Thursday, February 27

การเดินทางสู่โลกภายใน



หากเรามองว่าชีวิตคือการเดินทางที่ทำให้เราได้พบเจอสิ่งต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทั้งที่เราชอบและไม่ชอบ ทั้งที่อยู่ในแผนและไม่ได้อยู่ในแผน ทั้งที่ได้ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ แม้เราจะอยู่กับที่ไม่ไปไหนก็ตาม ชีวิตก็ยังเคลื่อนมาหาเรา เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ หากเราจะลองคิดอย่างนั้นดู มันมีความหมายอะไรบางอย่างให้เราได้ค้นหาและเรียนรู้  

การเดินทางแต่ละครั้งจะมีความหมายต่อเราอย่างไรขึ้นอยู่กับว่าเรารับมันเข้ามาอย่างไร ในขณะที่เราเดิน ทางออกไปสู่โลกภายนอก มันก็เกิดการเดินทางภายในที่เต็มไปด้วยอารมณ์ และความรู้สึกนึกคิดต่างๆ เราจะเดินทางอย่างไรให้ได้พบกับสิ่งที่ล้ำค่าแก่ชีวิต นั่นคือจะได้ทั้งปัญญาและความรัก รวมถึงการเยียวยา กลับมาเติมเต็มให้ชีวิตเติบโตและงอกงาม 

ผมตั้งคำถามกับตัวเองมาตั้งแต่เด็กๆว่าชีวิตเรา เกิดมาเพื่ออะไร คำถามนี้มันอยู่ในใจเรื่อยๆ ไม่มีใครตอบให้ผมมั่น ใจได้สักคนว่าเราเกิดมาทำไม จนผมต้องออกเดินทางเพื่อหาคำตอบเองผ่านการบวช การเดินทางไกล การปฏิบัติใน รูปแบบต่างๆ หรือแม้แต่การทำงานและการมีครอบครัว แต่ละช่วงของชีวิตช่วยก่อประกอบ จิ๊กซอชีวิตให้เป็นภาพ ความเข้าใจที่ละเอียดประณีตมากขึ้นเรื่อยๆ  ผมคงไม่หวังให้ภาพความเข้าใจสมบูรณ์ เมื่อการเดินทางและ ค้นพบ ชิ้นส่วนชีวิตแต่ละส่วนนำมาซึ่งความพึงพอใจ การเดินทางของผมก็มีความรื่นรมย์อยู่ในตัว โดยไม่ต้องรอ คอยผลลัพธ์อันสมบูรณ์ที่ดูจะเป็นเป้าหมายสุดท้ายของการเดินทาง ที่จะทำให้ผมได้ความเข้าใจว่าชีวิต คืออะไรแล้วเราจะดำรงอยู่เพื่ออะไร 

ผมอยากจะแบ่งปันเรื่องเล่าที่มีอิทธพลกับผมมากเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องเล่าที่โบราณเก่าแก่ที่สะท้อนการแสวงหา ของมนุษย์เพื่อให้ได้มาซึ่งปัญญาญาณที่จะเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์และเปี่ยมพลังของความสุขและความเข้าใจ ด้วยหวังว่าในยุคที่เรามั่งคั่งไปด้วยทรัพย์สินเงินทอง ทางเลือกและเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกทางกาย เราจะยังไม่หลงลืมการเดินทางด้านในที่เป็นเรื่องทางใจอันอยู่นอกเหนือเขตแดนของวัตถุสิ่งของ ซึ่งเป็นการเดินทาง ที่รอคอยเราอยู่ เมื่อถึงวาระเราก็จะได้ยินเสียงเรียกร้องจากภายในตัวเราเอง อาจเป็นเสียงของความเบื่อหน่าย ความท้อแท้ไร้ แรงบันดาลใจ อิดหนำรำคาญกับชีวิตที่วนเวียนแต่เรื่องเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า วังวนชีวิตที่หาทาง ออกไม่พบ เรื่องก็มีอยู่ว่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเจ้าหนูตัวหนึ่ง มันยุ่งอยู่กับการเสาะหาอาหารทุกที่ อาศัยหนวดและ จมูกที่ไวไว ดมนั่นดมนี่ไปทั่ว ตามพุ่มหญ้าและซอกดิน ไม่ต่างจากหนูทั่วไปนั่นแหล่ะ ที่มีชีวิตง่วนอยู่กับ กิจธุระแบบหนูๆ แต่แล้วมันเริ่มได้ยินเสียงแปลกๆ.. มันจะเชิดหัวขึ้นสูงแล้วเพ่งมองไปรอบๆ แถมยังขยับหนวด ขยุกขยิกเพื่อหาว่าเสียงนี้มาจากไหนนะ แล้วมาวันหนึ่งมันทนไม่ได้เลย กระโดดเข้าไปถามเพื่อนหนูที่อยุ่ใกล้ๆว่า "นี่ๆ นายได้ยินเสียงอะไรในหูบ้างไหม พี่ชายที่รัก”   
ไม่ได้ยินอะไรเลย" หนูอีกตัวตอบไปพร้อมกับยังคงง่วนอยู่กับการเอาจมูกคุ้ยหาเศษอาหารตามพื้นดิน "ฉันไม่เห็นจะได้ยินอะไรเลย ตอนนี้กำลังยุ่งอยู่พอดี ไว้ค่อยคุยกันใหม่นะ" เจ้าหนูน้อยก็ถามหนูอีกตัวด้วย คำถามเดียวกัน และได้รับคำตอบว่า "เธอบ้าไปแล้วเหรอ เสียงอะไรกันเล่า?" แล้วก็หายเข้าไปในรูของต้นฝ้าย ที่ล้มนอนอยู่เจ้าหนูน้อยของเราเลยขยับหนวดเล็กน้อยแล้วกลับไปทำตัวให้ยุ่งต่อและพยายามลืมเรื่องพรรณนี้เสีย แต่แล้วมันก็ได้ยินเสียงก้องคำรามนั้นอีก 
คราวนี้มันเบามากๆ แต่ก็ยังพอได้ยินได้มาวันหนึ่ง มันตัดสินใจสืบหาที่มาของเสียงนี้อีกครั้งหนึ่ง โดยผละตัวออกมาจากพวกหนูตัวอื่นๆที่ยุ่งกับการหาอาหารอยู่ แล้วมันก็ได้ยินเสียงนี้อีก ทีนี้มันพยายามให้ ถนัดถนี่หน่อย จนได้ยินเสียงทักของใครสักคน "หวัดดี""หวัดดีน้องชาย" เสียงนั้นดังขึ้นมาอีก จนเจ้าหนูน้อย ตกใจแทบกระโจนหนี ขนหัวลุก งอหลังและหางของมันเพื่อเตรียมวิ่งหนี     “หวัดดี ฉันคือพี่แรคคูนไงล่ะแรคคูนโผล่มาจริงๆนั่นแหล่ะ    เจ้ามาทำอะไรทำอะไรแถวนี้ล่ะ เจ้าน้องชาย?” แรคคูนถาม

เจ้าหนูน้อยหน้าแดงเล็กน้อยแล้วก้มหัวลงพื้นจนจมูกแทบติดดิน  คือฉันได้ยินเสียงก้องกังวานในหูก็เลยมาหาดูว่ามาจากไหนน่ะหนูตอบอย่างไม่แน่ใจนัก เสียงแว่วในหูเหรอ?” แรคคูนถามในขณะที่นั่งลงใกล้ๆ เจ้าน้องชาย เสียงที่เจ้าได้ยินน่ะคือเสียงของแม่นำ้นั่นเอง”  


แม่น้ำเหรอ แม่น้ำอะไรเหรอ?” เจ้าหนูถามด้วยความสงสัย 
เดินตามฉันมาสิ เดี๋ยวจะพาไปดูแม่น้ำแรคคูนกล่าว  

เจ้าหนูน้อยรู้สึกหวั่นๆแต่ก็อยากจะรู้ให้ได้ว่าเสียงแว่วนั้นมันคืออะไรกัน แล้วฉันก็จะได้กลับไปทำงานซะทีมันคิดใจใจ 
แล้วถ้าได้รู้ล่ะก็ มันอาจจะช่วยฉันทำมาหากินและสะสมอาหารก็เป็นได้ พวกพี่ๆหนูทั้งหลายที่บอกว่าไม่มีอะไรจะได้เห็นกันซะที ฉันจะพิสูจน์ให้พวกเขาได้เห็นสิ่งที่ฉันได้ยิน ฉันจะขอให้แรคคูนกลับไปหมู่บ้านกับฉันแล้วยืนยันว่าฉันมีหลักฐานเป็นเรื่องเป็นราวมันคิดในใจ

ได้เลย พี่แรคคูน ช่วยพาฉันไปที่แม่น้ำหน่อยสิ ฉันจะเดินตามพี่ไปนะเจ้าหนูว่าอย่างนั้น ในขณะที่เจ้าหนูน้อยเดินตามหลักแรคคูนไป หัวใจเล็กๆของมันเต้นรัวในอกน้อยๆของมัน แรคคูนพาเดินลัดเลาะไปตามทางที่มันไม่เคยไปมาก่อนเลย เจ้าหนูน้อยสูดดมกลิ่นแปลกๆใหม่ๆ ที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อนตามทางที่ผ่าน บางช่วงมันรู้สึกกลัวจนแทบอยากหันหลังกลับ

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงแม่น้ำ มันกว้างใหญ่มหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อ บางช่วงก็ลึกและใส บางช่วงก็ดูทะมึนๆ มันกว้างใหญ่มากจนเจ้าหนูน้อยมองไม่เห็นอีกฝั่งของแม่น้ำเลย  แม่น้ำส่งเสียงกรรโชกไหล ร้องร่ำ ฮัมเพลงแห่งธารา สาดโถมโหมกระหน่ำ เจ้าหนูน้อยสังเกตเห็นของที่ลอยไปตามน้ำมีทั้งชิ้นเล็กและชิ้นใหญ่ 

โอ้โห มันใหญ่มากเลยนะเนี่ยเจ้าหนูน้อยอุทานออกมาอย่างไม่รู้จะหาคำพูดอะไรแทนได้
ใช่ มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก  แต่เดี๋ยวนะ ฉันอยากแนะนำให้เจ้ารู้จักเพื่อนคนหนึ่งนะแรคคูณตอบ
ในที่ๆน้ำตื้นและเรียบสงบมีใบบัวสีเขียวลอยอยู่ บนใบบัวมีกบตัวหนึ่งสีเขียวเหมือนกับใบบัวที่มันนั่งอยู่ ท้องกบเป็นสีขาวเด่นชัด    “หวัดดีน้องชายกบทัก ยินดีต้องรับสู่แม่น้ำ



ฉันต้องไปแล้วล่ะแรคคูนขัดจังหวะ แต่ไม่ต้องกลัวหรอกนะน้องชาย กบเขาจะดูแลเธอต่อเองว่าแล้วเจ้าแรคคูนก็เดินจากไป มันเดินไปตามตลิ่งริมน้ำเพื่อหาอาหารกิน เจ้าหนูน้อยค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆแม่น้ำแล้วชะโงกมองไปที่น้ำแล้วเห็นเงาสะท้อนของหนูที่ดูกลัวๆอยู่บนน้ำ

เจ้าคือใครน่ะ?” หนูน้อยถาม เจ้าไม่กลัวที่ต้องออกมาอยู่แถวแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่และไกลจากบ้านขนาดนี้หรือไง?” 

ไม่กบตอบ ฉันไม่กลัวหรอก ฉันได้รับของขวัญมาตั้งแต่ตอนเกิดให้สามารถอยู่ทั้งเหนือน้ำและในน้ำได้ ในยามที่เหมันตบุรุษมาเยือนและแช่แข็งษมาเยือนและแช่แข็งพลังวิเศษนี้ ก็จะไม่มีใครมองเห็นฉัน  แล้วอีกไม่นานเมื่อนกสายฟ้าบินมาเยือน ฉันก็กลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง ถ้าอยากจะมาเยี่ยมเยี่ยนฉันล่ะก็ เธอต้องมายามที่ฤดูกาลเป็นสีเขียวนะ น้องชายที่รักฉันคือผู้ปกปักษ์น้ำ

น่าทึ่งจังเจ้าหนูน้อยพูดออกมาอย่างแทบจะพูดไม่ถูก    เธออยากได้รับพลังวิเศษบ้างไหม?” กบถาม
พลังวิเศษเหรอ? ฉันน่ะเหรอ?” เจ้าหนูน้อยถาม อยากได้สิ ถ้าเป็นไปได้นะ” 

ถ้าอย่างนั้นหมอบลงให้ต่ำเท่าที่จะต่ำได้ แล้วกระโดดให้สูงที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้ แล้วเธอจะได้พลังวิเศษเองกบบอก หนูน้อยทำตามที่กบบอก มันหมอบตัวลงต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วกระโดด ตอนนั้นตาของมันก็มองเห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์  หนูน้อยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองเห็นเลย แต่มันก็ได้เห็นแล้ว แต่แล้วมันก็ตกลงมาบนพื้นและหล่นลงไปในน้ำ!   เจ้าหนูน้อยตกใจตื่นกลัวตะเกียกตะกายกลับเข้าฝั่ง ตัวมันเปียกปอนไปหมดและสั่นราวกับจะตาย

เธอหลอกฉันหนูน้อยตะโกนว่ากบ  เดี๋ยวก่อนกบบอก เธอไม่ได้บาดเจ็บอะไรเลยนี่ อย่าปล่อยให้ความกลัวและความโกรธบดบังตาเธอเองเลย เมื่อกี้เธอเห็นอะไรล่ะ?” 

ฉะ..ฉันหนูพูดอย่างตะกุกตะกัก “..เห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์”    “และเธอก็ได้ชื่อใหม่แล้วกบบอก นั่นคือชื่อ หนูกระโดด

(จบตอนแรก)



Wednesday, February 26

เส้นทางเดินของผู้กล้า



ในการแสวงหาเส้นทางเดินแห่งจิตวิญญาณ เราแต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตัวเอง แม้ว่าศาสนาหรือผู้รู้จะได้แสดงให้เห็นว่าเส้นทางที่มีศาสดาทั้งหลายเดินมาก่อนหน้าเป็นอย่างไร และแม้เราจะยอมเดินตามด้วยความเคารพและจริงใจเพียงใด ภารกิจของเราเองคือการแสวงหา ด้วยตัวเราเอง เพื่อที่จะได้รู้อย่างประจักษ์แจ้งด้วยตัวเอง และนั่นอาจหมายถึงการลองเป็นตัว ของตัวเองที่เสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาและตัดสินโดยผู้คนในสังคม  จึงจำต้องอาศัยความกล้าหาญ และกำลังใจอย่างยิ่ง  และเมื่อเราค้นพบศักยภาพของที่เป็นดังขุมทรัพย์ภายในตัวเองได้ เราจะตอบแทนสังคมได้อย่างสมภาคภูมิ 

ผมขอยกงานเขียนของโจเซฟ แคมเบล นักตำนานวิทยาผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับการ แสวงหาทาง จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย จากหนังสือ A Joseph Cambell Companion: Reflection of the Art of Living ที่เหมือนกับกลั่นกรองและสะกัดมาจากความเข้าใจในการแสวงหาของมนุษย์ที่เขา สั่งสมมาหลายสิบปี

อภิสิทธิ์อันสูงสุดของการมีชีวิตที่เราได้รับ อยู่คือการได้เป็นสิ่งที่เราเป็นไม่ว่าคุณจะทำอะไร ก็ตาม จงทำมันราวกับเล่นชีวิตนั้นหามีความหมายใดๆ คุณนำความหมายมาใส่ให้ชีวิต ดังนั้นความหมาย ของชีวิตก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ความหมายมันอย่างไร ความหมายของชีวิตก็คือการมีชีวิตอยู่
แนวทางของนักรบคือการกล่าวว่า ใช่กับชีวิต และ ใช่กับสิ่งทั้งมวล มีส่วนร่วมอย่างรื่นรมย์กับ ความโศรกเศร้าของโลก เราไม่สามารถเยียวยารักษาโลกแห่งความโศรกเศร้าแต่เราเลือกที่จะ มีชีวิตกับมันอย่างรื่นรมย์ได้เวลาเราพูดว่าจะจัดการคลี่คลายปัญหาของโลก เรากำลังเห่าหอน ต้นไม้ผิดต้น   โลกนี้สมบูรณ์ มันเต็มไปด้วยปฏิกูล และมันก็เป็นเช่นนี้เรื่อยมา   
เราจะไม่เปลี่ยนมัน   หน้าที่ของเราคือการทำชีวิตของเราให้ดี เราต้องพร้อมที่จะสลัดแผนการของชีวิต ทิ้งไปเสีย เพื่อที่จะมี ชีวิตที่รอคอยเราอยู่ ผิวหนังแผ่นเดิมจำต้องหลุดลอก ออกไปก่อนที่ผิวหนัง ชุดใหม่จะเกิดขึ้น     หากเราพยายามแก้ไขแต่สิ่งเดิมๆ เราจะติดแหงก  เวลาเรายึดอยู่กับรูปแบบใดๆก็ตาม เรากำลังจะเสี่ยงต่อการผุพังลง   นรกก็คือชีวิตที่แห้งผาก  นักกักตุนในตัวเราช่างยึดติด และจำต้องถูกปลิดชีพลง เพราะหากเรายึกกุมอยู่กับรูปแบบที่เป็นอยู่ 
เราก็จะไม่มีรูปแบบอะไรใหม่ๆในชีวิต  คุณจะเจียวไข่โดยไม่ตอกไข่ให้แตกไม่ได้หรอก  ทำลายแล้วค่อยสร้างใหม่
เราสร้างอะไรไม่ได้เลยจากสิ่งที่สมบูรณ์แล้ว   ในทุกๆกระบวนการจะมีการแตกสลายของบางสิ่งเสมอ โลกจำต้องพังลงเพื่อนำชีวิตใหม่ให้ก่อเกิด     หากเมล็ดพันธุ์ไม่ยอมตายลง ก็จะไม่มีต้นไม้                         ขนมปังเป็นผลมาจากความตายของธัญพืช                                              ชีวิตดำรงอยู่บนชีวิตทั้งหลาย   ชีวิตของเราอยู่ได้ด้วยการกระทำของผู้อื่น หากคุณอยากทำให้ชีวิตน่าอยู่ คุณจำต้องรับมันให้ได้
จริงๆแล้วเรามีชีวิตอยู่เพื่อจะได้สัมผัสถึงประสบการณ์ของชีวิตที่มีทั้งความเจ็บปวดและความสุขสันต์ โลกที่เป็นอยู่เหมาะกับเราเป๊ะ และเราเองก็เหมาะเจาะกับโลกนี้มาก โอกาสในการค้นพบพลังชีวิตที่ลำ้ลึกภายในตัวเองจะมาถึงเมื่อชีวิตเผชิญกับอุปสรรคที่ท้าทาย การปฏิเสธความเจ็บปวดและมรสุมของชีวิตคือการปฏิเสธชีวิต เรายังมาไม่ถึงเลยหากเรายังไม่สามารถกล่าวคำว่า ได้เลยกับทุกสิ่งทุกอย่าง 
การมีอยากเป็นฝ่ายถูกกับเรื่องราวใดๆก็ตาม คือการปรักปรำสิ่งนั้น ความฉงนฉงายและอัศจรรย์ใจต่างหากที่จะนำเราไปข้างหน้า   ขณะที่คุณใช้ชีวิตไปตามวิถีทางของคุณ หากนกขี้ใส่ก็อย่าได้เสียเวลากับการเช็ดมันออก การหาแง่มุมอันน่าขันให้กับสถานการณ์ที่คุณเผชิญอยู่จะช่วยเพ่ิมระยะทางทางจิตวิญญาณเพิ่ม อารมณ์ขันจะปกปักษ์รักษาคุณ  
จงดำเนินรอยไปตามความสุขอันลึกซึ้งที่เกิดแต่ภายใน ชีวิตของผู้กล้าคือการมีชีวิตอย่างผจญภัยตามลำพัง  ในการเดินรอยตามเสียงเรียกสู่การผจญภัย มันจะไม่มีความปลอดภัยหรือมั่นคงใดๆ ถ้าคุณรู้ว่าผลลัพธ์ปลายทางคืออะไร ก็จะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอีกต่อไป
การปฏิเสธเสียงเพรียกภายในก็คืออาการเน่าบูดของชีวิต  หากคุณมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับสิ่งใด คุณก็จะประสบกับแง่ร้ายของสิ่งนั้น ดังคุณเดินเข้าป่าในห้วงยามที่มืดมิดที่สุดและมันก็ไม่มีทางเดิน          เพราะหากมันมีทางเดินไว้ให้แล้ว มันก็เป็นเส้นทางของผู้อื่น  มันไม่ใช่เส้นทางของคุณ หากคุณเดินตามเส้นทางของคนอื่น 
คุณก็จะไม่อาจบรรลุถึงศักยภาพในตัวคุณเอง   เวลาอันเป็นนิรันดร์คือที่นี่และเดี๋ยวนี้                                                   สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดำรงอยู่ในตัวคุณ   จงใช้ชีวิตจากแกนภายในของคุณเอง
ภารกิจอันแท้จริงของคุณคือการออกไปจากสังคมของคุณเพื่อค้นหาความสุขอันลึกล้ำ สังคมกลายเป็นศัตรูเมื่อสังคมยัดเยียดกรอบของมันให้ผู้คน   มังกรมีเกล็ดมากมาย ทุกคนต่างพูดคล้ายกันว่า คุณควรจะ…”  ฆ่ามังกรตัวนี้ทิ้งไปเสีย ใครก็ตามที่ฆ่ามังกรตัวนี้ลงได้ก็จะกลายเป็นเด็ก การแหกคอกคือการดำเนินไปตามความสุขอันลึกซึ้ง  เลิกราจากสถานที่เก่าๆเดิมๆ เริ่มต้นออกเดินทางของคุณเองเยี่ยงผู้กล้า ไปตามสัญญาณแห่งปีติภายใน คุณทิ้งสิ่งเก่าๆไปเมื่อวานราวกับงูลอกคราบ
เป้าหมายของการเดินทางของผู้กล้าที่ดิ่งลงสู่ขุมทรัพย์คือการค้นหาระดับต่างๆของจิตที่เปิดกว้าง เปิด เปิด เปิดและในที่สุดก็เปิดรับ ความลี้ลับแห่งธรรมชาติยิ่งใหญ่ภายในตัวคุณ  ไม่ว่าธรรมชาติที่ว่าคือความเป็นพุทธะหรือพระคริสตร์ก็ตาม
นี่คือ การเดินทาง

หมายเหตุ  

โจเซฟ แคมเบลนักตำนานวิทยาชาวอเมริกันผู้ที่ได้ทุ่มเทชีวิตให้กับการค้นคว้าและศึกษาตำนาน ของวัฒนธรรม ต่างๆของมนุษย์ได้มองเห็นเส้นทางการเดินทางจิตวิญญาณมนุษย์ที่หลากหลายต่างๆ ได้อธิบายให้เห็นถึงแรงปรารถนา ของมนุษย์ใน การแสวงหาความหมาย ความจริง อิสรภาพและ และศักยภาพอันสูงสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์ และมีอิทธพลต่อคนสำคัญ ในวงการศิลปะ อย่างจอร์จ ลูคัส ผู้สร้างหนังเรื่องสตาร์วอร์ส  หนังสือที่แคมเบลเขียนและมีชื่อเสียงอย่างยิ่งคือ The Hero of a Thousand Faces และ The Power of Myths
เส้นทางเดินของผู้กล้า


ในการแสวงหาเส้นทางเดินแห่งจิตวิญญาณ เราแต่ละคนล้วนมีเส้นทางของตัวเอง แม้ว่าศาสนาหรือผู้รู้จะได้แสดงให้เห็นว่าเส้นทางที่มีศาสดาทั้งหลายเดินมาก่อนหน้าเป็นอย่างไร และแม้เราจะยอมเดินตามด้วยความเคารพและจริงใจเพียงใด ภารกิจของเราเองคือการแสวงหา ด้วยตัวเราเอง เพื่อที่จะได้รู้อย่างประจักษ์แจ้งด้วยตัวเอง และนั่นอาจหมายถึงการลองเป็นตัว ของตัวเองที่เสี่ยงต่อการถูกกล่าวหาและตัดสินโดยผู้คนในสังคม  จึงจำต้องอาศัยความกล้าหาญ และกำลังใจอย่างยิ่ง  และเมื่อเราค้นพบศักยภาพของที่เป็นดังขุมทรัพย์ภายในตัวเองได้ เราจะตอบแทนสังคมได้อย่างสมภาคภูมิ 
ผมขอยกงานเขียนของโจเซฟ แคมเบล นักตำนานวิทยาผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับการ แสวงหาทาง จิตวิญญาณแห่งยุคสมัย จากหนังสือ A Joseph Cambell Companion: Reflection of the Art of Living ที่เหมือนกับกลั่นกรองและสะกัดมาจากความเข้าใจในการแสวงหาของมนุษย์ที่เขา สั่งสมมาหลายสิบปี
อภิสิทธิ์อันสูงสุดของการมีชีวิตที่เราได้รับ อยู่คือการได้เป็นสิ่งที่เราเป็นไม่ว่าคุณจะทำอะไร ก็ตาม จงทำมันราวกับเล่นชีวิตนั้นหามีความหมายใดๆ คุณนำความหมายมาใส่ให้ชีวิต ดังนั้นความหมาย ของชีวิตก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณให้ความหมายมันอย่างไร ความหมายของชีวิตก็คือการมีชีวิตอยู่
แนวทางของนักรบคือการกล่าวว่า ใช่กับชีวิต และ ใช่กับสิ่งทั้งมวล มีส่วนร่วมอย่างรื่นรมย์กับ ความโศรกเศร้าของโลก เราไม่สามารถเยียวยารักษาโลกแห่งความโศรกเศร้าแต่เราเลือกที่จะ มีชีวิตกับมันอย่างรื่นรมย์ได้เวลาเราพูดว่าจะจัดการคลี่คลายปัญหาของโลก เรากำลังเห่าหอน ต้นไม้ผิดต้น   โลกนี้สมบูรณ์ มันเต็มไปด้วยปฏิกูล และมันก็เป็นเช่นนี้เรื่อยมา   
เราจะไม่เปลี่ยนมัน   หน้าที่ของเราคือการทำชีวิตของเราให้ดี เราต้องพร้อมที่จะสลัดแผนการของชีวิต ทิ้งไปเสีย เพื่อที่จะมี ชีวิตที่รอคอยเราอยู่ ผิวหนังแผ่นเดิมจำต้องหลุดลอก ออกไปก่อนที่ผิวหนัง ชุดใหม่จะเกิดขึ้น     หากเราพยายามแก้ไขแต่สิ่งเดิมๆ เราจะติดแหงก เวลาเรายึดอยู่กับรูปแบบใดๆก็ตาม เรากำลังจะเสี่ยงต่อการผุพังลง    นรกก็คือชีวิตที่แห้งผาก  นักกักตุนในตัวเราช่างยึดติด และจำต้องถูกปลิดชีพลง  เพราะหากเรายึกกุมอยู่กับรูปแบบที่เป็นอยู่ 
เราก็จะไม่มีรูปแบบอะไรใหม่ๆในชีวิต คุณจะเจียวไข่โดยไม่ตอกไข่ให้แตกไม่ได้หรอก  ทำลายแล้วค่อยสร้างใหม่
เราสร้างอะไรไม่ได้เลยจากสิ่งที่สมบูรณ์แล้ว   ในทุกๆกระบวนการจะมีการแตกสลายของบางสิ่งเสมอ โลกจำต้องพังลงเพื่อนำชีวิตใหม่ให้ก่อเกิด     หากเมล็ดพันธุ์ไม่ยอมตายลง ก็จะไม่มีต้นไม้                         ขนมปังเป็นผลมาจากความตายของธัญพืช   ชีวิตดำรงอยู่บนชีวิตทั้งหลาย   ชีวิตของเราอยู่ได้ด้วยการกระทำของผู้อื่น หากคุณอยากทำให้ชีวิตน่าอยู่ คุณจำต้องรับมันให้ได้
จริงๆแล้วเรามีชีวิตอยู่เพื่อจะได้สัมผัสถึงประสบการณ์ของชีวิตที่มีทั้งความเจ็บปวดและความสุขสันต์ โลกที่เป็นอยู่เหมาะกับเราเป๊ะ และเราเองก็เหมาะเจาะกับโลกนี้มาก โอกาสในการค้นพบพลังชีวิตที่ลำ้ลึกภายในตัวเองจะมาถึงเมื่อชีวิตเผชิญกับอุปสรรคที่ท้าทาย การปฏิเสธความเจ็บปวดและมรสุมของชีวิตคือการปฏิเสธชีวิต เรายังมาไม่ถึงเลยหากเรายังไม่สามารถกล่าวคำว่า ได้เลยกับทุกสิ่งทุกอย่าง 
การมีอยากเป็นฝ่ายถูกกับเรื่องราวใดๆก็ตาม คือการปรักปรำสิ่งนั้น ความฉงนฉงายและอัศจรรย์ใจต่างหากที่จะนำเราไปข้างหน้า   ขณะที่คุณใช้ชีวิตไปตามวิถีทางของคุณ หากนกขี้ใส่ก็อย่าได้เสียเวลากับการเช็ดมันออก การหาแง่มุมอันน่าขันให้กับสถานการณ์ที่คุณเผชิญอยู่จะช่วยเพ่ิมระยะทางทางจิตวิญญาณเพิ่ม อารมณ์ขันจะปกปักษ์รักษาคุณ  
จงดำเนินรอยไปตามความสุขอันลึกซึ้งที่เกิดแต่ภายใน ชีวิตของผู้กล้าคือการมีชีวิตอย่างผจญภัยตามลำพัง ในการเดินรอยตามเสียงเรียกสู่การผจญภัย มันจะไม่มีความปลอดภัยหรือมั่นคงใดๆ ถ้าคุณรู้ว่าผลลัพธ์ปลายทางคืออะไร ก็จะไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นอีกต่อไป
การปฏิเสธเสียงเพรียกภายในก็คืออาการเน่าบูดของชีวิต  หากคุณมีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับสิ่งใด คุณก็จะประสบกับแง่ร้ายของสิ่งนั้น ดังคุณเดินเข้าป่าในห้วงยามที่มืดมิดที่สุดและมันก็ไม่มีทางเดิน          เพราะหากมันมีทางเดินไว้ให้แล้ว มันก็เป็นเส้นทางของผู้อื่น มันไม่ใช่เส้นทางของคุณ หากคุณเดินตามเส้นทางของคนอื่น 
คุณก็จะไม่อาจบรรลุถึงศักยภาพในตัวคุณเอง เวลาอันเป็นนิรันดร์คือที่นี่และเดี๋ยวนี้                                                       สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดำรงอยู่ในตัวคุณ   จงใช้ชีวิตจากแกนภายในของคุณเอง

ภารกิจอันแท้จริงของคุณคือการออกไปจากสังคมของคุณเพื่อค้นหาความสุขอันลึกล้ำ สังคมกลายเป็นศัตรูเมื่อสังคมยัดเยียดกรอบของมันให้ผู้คน มังกรมีเกล็ดมากมาย ทุกคนต่างพูดคล้ายกันว่า คุณควรจะ…”   ฆ่ามังกรตัวนี้ทิ้งไปเสีย ใครก็ตามที่ฆ่ามังกรตัวนี้ลงได้ก็จะกลายเป็นเด็ก การแหกคอกคือการดำเนินไปตามความสุขอันลึกซึ้ง เลิกราจากสถานที่เก่าๆเดิมๆ เริ่มต้นออกเดินทางของคุณเองเยี่ยงผู้กล้า ไปตามสัญญาณแห่งปีติภายใน คุณทิ้งสิ่งเก่าๆไปเมื่อวานราวกับงูลอกคราบ

เป้าหมายของการเดินทางของผู้กล้าที่ดิ่งลงสู่ขุมทรัพย์คือการค้นหาระดับต่างๆของจิตที่เปิดกว้าง เปิด เปิด เปิดและในที่สุดก็เปิดรับ ความลี้ลับแห่งธรรมชาติยิ่งใหญ่ภายในตัวคุณ ไม่ว่าธรรมชาติที่ว่าคือความเป็นพุทธะหรือพระคริสตร์ก็ตาม นี่คือ การเดินทาง



หมายเหตุ  
โจเซฟ แคมเบลนักตำนานวิทยาชาวอเมริกันผู้ที่ได้ทุ่มเทชีิวิตให้กับการค้นคว้าและศึกษาตำนาน ของวัฒนธรรม ต่างๆของมนุษย์ได้มองเห็นเส้นทางการเดินทางจิตวิญญาณมนุษย์ที่หลากหลายต่างๆ ได้อธิบายให้เห็นถึงแรงปรารถนา ของมนุษย์ใน การแสวงหาความหมาย ความจริง อิสรภาพและ และศักยภาพอันสูงสุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์ และมีอิทธพลต่อคนสำคัญ ในวงการศิลปะ อย่างจอร์จ ลูคัส ผู้สร้างหนังเรื่องสตาร์วอร์ส  หนังสือที่แคมเบลเขียนและมีชื่อเสียงอย่างยิ่งคือ The Hero of a Thousand Faces และ The Power of Myths