความคิดใหม่ๆ อย่างนี้จะส่งผลสำเร็จหรือล้มเหลวในการใช้งานด้านการจัดการ แต่ทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับสาระสำคัญของความคิดนั้นด้วย

ประการแรก และก่อนอื่นเลย ผมถือว่าความคิดของอาร์กีริสและฌอนนั้นค่อนข้างจะพลิกแผ่นดินเอาการ ในแง่หนึ่ง พวกเขาจะตั้งเป้าหมายไว้ในเรื่องการพัฒนาประสิทธิภาพของการจัดการและองค์กร ซึ่งไม่ถือว่าเป็นเป้าหมายที่พลิกแผ่นดินอะไร แต่พวกเขากำลังชี้ไปที่ความสามารถชุดใหม่ของบุคลากรและความสัมพันธ์ในองค์กรแบบใหม่ ที่ขวางวิถีปฏิบัติอันเป็นวัฒนธรรมที่เป็นมาขององค์กรอย่างสิ้นเชิง"

คำว่าความสามารถชุดใหม่นี้ เป็นศักยภาพในการลงมือกระทำการ และเมื่อทำจนชำนาญแล้วก็จะกลายเป็นทักษะ เช่น การรับฟังทุกคนอย่างเคารพและให้ความเท่าเทียม เป็นต้น แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหลังของการเลือกใช้ทักษะเหล่านี้คือ คุณค่าและความมุ่งมั่นในการฟื้นฟูความเป็นมนุษย์ในสังคมและองค์กร แม้ว่าหลายที่จะให้คุณค่า แต่ทักษะเหล่านี้ไม่ได้รับการฝึกฝนหรือสนับสนุนอย่างเป็นจริงเป็นจัง การให้คุณค่าจึงเป็นเพียงคำสวยหรูที่ใช้ในการรณรงค์ให้ดูดีไปตามกระแสแฟชั่นของการพัฒนาองค์กร เช่น องค์กรเรียนรู้ การจัดการความรู้ หรือความเป็นธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคม (CSR) เป็นต้น

ทุกวันนี้ ผู้นำองค์กรของเรายังคงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความกลัวที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่วัยเยาว์ แม้ว่าศักยภาพด้านอื่นในการเป็นผู้นำได้รับการพัฒนามาไม่น้อยแล้วก็ตาม ความกลัวที่ว่าฝังรากลึกในจิตใจของมนุษย์ทุกคนที่ผ่านระบบการเลี้ยงดูแบบโรงเรียนและโรงเรือน นั่นคือ "การกลัวเสียหน้า"

ผู้นำองค์กรไม่สามารถสร้างองค์กรให้เรียนรู้ได้ หากยังไม่สามารถจัดการกับอาการกลัวเสียหน้าของตัวเอง

เซ็งกี้กล่าวต่อไปว่า เวลาเราเป็นเด็ก การมีชีวิตในครอบครัว พวกเราส่วนใหญ่เรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงการถูกตำหนิหรือถูกกล่าวโทษ เราเรียนรู้ที่จะเอาชนะในความขัดแย้ง ไม่มีคำว่าแพ้ และต้องรักษาภาพของการมีความสามารถในการจัดการและควบคุมสถานการณ์ได้ เด็กนักเรียนในโรงเรียนก็เรียนรู้ที่จะแสดงพฤติกรรมที่คุณครูประเมินว่าดี ตอบคำถามด้วยคำตอบที่ "ถูกต้อง" ไม่ใช่ตอบ "ผิดๆ"

และตั้งแต่เราเริ่มชีวิตการทำงาน เราก็ทุ่มเทชีวิตและใส่ใจต่อการดำเนินสภาพของการดูดีมีความสามารถนี้เรื่อยมา ดังที่อาร์กีรีสเขียนไว้ในบทความที่ทรงพลังใน Harvard Business Review ปี 1991 ว่า "โดยเฉพาะคนฉลาดนั่นแหละที่เรียนยาก ไม่ใช่เป็นเพราะพวกเขารู้ไปหมดแล้ว แต่เป็นเพราะพวกเขาได้ลงทุนไปมากโขในการรักษาภาพว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องเรียนอะไรมาก"

บรรดาเจ้านายทั้งหลายมักกลัวการยอมรับความไม่แน่นอนหรือไม่มั่นใจ เพราะอาจทำให้พวกเขาสูญเสียความน่าเชื่อถือ พอๆ กับพวกลูกน้องทั้งหลายที่ไม่กล้ายอมรับว่า พวกเขาไม่สามารถควบคุมและดำเนินภารกิจที่พวกเขารับผิดชอบอยู่ได้จริงๆ

การสร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้หรือนิสัยใคร่รู้นั้น จำต้องสร้างในทุกช่วงของชีวิต ตั้งแต่วัยเรียนและวัยทำงานในองค์กร เพราะนิสัยการเป็นนักเรียนที่ได้รับการปลูกฝังในระบบการศึกษานั้นส่งเสริมแต่วงจรการเรียนรู้แบบปิด นั่นคือ การหา "คำตอบที่ถูกต้อง" เพื่อให้ได้รับคะแนนและการยอมรับชื่นชม และหลีกเลี่ยงการตอบที่ "ผิด" หรือคำตอบที่ "โง่ๆ"

ทรรศนะและการปฏิบัติเช่นนี้ ได้รับการสั่งสมจนกลายเป็นวัฒนธรรมการเรียนรู้ที่จำกัด เพราะมุ่งเน้นการเอาตัวรอดและการรักษาภาพลักษณ์ที่ดูดี มากกว่าการเป็นนักเรียนรู้ที่จริงใจกับกระบวนการเรียนรู้และการแสดงออก

ทั้งๆ ที่ชีวิตเป็นระบบที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความแตกต่างหลากหลาย ดังนั้นการลองผิดลองถูกเป็นธรรมชาติการเรียนรู้ของชีวิต "ความไม่รู้" และคำถามจึงเป็นประตูเปิดไปสู่การเรียนรู้ของชีวิต (วงจรการเรียนรู้แบบเปิด) กระบวนกรจะทำอย่างไรเพื่อส่งเสริมวงจรการเรียนรู้แบบเปิด มากกว่าวงจรปิดแบบเอาตัวรอดและดูดี

ทำอย่างไรที่กระบวนกรจะช่วยถอดถอน "วิธีการเรียนรู้แบบปิด" (Deschooling Process) และสร้างสรรค์บรรยากาศและความสัมพันธ์ที่เอื้อต่อ "วิธีการเรียนรู้แบบเปิด" (Recreate Learning Process) ซึ่งเริ่มจากการให้คุณค่าและส่งเสริมความรู้สึกภาคภูมิใจของผู้เรียนเป็นหลัก (Empowerment) ในฐานะของการเป็นองค์กรจัดการตัวเอง เลือกและรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองเป็น

ยิ่งทำให้นึกถึงแนวคิดของ เปาโล แฟร์ นักการศึกษาและนักปฏิวัติการเรียนรู้ชาวบราซิล ที่ให้คุณค่ากับชีวิตและประสบการณ์ตรงของชีวิต เขาเป็นคนหนึ่งที่ช่วยให้แนวทางการเรียนรู้แบบเปิดกลับมาเห็นความสำคัญของการทำงานปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างผู้สอนและผู้เรียน

เพราะเมื่อความสัมพันธ์เชิงอำนาจเป็นแบบแนวดิ่ง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจที่มาจากตำแหน่งหน้าที่การงาน สถานภาพทางสังคม หรือความเป็นผู้เชี่ยวชาญ และผูกมัดทางความรู้ ล้วนสร้างกรงกรอบพันธนาการการเรียนรู้ของสังคมและองค์กรไว้ กดทับและจำกัดศักยภาพของมนุษย์ในการมีส่วนร่วมสืบค้นและสร้างสรรค์ทางออกที่เหมาะสมให้กับตัวเอง

ดังนั้น ความรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงและสร้างวัฒนธรรมที่ส่งเสริมจิตวิญญาณมนุษย์นั้น ไม่ได้ขึ้นกับผู้เชี่ยวชาญ หรือกับกระบวนการและเครื่องไม้เครื่องมือที่ดูวิเศษพิสดารแต่ประการใด

แต่ขึ้นอยู่กับว่า ผู้นำและผู้คนในองค์กรจะเอาจริงกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองขนาดไหนมากกว่า

หมายเหตุ : จากบทความ "Taking personal change seriously:The impact of Organizational Learning on management practice"

หน้า 9






All site contents copyright © by Matichon Public Co.,Ltd. All Rights Reserved.

Saturday, April 4




Hosting as an Art

If the group is an art form of the future, then convening groups is an artistry we must cultivate to fully harvest the promise of the future.
- Jacob Needleman, Centered on the Edge


What is the Art of Hosting ? - videos on ArtofHostingTV.net

It is a pattern and a practice that allows us to meet our humanity in ourselves and in each other - as opposed to trying to be machines meeting.

The Art of Hosting training is an experience for deepening competency and confidence in hosting group processes - circle, world café and open space and other forms.

Each of these processes generates connection and releases wisdom within groups of people. They foster synergy and provide ways for people to participate in intention, design, and outcomes/decisions/actions.

The experience is hosted by a team of facilitators who are skilled/trained in at least one, if not all of these processes; and the experience is aimed at people who want to serve as conversational hosts in their work, community, and personal lives.


What could conversations also be, if I hosted them with wisdom, focus, balance and courage ?

Our work is inspired by what happens when people are hosted to gather with the intention of learning and evolving their personal, work and living practices together with others.

We have noticed that the principles of self-organisation, participation and non-linearity are key to both individual and collective learning and discovery.

This is both different and complimentary to more traditional ways of working, which are primarily based on rational planning mechanisms and which often aim at establishing control in order to manage outcomes.

We are, therefore, particularly inspired by what takes place on the edge of chaos with just enough order – the chaordic field, - formed by borrowing the first syllable of the two words.

It is here that learning and innovation takes place so that radical change and wise actions can be discovered. It is also here that we can turn to one another to invite collective intelligence and creative solutions to emerge.


This approach is particularly important in the “pre-ject”- phase, where the desired future - or a common goal – is not clear or shared.

Once we have a shared picture of a desired future we will move into the “project” - phase, which is goal and action oriented.

A dance as subtle and new as that is an Art and needs to be designed and hosted with consciousness, clarity and courage.

Conversation comes from the Latin con versare:
To turn or to dance together



What are some essentials that help us to have meaningful conversations about the things that we most care about?

* live now what future you want to create

* be in the present


* do not host it alone - be a good team of hosts


* focus on questions that matters

* go into conversation about what really matters by listening deeply to each other - beyond the words


* allow all voices to be heard so the collective intelligence can surface


* co host a good process that allows everyone to learn about themselves - each other and the purpose

* harvest good essences

* do not act before clarity and wisdom have come

* do not fear chaos - it is creative space where the new order can be born

* go through your fear however it manifests


from http://www.artofhosting.org/theart/

Wednesday, March 25

Happy Wedding Day!

 


"อาจเป็น...เพราะเรา คู่กันมาแต่ชาติไหน..."
เจ้าบ่าวร้องเพลง..ขอฟังคำว่า "รัก"จากเจ้าสาวหวานซะไม่มี
โดยเฉพาะดวงตาที่หยาดย้อยคลอเคล้าพะเน้าพนอ
โอ้...แม่เจ้า
"คำ คำนี้มีค่าใหญ่หลวง พี่รักพี่แหนพี่หวง เป็นดังดวงฤทัย..."
ทำเอา แม่ยก แม่วางทั้งหลายเคลิ้มไปฆฤตามๆกัน

เป็นงานแต่งที่เล็กๆแต่น่ารัก มีค่า
อ.ระพี สาคริกก็เป็นผู้ใหญ่น่ารัก ทั้งสีไวโอลิน ร้องเพลง "หนึ่งในร้อย" ให้พวกเราฟัง
อ.ประภาภัทร นิยม ก็กล่าวถึงครอบครัวของทั้งสองฝ่ายได้อย่างให้เกียรติและคุณค่า
อามนตรีเราก็ใช่ย่อย เป็นเจ้าภาพที่เฟิร์มและสง่างาม จริงใจ

วันนั้นได้พบเพื่อนๆของโมโม่ด้วยล่ะ ตามมางานทีหลัง ใบหม่อน และปิ่น เกิดปีเดียวกันเลยเจ๊า
จึงแบ่งปันมาให้ทราบกัน
(ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อัพเดทบลอก ต้องขออภัยแฟนๆทุกท่านนะครับ)
Posted by Picasa

Sunday, February 15

จาริกสู่ต้นธารชีวิต




เราร่วมกันเดินทางสู่พื้นที่อารธรรมต้นน้ำ
ที่บ้านหินลาดใน ต.บ้านโป่ง อ.เวียงป่าเป้า จ.เชียงราย (๔-๘ ก.พ.๕๒)
กลุ่มเราเล็กๆกำลังดี ได้พูดคุยกันไป เรียนรู้จักกันไป
ใช้เวลาอยู่หมู่บ้านหนึ่งวัน แล้วเข้าไปอยู่ร่วมกันในป่าอีก ๑ วัน
อยู่วิเวกลำพังกับธรรมชาติ แบบต่างคนต่างอยู่ (แต่ไม่แยก)อีก ๑ วัน
กลับออกมาพร้อมเรื่องเล่าสะท้อนตัวตนและสิ่งที่ได้รับจากธรรมชาติ
โชคดีที่เป็นช่วงของเทศกาลปีใหม่ของปกาเกอญอ
พวกเราเลยได้เข้าร่วมพิธีกรรมที่อบอุ่นนั้นร่วมกัน ยิ่งมีการเวียนจอกสุรามงคลก็ยิ่งอบอุ่นไปใหญ่
เพื่อนเราคนหนึ่ง ทิมมี่ได้เข้าไปร่วมกับหลายบ้านจนเกือบครบ ๑๙ หลังคาแล้ว
แล้วจะค่อยๆเล่าเรื่องราวมาอีกนะครับ

Monday, January 26

สนทนาเทวาน้อยๆ

 

 

 


สนทนาเทวาน้อยแห่งนม

เยเช "เออ..นี่ โมโม่ มาคุยกันหน่อยสิ ไม่ได้เจอกันซะหลายวันเลย เป็นงัยบ้าง"

โมโม่ "ก็ดีนะ ช่วงนี้อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ดี เมื่อเช้าเสิร์ฟนมให้ สายๆ อาหารว่างก็นม เมื่อเที่ยงนี้ก็นม ของเธอล่ะเป็นงัย"

เยเช "ดีจัง ของเรา ช่วงนี้ก็นมทุกมื้อแหล่ะ พวกผู้หญิงโตๆเขาพูดกันซะหนาหูว่าต้องรักษาหุ่น เราว่าใช้ไม่ได้สำหรับเราว่ะ"

โมโม่ "นมแก้ปัญหาได้ทุกอย่างแหล่ะ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความหิวโหย ปัญหาปากท้อง
อารมณ์ หรืออาการเซ็งการเมือง นมแม่แก้ได้ทุกอย่าง"

เยเช "เราว่าน่าจะแก้ปัญหาจิตวิญญาณของคนยุคนี้ด้วยนะ พ่อพวกเราน่าจะพาคนภาวนาด้วยนมล่ะ"

โมโม่ "เห็นด้วยๆ ทุกอย่างแก้ไขได้ด้วยนมแม่จริงๆ"

....วันนี้คุณดื่มนมแม่หรือยัง...

อืม มาปะลองกำลังนมกันหน่อยไหม ใครแตะตัวอีกฝ่ายได้ก่อนชนะนะ
เอา อึ๊บ อุ๊บ ตุบตับ อ้าว ชนะทั้งคู่...

Posted by Picasa

Saturday, January 24

จิตตปัญญา...จ๊าบๆ

 

 

 

 


เมื่อสิ้นปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสร่วมทีมกับตั้ม วิจักขณ์ พานิช และอ.ฌานเดช พ่วงจีน ในการทำกระบวนการเรียนรู้แบบจิตตปัญญาศึกษาให้กับกลุ่มแกนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา สิ่งที่น่าประทับใจมากคือการได้มองเห็นประกายไฟแห่งการเรียนรู้ได้ปะทุขึ้นจากการได้ค้นพบตัวเองและค้นพบมิตรภาพที่ดีงาม หลังจากกลับจากงานสัมนา ๓ วันที่สวนสายน้ำ ก็มีการจัดกิจกรรมพบกลุ่มกันอย่างต่อเนื่องเพื่อดำรงวิถีทางของมิตรภาพที่หล่อเลี้ยงกระบวนการเรียนรู้ด้วยใจที่ใคร่ครวญในหมู่นักศึกษาที่เข้าร่วม

เนื่องจากการเรียนรู้นั้นทำให้เกิดการยอมรับและชื่นชมในความหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแนวคิด ที่ไปที่มาของชีวิต ความเชื่อ โลกภายในของแต่ละคนที่เปิดรับโลกของผู้อื่นก็ขยายใหญ่ขึ้น ไม่คับแคบอีกต่อไป เมื่อเรื่องราวของแต่ละคนไม่ได้ด้อยค่าไปกว่าตำนานอันยิ่งใหญ่ที่ร่ำเรียนกันมาในสังคม ผู้เรียนจึงสำนึกถึงคุณค่าของตนและรากเหง้าของชีวิต และยังรับรู้สถานภาพของการเป็นผู้สร้างสรรค์เรื่องเล่า ตำนาน โลกที่ตนปรารถนาได้บนฐานของความอ่อนน้อมถ่อมตน

นับว่าเป็นข่าวดีที่ได้เห็นความริเริ่มจากนักศึกษาเองที่มองเห็นประโยชน์ของจิตตปัญญาศึกษา Contemplative Education
และนี่ก็ถือได้ว่าเป็นประกายของความหวังที่คนรุ่นใหม่จะกลับมาสนใจเรื่องของตัวเองและโลกอย่างตื่นรู้ซื่อตรง อันเป็นแนวทางดั้งเดิมของการศึกษา เพื่อเติมเต็มความศักยภาพของมนุษย์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นไป โดยไม่จำเป็นต้องอิงรูปแบบ ความเชื่อหรือภาษาเป็นของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง เพราะในยุคสมัยที่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมกำลังเรียกร้องให้สังคมตื่นจากความเป็นพวกพ้องนิยมหรือศาสนนิยมมาสู่พื้นที่ร่วมของประสบการณ์ในความเป็นมนุษย์ การพัฒนาทางจิตวิญญาณก็ยิ่งต้องการวิถีทางที่หลากหลายในการเข้าถึงความแตกต่างหลากหลาย โดยเฉพาะวิธีการที่ไม่จำกัดตัวเองอยู่เพียงแค่วิธีการหรือชุดภาษาใดชุดภาษาหนึ่งเท่านั้น

แม้กระนั้น ผมก็ไม่ได้ต้องการให้ชาวพุทธเลิกละการใช้ศัพท์แสงแบบพุทธๆ เช่น สติ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่เนื่องจากว่าบ้านเราเป็นสังคมพุทธ ที่มีชาวพุทธเป็นเสียงส่วนใหญ่ ทำอย่างไรเราจึงจะมีภาษาหรือการอธิบายแบบอื่นๆที่ทำให้ผู้ปฏิบัติในแนวความเชื่ออื่นๆได้แบ่งปันประสบการณ์ตรงของชีวิตได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ เพราะตัวประสบการณ์ตรงนี้ต่างหากที่มีคุณค่าในการแบ่งปันและเรียนรู้ ตัวภาษาเป็นเพียงเครื่องมือในการอธิบายประสบการณ์ของชีวิตเหล่านี้

แม้แต่คำว่า contemplative education เองก็มีความหมายที่ไม่มีนัยยะของศาสนา หากเป็นกระบวนการเรียนรู้ด้วยการใคร่ครวญอย่างแยบคาย เป็นการน้อมรับประสบการณ์ชีวิตและกระบวนการเรียนรู้เข้ามาตน เพราะคำฝรั่งคำนี้ก็เกิดขึ้นมาในสังคมที่ต้องการรับมือกับความหลากหลายในการพัฒนาจิตวิญญาณที่มีอยู่ในสังคมตะวันตก แม้แต่ในชุมชนวิทยาศาสตร์เองก็มีวิถีของการใคร่ครวญ ทบทวน สืบค้นเพื่อความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งลงไปเกี่ยวกับชีวิตและจักรวาล

ยิ่งในช่วงนี้เราจะเห็นว่ามีกระบวนการเรียนรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาจำนวนไม่น้อยที่กำลังได้รับความนิยม เพราะเข้าถึงได้ง่าย และช่วยทำให้เกิดความเข้าใจในตนเองได้อย่างง่าย ไม่ว่าจะเป็นนพลักษณ์ ศิลปบำบัด การสร้างสรรค์ชุมชน การสื่อสารอย่างสันติ การเป็นคนกลาง สุนทรียสนทนา การเตรียมตัวตายอย่างมีสติ สัมผัสพลังแห่งการตื่นรู้ เป็นต้น

ทั้งนี้ ผมยังคิดมรดกในศาสตร์และศิลป์ว่าด้วยการพัฒนาด้านจิตวิญญาณของบ้านเรานั้นมีรากฐานที่มั่นคงหนักแน่นในสายของพระอริยเจ้าที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในสายวัดป่าต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วไปอย่างไม่โฆษณาตัวเองตามส่วนต่างๆของประเทศ และยังคงเป็นที่พึ่งให้กับผู้ที่สนใจในด้านนี้ ดังที่ผมได้รับฟังเรื่องเล่าของอ.ประภาภัทธ นิยม ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยอาศรมศิลป์ ที่ได้การเดินทางไปแสวงหาและเรียนรู้กับพระอริยะถึง ๑๕ รูปในภาคอิสาน

อย่างไรก็ตาม สำหรับบริบทของสังคมที่รวดเร็วและหลากหลายนี้ ผมคิดว่าการสร้างสรรค์ทางเข้าสู่การฝึกตนหรือการเรียนรู้ด้านในที่หลากหลายหนทางยังคงมีความสำคัญไม่น้อย

Posted by Picasa

ครอบครัวพ่อแม่

 



ในสิ่งที่เราแคร์ที่สุด ห่วงใยและใส่ใจที่สุด เราจะค้นพบพลังของความเปราะบางและศักยภาพแห่งการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง
เพราะความสัมพันธ์ในครอบครัวระหว่างพ่อแม่ลูก เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวและส่งผลต่อความสุขความทุกข์ของผู้คนจำนวนมาก (แม้จะไม่ใช่ทุกคน)

เมื่อพ่อแม่ได้มาหันหน้าเข้าหากัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ของการเลี้ยงดูลูก และหล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ระหว่างคนใกล้ตัว
บรรยากาศการอยู่ร่วมกันจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกของหัวใจ เมื่อเราสัมผัสถึงความเปราะบางที่มีอยู่ภายในตัวเราทุกคน เราก็จะสามารถสัมผัสและสื่อสารกับความเปราะบางที่อยู่ในตัวลูกของเราและคนรักของเราด้วย

สิ่งเหล่านี้เป็นทักษะที่สามารถฝึกฝนได้ ทำให้เราสามารถสื่อสารถึงกันและกันอย่างกรุณา ไม่เบียดเบียน ทำร้าย
เพราะเราเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนปรารถนาที่จะช่วยเหลือให้คนที่เขารักมีชีวิตที่เป็นสุข หากเขาสามารถรับรู้ความต้องการหรือ
ความปรารถนาที่แท้จริงของอีกฝ่ายได้ เขาย่อมสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือในการเติมเต็มความปรารถนานั้นให้เป็นจริงได้

โรงเรียนพ่อแม่ เพลินพัฒนา ครั้งที่ ๓ ได้จัดไปในช่วง ๑๙-๒๑ มกราคม ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับจากคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างดี ในยุคที่ตำราการเลี้ยงลูกให้เก่ง ดี ฉลาด นั้นเต็มหิ้งร้านหนังสือ การกลับมาเอาลูกและเราเป็นหนังสือเล่มหลักบนพื้นฐานของความไว้วางใจในศักยภาพการเรียนรู้และ การพัฒนาตัวเองตลอดเวลาของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ นับเป็นเรื่องที่สำคัญและท้าทายอย่างยิ่ง

ครั้งต่อไป จะมีการจัด รร.พ่อแม่ สำหรับบุคคลทั่วไป ในวันที่ ๓๑-๑ ก.พ. ๒๕๕๒ นี้ ที่ห้องประชุม ชั้น ๒ บ้านพักคริสเตียน ศาลาแดง ๒ สีลม สนใจติดต่อได้ที่ ครูณา 081-813-5195
Posted by Picasa

Thursday, January 15

อำลาคุณปู่แห่งขุนเขา

 


คุณปู่แห่งขุนเขา Arne Naess จากเราไปเมื่อวานนี้ คุณปู่เนสคนนี้เป็นนักปรัชญาชาวนอร์เว แกเป็นคนชอบป่ายปีนเขาและรักธรรมชาติเป็นชีวิตจิตใจ
เป็นอาจารย์สอนทางปรัชญาที่จบปริญญาเอกด้านปรัชญาที่มหาวิทยาลัยออสโล นอร์เว ตอนอายุเพียง ๒๗ ปี
เขาได้รับแรงบันดาลใจจากการสัมผัสกับธรรมชาติและเป็นผู้ริเริ่มใช้คำว่า นิเวศวิทยาแนวลึก (Deep Ecology)
คนหนุ่มสาวมักจะชอบมาพบปะพูดคุยกับคุณปู่อย่างเป็นกันเองตามร้านกาแฟ ในช่วงที่ท่านเดินลงมาในเมือง จากบ้านพักบนเขา
นิเวศวิทยาแนวลึก มองว่าธรรมชาติไม่ได้เป็นเพียงทรัพยากรที่ตอบสนองความต้องการที่ไม่จบสิ้นของสังคมมนุษย์ หากเป็นโลกแห่งชีวิตที่มีคุณค่าและปัญญาในตัวเองที่ยังคงวิวัฒนาการสืบต่อไป และตัวเราเองที่เป็นมนุษย์ก็เป็นผลลัพธ์หนึ่งของกระบวนวิวัฒนาการที่สลับซับซ้อนในความหลากหลายทางชีวภาพนี้
ในมุมมองของคุณปู่เนส ถือว่าในระบบนิเวศทุกอย่างมีคุณค่าในตัวเอง (แม้ไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจก็ตาม) ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นธุลี หรือ ไม้เนื้อแข็งราคาดี ต่างมีคุณค่าต่อกันและกัน
แต่ก็ไม่ได้มองอย่างสุดโต่งว่ามนุษย์ไม่ควรหยิบยืมหรือแสดงหาที่พึงจากธรรมชาติในการพัฒนาสังคมเมือง แต่พึงมองเห็นธรรมชาติว่าเป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีเงื่อนไขจำกัด
มุมมองนิเวศวิทยาแนวลึกได้กระตุกกระตุ้นให้เราได้กลับมาคิดว่าถ้าเราไม่เอาอารธรรมมของมนุษย์เป็นศูนย์กลางอีกต่อไป แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของระบบนิเวศทั้งหมด
เราอาจต้องจำกัดการพัฒนาให้อยู่ในปริมาณที่ไม่ทำร้ายกันและกัน ซึ่งในแต่ละท้องถิ่นก็จำต้องแสวงหาคำตอบนี้ให้กับตนเอง
ผมขอร่วมไว้อาลัยกับการจากไปของดวงวิญญาณอันเก่าแก่ที่ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนเสียงและสิทธิ์ของชุมชนแห่งธรรมชาติ
และขอให้ท่านพบกับสันติภาพในหนทางสู่ชีวิตเบื้องหน้าด้วยเทอญ
Posted by Picasa

Tuesday, January 13

กลมกล่อมตัวน้อยๆ

 


กายใจในตัวนิ่มเป็นหนึ่งเดียว
เฝ้าสะท้อนกลมเกลียวกับโลกา
ไม่แบ่งแยกตัดส่วนด้วยภาษา
เป็นเทวาตัวน้อยๆให้เชยชม
Posted by Picasa

Thursday, January 8

รำพึงมากับลมฝน

25 ธค.51
โดย นารีแดง

ตอนนี้เรานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน นั่งมองสายฝนฟุ้งขาวพรมใบไม้ใบหญ้าและฉากอาคารเบื้องหน้า
สวย สดชื่น ไม่ชัดตา
บางครั้งความแจ่มชัดก็ทำให้เรารู้สึกถึงความสวยอีกแบบ อบอุ่นใจไปอีกแบบ
แต่ความไม่ชัด ในขณะนี้ เวลานี้ ก็สวยดี
ไอฝนอาจจะทำให้เราเหน็บหนาวและไม่มั่นคงอยู่บ้าง แต่จะเป็นไรไป
จะเป็นไรไป...ใช่ไหม


I do in love with life…เรากำลังลุ่มหลงในชีวิต
ลองค่อยๆขยับขยายหัวใจให้กว้าง แล้วจะไม่มีอะไรที่เรารับไม่ได้ ไม่มีอะไรน่ากลัวเกินไปสำหรับใจ
คนเราเป็นโลก โลกหนึ่งเสมอ อยู่ที่ว่าในโลกใบนั้น เราบรรจุอะไร แล้วเราเปิดรับอะไร
ที่ผ่านมา โลกของเรามีอะไรบรรจุ อัดแน่นเสียจนเต็ม เต็มไปด้วยแรงใฝ่ฝันปรารถนา เต็มไปด้วยความคาดหวังนานา เมื่อเราลองขยับขยายพื้นที่ของใจ พื้นที่ในโลกใบหนึ่งนี้ดู เราพบว่ามันมีอะไรเพิ่มเติมขึ้นได้ รับอะไรเพิ่มได้มากมายยิ่งนัก

รับคำติฉินนินทาก็ได้ รับความเห็นข้อแนะนำที่บั่นทอนกำลังใจ ความเห็นที่ดูสวนทางและตัดรอนความหวังของเราได้ รับความหวาดระแวงแคลงใจ และความไม่พึงพอใจ ได้ทั้งสิ้น

รับนะคะ รับและดูด้วยความใส่ใจ พิจารณาและวางลงไป
ไม่จำเป็นที่ต้องกักเก็บ ไม่จำเป็นที่ต้องกอดรัดมันไว้
แต่ก็อย่าละเลย เมินเฉย หรือปิดประตูใส่

โลกใบนี้จะได้มีอะไรที่หลากหลาย มีวัชพืช มีแบคทีเรีย มีไส้เดือนและหนอนน้อยที่ช่วยให้ชีวิตอื่นได้สมดุล
ดอกไม้งามได้อย่างไร หากปราศจากมูลสัตว์และแดดจ้า
ดวงตาจักรับรู้เพียงแสงแดดโดยไม่รู้จักเงาทาบทาได้ กระนั้นหรือ

ชีวิตในอุดมคติ

เครือข่ายโ ร ง เ รี ย น พ่ อ แ ม่

ชี วิ ต ใ น อุ ด ม ค ติ


โดย พระไพศาล วิสาโล และทีมงานเครือข่ายโรงเรียนพ่อแม่

๒๐-๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒
ณ สวนธรรมหาดเสลา อ.เก้าเลี้ยว จ.นครสวรรค์
ด้วยความสนับสนุนจาก องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครสวรรค์

มนุษย์เกิดมาด้วยหน้าที่หลากหลายต่างกัน แต่ละผู้คนเลือกหนทางในการดำเนินชีวิตต่าง ๆ นานา ตามบทบาทหน้าที่ของตนบ้าง หรือหลงลืมบทบาทหน้าที่ของตนบ้าง หรือไม่คิดถึงเป้าหมายใด ๆ ของชีวิตเลย จะอย่างไรก็แล้วแต่ สุดท้ายการเดินทางของชีวิตก็มุ่งสู่ความสุขที่แต่ละผู้คนคิดหวังไว้กับชีวิตว่า เขาและเธอต้องการความสุขเยี่ยงไรในชีวิตของตน มีหลาย ๆ คนที่ค้นพบวิถีแห่งการดำเนินชีวิตที่นำพาตนไปสู่ ชีวิตในอุดมคติ ได้ แต่ยังมีอีกมากมายนั้นที่ยังไม่ค้นพบหรืออาจไม่เคยเฝ้าหาคำตอบให้กับตนเอง มักมีคนตั้งคำถามว่า “คนเราเกิดมาทำไม ชีวิตมนุษย์ มีความหมายหรือไม่ อะไรคือคุณค่าที่แท้จริงของชีวิตมนุษย์ ทำอย่างไร เราจึงจะดำรงชีวิตอย่างมีความหมายและสมศักดิ์ศรีที่เกิดมาเป็นมนุษย์” แต่มีสักกี่คนที่เฝ้าคนหาคำตอบให้กับตัวเอง

การค้นหาองค์ความรู้ เรียนรู้กับชีวิต ตระหนักรู้ในจิตของตน ช่วยให้เรารู้จักตัวเอง ไม่ให้หลงออกนอกทางซึ่งเป็นการเกื้อกูลในการแสวงหาความหมายที่แท้จริงของชีวิต ทำให้การดำเนินชีวิตประจำวันของเราเป็นไปในทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เข้าสู่ความเป็นมนุษย์ยิ่งๆขึ้นไป

เครือข่ายโรงเรียนพ่อแม่จึงขอเชิญชวนท่านมาร่วมค้นหาความหมายของการดำรงชีวิต เรียนรู้ถึงการเชื่อมโยงของสรรพสิ่งในธรรมชาติที่ส่งผลกระทบในปัจจุบัน รวมทั้งการหาความสมดุลที่เกิดจากสิ่งรอบข้างและข้อควรในการปฏิบัติที่จะค้นหาความหมายที่แท้จริงของชีวิตเพื่อไปให้ถึงชีวิตในอุดมคติ ผ่านการฝึกฝนสมาธิภาวนา เพื่อจิตใจที่เป็นอิสระ สงบ เบิกบานและเกิดปัญญา

อัตราค่าลงทะเบียน ๑,๔๙๐ บาท (รวม ค่าอาหาร และ ค่าที่พักแล้ว)
(จากปกติ ๔,๒๐๐ บาท แต่ได้รับทุนสนับสนุนบางส่วนจาก อบจ.นครสวรรค์)


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสมัครได้ที่
เครือข่ายโรงเรียนพ่อแม่ ติดต่อ
คุณอ้อ ๐๘๙-๔๓๙-๘๕๕๐ หรือ คุณหมวย ๐๘๑-๖๗๕-๔๗๔๙