ความเป็นกลางคือการเข้าข้างทุกฝ่าย
สานสันติด้วยการน้อมรับความจริงของทุกฝ่าย
“There is no single truth. Let’s value, honor and validate all interpretations and stories.”
เวลาเรารับฟังเรื่องราวต่างๆในสถานการณ์แห่งความขัดแย้ง เราจะฟังอย่างไรให้ได้ยินความจริงทั้งหมด สิ่งที่เราเรียกว่า ความจริง มีไหม?
สานสันติด้วยการน้อมรับความจริงของทุกฝ่าย
“There is no single truth. Let’s value, honor and validate all interpretations and stories.”
เวลาเรารับฟังเรื่องราวต่างๆในสถานการณ์แห่งความขัดแย้ง เราจะฟังอย่างไรให้ได้ยินความจริงทั้งหมด สิ่งที่เราเรียกว่า ความจริง มีไหม?
ยิ่งรับฟังก็ยิ่งรับรู้ว่าเรื่องราวมันมีความเหมือน และความแตกต่างกัน การให้ความหมายหรือการตีความของแต่ละคนช่างมีความแตกต่างกันอย่างมาก เราน้อมรับความจริงของแต่ละคนอย่างให้เกียรติและเคารพ โดยที่ไม่ต้องไปพยายามพิสูจน์ว่ามันจริงแท้ หรือจริงเท็จแค่ไหน ผมต้องย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าเรื่องราวของแต่ละคนนั้นคือความจริง และเป็นส่วนหนึ่งของความจริงอันยิ่งใหญ่ ส่วนเรื่องที่ผมจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยนั้นไม่สำคัญ เพราะเป็นเพียงความคิดเห็นของผมเอง แต่ที่สำคัญมากๆคือ ผมสามารถเห็นอย่างที่เขาเห็นหรือเปล่า
ความเป็นกลางคือต้องเข้าข้างทุกฝ่าย สัมผัสรับรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของทุกฝ่าย คำว่า “เข้าข้าง” ในที่นี้หมายถึง เข้าไปในใจ เพื่อรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ โดยที่ยังไม่ต้องไปค้นหาคนผิด หรือไม่ด่วนสรุปว่า “ใครทำ” หรืออะไรเป็นสาเหตุ ยิ่งถ้าเราพยายามวิเคราะห์หาคนผิด หรือหาสิ่งที่ทำให้เกิดเรื่อง การรับฟังรับรู้ของเรามักอ่ผมคงไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกของผู้คนได้หากพยายามทำตัว “เป็นกลาง” เพราะผมต้องเป็น ทั้งหมด เป็นทุกอย่าง ดังนั้นความเป็นกลางที่ต้องการคือความเป็นทุกฝ่ายนั่นเอง แต่เวลาสิ่งที่เราได้รับรู้มันขัดแย้งแตกต่างกัน มันก็รู้สึกปั่นป่วน งงงัน มึนตึ้บ ได้เหมือนกัน เพราะเวลาจิ๊กซอ มันไม่สามารถต่อกันได้อย่างลงตัว เราก็อาจรู้สึกกระวนกระวายได้เป็นธรรมดา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพยายามต่อแต่ละชิ้นให้เข้ากันได้หรอกมั้ง แต่เก็บทุกชิ้นไว้ในใจก็พอ เพราะมีค่าและมีความหมายในตัวเองทั้งสิ้น บางครั้งจับต้นชนปลายไม่ถูกก็รู้สึกว่าโง่ได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นเป็นไร ในเมื่อความโง่นี้หมายถึงความฉลาดของหัวใจที่เลือกที่จะไปพ้นความคิดเหตุผลอันจำกัดและแยกส่วน อาจเรียกได้ว่าเป็น หทัยปัญญา คือปัญญาแห่งการเปิดรับอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ต้องแยกแยะ แบ่งแยก ตีตรา วิเคราะห์วิตกจารณ์ เลือกเฟ้นกลั่นกรอง รับเข้ามาไว้ทั้งหมด เหมือนเป็นประตูกว้างๆ เข้าได้ทีละหลายๆคน จะเกี่ยวข้องกับแนวคิดของมหายานอย่างไรนั้นผมไม่แน่ใจนัก
เวลารับฟังไปก็ศรัทธาไปด้วยว่า คำตอบหรือทางออกจะค่อยๆเผยออก นี่ทำให้นึกถึงแนวคิดของมาร์กาเร็ต วีทลี่ เกี่ยวกับการจัดการความรู้ที่ว่า ในระบบชีวิต ทุกคำถามหรือทุกปัญหาจะมีคำตอบหรือทางออกอยู่แล้วในตัวเอง หากส่วนย่อยต่างๆได้เชื่อมถึงกันอย่างแท้จริง (Every living system is self-contained, just connect it!) คำตอบไม่ได้อยู่ข้างนอกตัวเรา หรือนอกชุมชน หรือนอกองค์กร มันมีอยู่ในตัวเอง คล้ายกับกิจกรรม “ปมมนุษย์” ที่เรามักใช้ในงานกระบวนกร ปมก็คือความคลี่คลายที่อีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง เพียงแต่รอคอยการเคลื่อนไหวไปถึงจุดที่คลี่คลาย และอาศัยทุกคนในการช่วยกันและกัน ปมไม่ได้เป็นของใคร เราทุกคนต่างร่วมกันสร้างมันขึ้นมา ไม่มีผู้ร้าย หรือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง หรือไม่มีเหตุเดียว (no single cause)
บางครั้งผมไม่ค่อยเข้าใจว่า ทำไมเราชอบเรื่องราวที่มีพระเอกหรือมีผู้ร้ายกันนัก อย่างเรื่องราวที่เกิดในชุมชนเราก็เหมือนกัน ยิ่งฟังไปผมก็เห็นว่าคนหนึ่งอาจรู้สึกว่าถูกกระทำหรือเป็นเหยื่ออยู่ และสามารถคิดไปได้ว่ามีผู้กระทำ ที่ทำให้เกิดความเป็น “เหยื่อ” แต่พอไปรับรู้อีกด้านหนึ่งเขาก็รู้สึกไม่ต่างกัน คือรู้สึกว่าถูกกระทำเช่นกัน เอาเป็นว่าทุกคนก็ทุกข์ไปตามๆกัน แล้วผู้ร้ายอยู่ไหนล่ะ ถ้ามีจริงๆผมขอจับเข้าตะรางเลยเป็นไง โทษฐานทำให้ทุกคนในชุมชนเป็นทุกข์ เปรียบได้กับว่าทุกคนเปียกปอนกันถ้วนหน้า โดยที่น้ำนั้นมาจากไหนก็ไม่รู้ อาจมาจากเราเองที่เทไว้ก็เป็นได้ เพียงแต่เรามักไปสืบหาว่าใครนะ ที่มาเทน้ำราดเรา
ผมเรียนรู้ว่าเรามักมองเรื่องราวต่างๆอย่างเป็นอัตตาตัวตน ด้วยสายตาแห่งอัตตาของเราเองนี่แหล่ะ เช่น มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องมีใครสักคนอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ หรือแบ่งกลุ่มคนต่างๆออกเป็นก๊ก ก๊วน ที่มี “ประสงค์” หรือ “แผนการ” บางอย่างที่เป็นเหตุให้เกิดปัญหา เรามองสิ่งต่างๆอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ มีรูปมีร่าง เป็นผีหลอกกลางวันขึ้นมาได้เพราะอะไรเล่า ตราบใดที่เรายังมองตัวเองว่าเป็นตัวเป็นตน เราก็มักมองโลกแบบนั้นกระมัง เป็นสิ่งที่พวกเราเรียกกันว่า ตุ๊กตารัสเซีย คือตุ๊กตาตัวในเป็นอย่างไรตัวนอกก็เป็นแบบนั้น มันเป็นแบบจำลองความจริงภายใน หรือที่ท่านนัท ฮันต์เรียกว่า มนัส คือแบบแผนซ้ำๆของการรับรู้โลกอย่างคับแคบ ที่กั้นขวางไม่ให้เราสามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้ตามที่เป็นจริงๆ
ยิ่งในสภาวะที่ชุมชนตกร่องอารมณ์ แต่คิดว่าคราวนี้น่าจะเป็น “เหวอารมณ์” เสียมากกว่า การจะหาคนผิด หรือหาว่าใครเริ่มก่อน มันก็คล้ายๆกับว่า ไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อน มันก็จะยิ่งหาไม่เจอ และจะยิ่งทำให้ทุกข์ไปกันใหญ่ เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่มีแผนการหรือประสงค์ของใครทั้งสิ้น มีแต่ความเป็นเช่นนั้นเอง รวมทั้งความเผลอไผล ผิดพลาดของเด็กฝึกหัดทั้งหลาย เพราะไม่มีใครที่อ้างว่าตัวเองบรรลุแล้ว (หรือถ้ามีก็ช่วยบอกผมด้วยนะครับ)
เลยเตือนตัวเองว่าต้องเลิกหาแล้วกลับมารับรู้ความรู้สึก หรือความทุกข์ที่เกิดขึ้น และให้เกิดการบอกเล่าอย่างซื่อตรงเสียดีกว่า ดังที่ผมได้คุยกับหลายๆคนว่า ช่วงนี้เป็นช่วงแห่งการเผยปรากฎ สิ่งที่ร้องขอจากตัวเองและทุกคนคือความซื่อตรงและความอ่อนโยน เป็นสมดุลระหว่างศาสตร์และศิลป์ ปัญญาและเมตตา เหมือนหลักการแห่งอุเบกขาคือมุ่งมั่นในการร่วมทุกข์ เหมือนหลักการในไท่ฉี คือหลังแข็งตรง มั่นคงไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน แต่ข้างหน้าอ่อนโยน ยืดหยุ่นและผ่อนคลาย หยินหยาง ฟ้ากับดิน
เมื่อเราแต่ละคนสามารถซื่อตรงต่อความจริงของตัวเองได้ และเปิดเผยออกมาอย่างอ่อนโยน ไม่ประทุษร้าย หนทางออกย่อมปรากฎ ผมรู้สึกว่านี่เป็นคุณธรรมข้อสำคัญ ที่จะทำให้ชุมชนหรือองค์กรดำรงอยู่ได้ และหล่อเลี้ยงให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างถึงรากถึงโคน เปิดเผย เปลือยเปล่า เปราะบาง สง่างาม และผมก็เชื่อว่าหลายๆคนได้พยายามปฏิบัติคุณธรรมข้อนี้มาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าจะทำให้ความจริงของเราแต่ละคนได้เผยปรากฎได้มากหรือน้อยนั้นก็ตามแต่เหตุปัจจัย เพราะบางเรื่องราวก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเสียจนปริปากบอกกล่าวออกมาได้ยากยิ่งนัก จนกว่าเวลาจะผ่านล่วงไป แผลเริ่มหายเจ็บ หรือเจ็บน้อยลงก็อาจเริ่มบอกเล่าออกมาได้
ณัฐฬส วังวิญญู
Nutt2000@loxinfo.co.th
๑๓ ต.ค. ๒๕๔๙
1 comment:
อื่ม...กรุ่น สด ใหม่ อุ่นๆ จากเตาที่เชียงราย
จริงๆ
เอาใจช่วย...คะ
Post a Comment