Wednesday, November 1

มาฟังเสียงด้านในอย่างไม่ตัดสินกันไหม

“ฉันโอเคนะ...แต่หัวใจฉันกำลังร้องไห้อยู่ข้างใน”
ปาฏิหารย์แห่งการได้ยินเสียงภายใน


เพื่อนหลายคนทุกข์ใจ แต่กลับบอกว่า “ฉันโอเคนะ” แล้วความทุกข์ที่ซ่อนไว้ข้างในก็จางหายไป เมื่อได้ออกไปดื่มสุรา เที่ยวบาร์ ร้องเพลงคาราโอเกะ ตีกอล์ฟ ไปชอบปิ้ง ซื้อเสื้อผ้า วุ่นอยู่กับงานบ้าน การเลี้ยงลูก สามี ละครทีวี แมกกาซีนอุปกรณ์ไฮเทค รถยนต์ หรือนำพาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางเพื่อนหญิง เพื่อนชาย หรือคนแปลกหน้าเพื่อให้คลายเหงาไปวันๆ หากแต่รู้สึกเดียวดายในฝูงชน สิ่งต่างๆหรือผู้คนเหล่านี้นะหรือที่ทำให้ความทุกข์จางหายไป จริงหรือที่บอกว่า “ฉันโอเค” หรือ “ฉันแฮปปี้” จริงๆ แล้วมันเป็นอย่างไรกันแน่นะ

หรือว่ามันเป็น สัญญาณจากฟากฟ้าที่มาเป็นลางบอกเหตุบางเรื่อง บอกว่าชีวิตคุณมีความหมายนะลองเปิดประตูออกไปหาผู้คนที่คุณรัก รักคุณและรอคอยคุณอยู่ เมื่อมีคำถามเกิดขึ้นในชีวิต คุณลองตอบคำถาม หรือตอบอย่างเกเร อย่างตามหัวใจของคุณเอง ฟังเสียงและเชื่อในเสียงหัวใจที่คุณได้ยิน ลองทำตามใจคุณเอง มันง่ายๆ ตรงไปตรงมา คุณลองทำดูนะ แล้วบางทีคุณจะพบคำตอบมากมาย ให้กับคำถามในชีวิต ที่ถาถม ที่วุ่นวายรบกวนหัวใจ คำถามที่ทำให้กินได้แต่นอนไม่หลับ คุณลองเผชิญหน้าคำถามเหล่านั้น ด้วยคำตอบจากหัวใจของคุณนะ แล้วคุณจะอบอุ่นหัวใจ ไม่โดดเดี่ยวเดียวดาย แล้วค่อยบอกตัวเองอย่างยอมรับว่า ฉันโอเค ฉันแฮปปี้ จริงๆนะ

คนเรามักมีกรอบความคิดตัดสินตัวเอง เมื่อไรก็ตามที่เรารับรู้อารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง เราก็จะพยายามหาคำอธิบาย หาคำตอบให้ตัวเองอย่างรวดเร็ว แต่เราเคยคิดที่จะเข้าข้างตัวเองบ้างไหมนะ เข้าไปฟังเสียงของหัวใจข้างในตัวเราจริงๆ ที่ต้องการบอกเราบางอย่าง ซึ่งอาจไม่ใช่ออกมาในทางคำพูดหรือความคิด แต่เป็นความรู้สึก อาจเรียกได้ว่าเป็น หทัยปัญญา

สังคมมักสอนให้เราคาดหวังกับตัวเองว่าต้องเป็นคนดี ต้องยอมเสียสละ ต้องไม่เหน็ดเหนื่อย หรือถ้าเหน็ดเหนื่อยก็จงเก็บมันไว้ในใจ ไม่จำเป็นต้องไปบอกกล่าวอะไรกับใคร ต้องอดทนกับความเหนื่อยยากของชีวิตแต่ละวัน หากเราเอ่ยอะไรออกไป เราก็แสดงออกความเป็นคนไม่สู้ชีวิต ทั้งๆที่ในทำนองกลับกัน การบอกกล่าวสื่อสารให้คนใกล้ชิดหรือเพื่อนร่วมงานได้รับรู้ถึงความเป็นไปในชีวิตเรานั้นอาจเป็นของขวัญล้ำค่าก็ได้ เช่น เวลาเรามีอารมณ์เหงา เศร้า หรือเหว่ว้า ก็ให้รับรู้ความรู้สึกตรงๆตามนั้น ไม่ต้องไปพยายามด่วนวิเคราะห์ หรือไปด่วนตัดสิน ไปต่อว่าตัวเอง เพราะเป็นการยอมรับเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงของชีวิตอย่างตรงไปตรงมา เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้คนได้เข้ามาดูแลเรา เห็นความทุกข์ใจหรือร่วมรับรู้ทุกข์ไปกับเรา เป็นการเปิดโอกาสให้กับมิตรภาพที่จริงแท้งอกงาม

ลึกๆแล้วคนเรากลัวว่าตัวเองจะกลายเป็น “คนมีปัญหา” มากกว่า “คนมีปัญญา” เราพยายามหลีกเลี่ยงอาการของ “คนมีปัญหา” ด้วยการหลบหลีกที่จะยอมรับความรู้สึกด้านลบ เพราะเกรงจะถูกประนามว่าเป็น “ปัญหา” เช่น ความรู้สึกไม่พอใจ เสียใจ โกรธ เหนื่อย ท้อ เบื่อหน่าย หงุดหงิด น้อยใจ และอีกหมื่นพันความรู้สึก บางคนบอกว่าวัฒนธรรมไทยไม่ชอบสื่อสารอารมณ์เหล่านี้ออกมาอย่างเปิดเผย มักจะใช้วิธีหาทางออกแบบอื่นที่ปลอดภัยมากกว่าการเผชิญหน้าและสื่อสารตรง เช่น การบอกเล่าให้คนอื่นที่ไม่ใช่คู่กรณีได้รับรู้ พออารมณ์ดีขึ้นก็กลับไปร่วมงานกับคู่กรณีต่อ โดยทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่างเรากับคู่กรณีของเรา โดยเราลืมนึกไปว่า หากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ได้รับการแก้ไข หรือว่าเพื่อนร่วมงานเราไม่ได้รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นจริงๆ เราก็มักพบเจอเหตุการณ์เดิมๆ เหมือนขับรถวนกลับมาที่เดิมอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า

สังเกตว่า “คนมีปัญญา” ยิ่งเรียนสูง รู้มาก ก็ยิ่งใช้ความคิดได้อย่างรวดเร็ว มีเหตุมีผล มีหลักการ มีทักษะ มีปัญญาเป็นอาวุธ ที่ช่วยทำให้สามารถวิเคราะห์เหตุผลต่างๆได้ แต่แล้วอาวุธเหล่านี้กลับกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นการเข้าถึง “เหตุและผลเชิงประสบการณ์” ที่ไม่ใช่ “เหตุผล” ที่เป็นเพียงความคิด

ผมคิดว่าเวลาเราพูดถึงพฤติกรรมแห่งการบริโภคในระดับต่างๆ รวมทั้งระดับของการเสพติดต่างๆในสังคมบริโภคนั้นมีเหตุมาจากความไม่สามารถรับรู้และยอมรับภาวะอารมณ์ทุกข์ในตัวเอง ที่อยู่ในรูปแบบต่างๆได้อย่างตรงไปตรงมา และอย่างอ่อนโยน ทำให้ต้องค้นหาทางออกหรือทางหนีออกจากอารมณ์เหล่านี้ตามสติปัญญาหรือกำลังที่มี โดยอาศัยเครื่องมือเปลี่ยนอารมณ์ที่มีมากมาย หลายอย่าง หลายสถานที่ เช่น โรงภาพยนต์ ดีวีดี ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เนท ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านเหล้าบาร์ คาราโอเกะ แมกกาซีน หนังสือ และอื่นๆ ในความเห็นของฉัน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มีความเป็นลบในตัวเอง แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราจะสัมพันธ์กับสิ่งเหล่านี้อย่างไร ที่จะทำให้เรายังรู้สึกถึงคุณค่าแห่งการมีชีวิตอยู่ รู้สึกได้ถึงพลังของชีวิตที่จะไม่ถูกบั่นทอนไปง่ายๆจากกิจกรรมชีวิตในสังคม

นักนิเวศแนวลึกชาวพุทธคนหนึ่ง คือโจแอนนา เมซี่ บอกว่าความรุนแรงเกิดขึ้นเมื่อเราไม่สามารถยอมรับภาวะสิ้นหวัง ความแตกสลายและความเป็นอนิจจังแห่งการดำรงอยู่ได้ เวลาเราหนีหรือเบือนหน้าหนี ก็ไม่ได้หมายความว่าภาวะเหล่านี้จะหายไป แต่อาจกลับทำให้เรากลายเป็นคนที่เฉยชา จนอาจถึงขั้นเย็นชากับความรู้สึกของตัวเอง และคนรอบข้าง และมักมีคำพูดบอกตัวเองและคนรอบข้างว่า “ช่างมันเถอะ” หรือ “ชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ ยอมรับมันเถอะ” เรียกว่ากลบอารมณ์ด้วยการคิดแบบยอมรับสภาพ ยอมๆ มัน “คิดมากไปก็เท่านั้น”
การกลบเกลื่อนร่องรอยของอารมณ์ลบ ภาวะไร้พลัง เบื่อหน่าย ท้อแท้นั้นอาจรู้สึกอยู่ได้สักชั่วเวลาหนึ่ง แล้วความรู้สึกเหล่านี้ก็หาหนทางของมันเองที่จะวนกลับเข้ามาอีก จนความเบื่อหน่ายเติบโตเป็นความ “โคตรเบื่อ” คือความเบื่อทั้งตระกูลรวมใจ พากันมาทักทายเรา

แต่ในทางตรงกันข้าม หากเราสามารถน้อมรับภาวะอารมณ์เหล่านี้ได้ พลังลบๆก็จะกลายร่างเปลี่ยนสภาพเป็นพลังที่ค่อยๆอ่อนโยนลง เป็นพลังที่ไม่ระรานตัวเองหรือคนรอบข้าง แล้วเราก็ค่อยๆนำพาตัวเองเดินเข้าสู่พื้นที่แห่งความผ่อนคลาย วางใจและตื่นรู้ เป็นหทัยปัญญาแห่งการยอมรับทุกข์ ซึ่งในที่นี้ไม่ใช่การยอมแพ้ หรือศิโรราบให้กับความสิ้นหวัง หากเป็นการรับรู้ถึงพลังชีวิตและศักยภาพอันยิ่งใหญ่ใน ในอันที่จะ “เลือก” ทางเดินชีวิตและสรรสร้างสิ่งต่างๆดังใจประสงค์ได้ เป็นการเอื้อให้พลังชีวิตด้านบวกผลักดันนำพาเราให้ก้าวเดินต่อไป โดยที่ ทุกๆจุดที่คุณยืนอยู่คือโอกาสแห่งการเริ่มต้นใหม่
ขอให้คุณเดินทางโดยสวัสดิภาพ และขอให้โชคดี!

ถั่วอบมะลิหอม
Email: nutt2000@loxinfo.co.th

ความเป็นกลางคือการเข้าข้างทุกฝ่าย

ความเป็นกลางคือการเข้าข้างทุกฝ่าย
สานสันติด้วยการน้อมรับความจริงของทุกฝ่าย

“There is no single truth. Let’s value, honor and validate all interpretations and stories.”

เวลาเรารับฟังเรื่องราวต่างๆในสถานการณ์แห่งความขัดแย้ง เราจะฟังอย่างไรให้ได้ยินความจริงทั้งหมด สิ่งที่เราเรียกว่า ความจริง มีไหม?

ยิ่งรับฟังก็ยิ่งรับรู้ว่าเรื่องราวมันมีความเหมือน และความแตกต่างกัน การให้ความหมายหรือการตีความของแต่ละคนช่างมีความแตกต่างกันอย่างมาก เราน้อมรับความจริงของแต่ละคนอย่างให้เกียรติและเคารพ โดยที่ไม่ต้องไปพยายามพิสูจน์ว่ามันจริงแท้ หรือจริงเท็จแค่ไหน ผมต้องย้ำเตือนตัวเองเสมอว่าเรื่องราวของแต่ละคนนั้นคือความจริง และเป็นส่วนหนึ่งของความจริงอันยิ่งใหญ่ ส่วนเรื่องที่ผมจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยนั้นไม่สำคัญ เพราะเป็นเพียงความคิดเห็นของผมเอง แต่ที่สำคัญมากๆคือ ผมสามารถเห็นอย่างที่เขาเห็นหรือเปล่า

ความเป็นกลางคือต้องเข้าข้างทุกฝ่าย สัมผัสรับรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของทุกฝ่าย คำว่า “เข้าข้าง” ในที่นี้หมายถึง เข้าไปในใจ เพื่อรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ โดยที่ยังไม่ต้องไปค้นหาคนผิด หรือไม่ด่วนสรุปว่า “ใครทำ” หรืออะไรเป็นสาเหตุ ยิ่งถ้าเราพยายามวิเคราะห์หาคนผิด หรือหาสิ่งที่ทำให้เกิดเรื่อง การรับฟังรับรู้ของเรามักอ่ผมคงไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกของผู้คนได้หากพยายามทำตัว “เป็นกลาง” เพราะผมต้องเป็น ทั้งหมด เป็นทุกอย่าง ดังนั้นความเป็นกลางที่ต้องการคือความเป็นทุกฝ่ายนั่นเอง แต่เวลาสิ่งที่เราได้รับรู้มันขัดแย้งแตกต่างกัน มันก็รู้สึกปั่นป่วน งงงัน มึนตึ้บ ได้เหมือนกัน เพราะเวลาจิ๊กซอ มันไม่สามารถต่อกันได้อย่างลงตัว เราก็อาจรู้สึกกระวนกระวายได้เป็นธรรมดา ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพยายามต่อแต่ละชิ้นให้เข้ากันได้หรอกมั้ง แต่เก็บทุกชิ้นไว้ในใจก็พอ เพราะมีค่าและมีความหมายในตัวเองทั้งสิ้น บางครั้งจับต้นชนปลายไม่ถูกก็รู้สึกว่าโง่ได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นเป็นไร ในเมื่อความโง่นี้หมายถึงความฉลาดของหัวใจที่เลือกที่จะไปพ้นความคิดเหตุผลอันจำกัดและแยกส่วน อาจเรียกได้ว่าเป็น หทัยปัญญา คือปัญญาแห่งการเปิดรับอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ต้องแยกแยะ แบ่งแยก ตีตรา วิเคราะห์วิตกจารณ์ เลือกเฟ้นกลั่นกรอง รับเข้ามาไว้ทั้งหมด เหมือนเป็นประตูกว้างๆ เข้าได้ทีละหลายๆคน จะเกี่ยวข้องกับแนวคิดของมหายานอย่างไรนั้นผมไม่แน่ใจนัก

เวลารับฟังไปก็ศรัทธาไปด้วยว่า คำตอบหรือทางออกจะค่อยๆเผยออก นี่ทำให้นึกถึงแนวคิดของมาร์กาเร็ต วีทลี่ เกี่ยวกับการจัดการความรู้ที่ว่า ในระบบชีวิต ทุกคำถามหรือทุกปัญหาจะมีคำตอบหรือทางออกอยู่แล้วในตัวเอง หากส่วนย่อยต่างๆได้เชื่อมถึงกันอย่างแท้จริง (Every living system is self-contained, just connect it!) คำตอบไม่ได้อยู่ข้างนอกตัวเรา หรือนอกชุมชน หรือนอกองค์กร มันมีอยู่ในตัวเอง คล้ายกับกิจกรรม “ปมมนุษย์” ที่เรามักใช้ในงานกระบวนกร ปมก็คือความคลี่คลายที่อีกรูปแบบหนึ่งนั่นเอง เพียงแต่รอคอยการเคลื่อนไหวไปถึงจุดที่คลี่คลาย และอาศัยทุกคนในการช่วยกันและกัน ปมไม่ได้เป็นของใคร เราทุกคนต่างร่วมกันสร้างมันขึ้นมา ไม่มีผู้ร้าย หรือผู้ที่อยู่เบื้องหลัง หรือไม่มีเหตุเดียว (no single cause)

บางครั้งผมไม่ค่อยเข้าใจว่า ทำไมเราชอบเรื่องราวที่มีพระเอกหรือมีผู้ร้ายกันนัก อย่างเรื่องราวที่เกิดในชุมชนเราก็เหมือนกัน ยิ่งฟังไปผมก็เห็นว่าคนหนึ่งอาจรู้สึกว่าถูกกระทำหรือเป็นเหยื่ออยู่ และสามารถคิดไปได้ว่ามีผู้กระทำ ที่ทำให้เกิดความเป็น “เหยื่อ” แต่พอไปรับรู้อีกด้านหนึ่งเขาก็รู้สึกไม่ต่างกัน คือรู้สึกว่าถูกกระทำเช่นกัน เอาเป็นว่าทุกคนก็ทุกข์ไปตามๆกัน แล้วผู้ร้ายอยู่ไหนล่ะ ถ้ามีจริงๆผมขอจับเข้าตะรางเลยเป็นไง โทษฐานทำให้ทุกคนในชุมชนเป็นทุกข์ เปรียบได้กับว่าทุกคนเปียกปอนกันถ้วนหน้า โดยที่น้ำนั้นมาจากไหนก็ไม่รู้ อาจมาจากเราเองที่เทไว้ก็เป็นได้ เพียงแต่เรามักไปสืบหาว่าใครนะ ที่มาเทน้ำราดเรา

ผมเรียนรู้ว่าเรามักมองเรื่องราวต่างๆอย่างเป็นอัตตาตัวตน ด้วยสายตาแห่งอัตตาของเราเองนี่แหล่ะ เช่น มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องมีใครสักคนอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ หรือแบ่งกลุ่มคนต่างๆออกเป็นก๊ก ก๊วน ที่มี “ประสงค์” หรือ “แผนการ” บางอย่างที่เป็นเหตุให้เกิดปัญหา เรามองสิ่งต่างๆอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ มีรูปมีร่าง เป็นผีหลอกกลางวันขึ้นมาได้เพราะอะไรเล่า ตราบใดที่เรายังมองตัวเองว่าเป็นตัวเป็นตน เราก็มักมองโลกแบบนั้นกระมัง เป็นสิ่งที่พวกเราเรียกกันว่า ตุ๊กตารัสเซีย คือตุ๊กตาตัวในเป็นอย่างไรตัวนอกก็เป็นแบบนั้น มันเป็นแบบจำลองความจริงภายใน หรือที่ท่านนัท ฮันต์เรียกว่า มนัส คือแบบแผนซ้ำๆของการรับรู้โลกอย่างคับแคบ ที่กั้นขวางไม่ให้เราสามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้ตามที่เป็นจริงๆ

ยิ่งในสภาวะที่ชุมชนตกร่องอารมณ์ แต่คิดว่าคราวนี้น่าจะเป็น “เหวอารมณ์” เสียมากกว่า การจะหาคนผิด หรือหาว่าใครเริ่มก่อน มันก็คล้ายๆกับว่า ไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อน มันก็จะยิ่งหาไม่เจอ และจะยิ่งทำให้ทุกข์ไปกันใหญ่ เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่มีแผนการหรือประสงค์ของใครทั้งสิ้น มีแต่ความเป็นเช่นนั้นเอง รวมทั้งความเผลอไผล ผิดพลาดของเด็กฝึกหัดทั้งหลาย เพราะไม่มีใครที่อ้างว่าตัวเองบรรลุแล้ว (หรือถ้ามีก็ช่วยบอกผมด้วยนะครับ)

เลยเตือนตัวเองว่าต้องเลิกหาแล้วกลับมารับรู้ความรู้สึก หรือความทุกข์ที่เกิดขึ้น และให้เกิดการบอกเล่าอย่างซื่อตรงเสียดีกว่า ดังที่ผมได้คุยกับหลายๆคนว่า ช่วงนี้เป็นช่วงแห่งการเผยปรากฎ สิ่งที่ร้องขอจากตัวเองและทุกคนคือความซื่อตรงและความอ่อนโยน เป็นสมดุลระหว่างศาสตร์และศิลป์ ปัญญาและเมตตา เหมือนหลักการแห่งอุเบกขาคือมุ่งมั่นในการร่วมทุกข์ เหมือนหลักการในไท่ฉี คือหลังแข็งตรง มั่นคงไม่ง่อนแง่นคลอนแคลน แต่ข้างหน้าอ่อนโยน ยืดหยุ่นและผ่อนคลาย หยินหยาง ฟ้ากับดิน

เมื่อเราแต่ละคนสามารถซื่อตรงต่อความจริงของตัวเองได้ และเปิดเผยออกมาอย่างอ่อนโยน ไม่ประทุษร้าย หนทางออกย่อมปรากฎ ผมรู้สึกว่านี่เป็นคุณธรรมข้อสำคัญ ที่จะทำให้ชุมชนหรือองค์กรดำรงอยู่ได้ และหล่อเลี้ยงให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างถึงรากถึงโคน เปิดเผย เปลือยเปล่า เปราะบาง สง่างาม และผมก็เชื่อว่าหลายๆคนได้พยายามปฏิบัติคุณธรรมข้อนี้มาอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าจะทำให้ความจริงของเราแต่ละคนได้เผยปรากฎได้มากหรือน้อยนั้นก็ตามแต่เหตุปัจจัย เพราะบางเรื่องราวก็ยังรู้สึกเจ็บปวดเสียจนปริปากบอกกล่าวออกมาได้ยากยิ่งนัก จนกว่าเวลาจะผ่านล่วงไป แผลเริ่มหายเจ็บ หรือเจ็บน้อยลงก็อาจเริ่มบอกเล่าออกมาได้


ณัฐฬส วังวิญญู
Nutt2000@loxinfo.co.th
๑๓ ต.ค. ๒๕๔๙