เลื่อนไหลในความโกลาหล
ช่วงที่ผ่านมามีการสนทนาในหมู่เครือข่ายที่สนใจในเรื่องการพัฒนาจิตบนเวบไซด์ของสถาบันขวัญเมือง เรียกว่า วงน้ำชาเสมือน (www.wongnamcha.com) ที่เราสามารถพบปะสังสรรค์กันได้ทุกวัน โดยไม่ต้องอยู่ที่เดียวกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ออกรสเหมือนได้ซดน้ำชากาแฟและเห็นหน้าค่าตาและได้ยินน้ำเสียงกันจริงๆ แต่ก็ได้สร้างสีสรรค์มากมายให้กับการสืบค้นเนื้อหาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับ การดำเนินชีวิต การพัฒนากายจิตของตัวเอง รวมถึงสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์ยุคนี้
ในจำนวนผู้คนที่กระตือรือล้นมากที่สุดคือพี่เม (เมธาวี เลิศรัตนา) ที่มักนำเอาเรื่องราวดีๆ และความเข้าใจในวิทยาศาสตร์กระบวนทัศน์ใหม่มาบอกเล่าและเทียบเคียงกับเรื่องราวของชีวิตต่างที่เชื่อมโยงกันอยู่ และได้ช่วยหยิบยกงานเขียนของ นพ. ประสาน ต่างใจ ผู้เป็นที่ศรัทธาและเคารพยิ่งมาขยายผลทางความคิดอยู่อย่างสม่ำเสมอ
เรื่องหนึ่งที่ดูเหมือนจะกลายเป็นเนื้อเป็นตัวเธอไปแล้วคือ ทฤษฎีไร้ระเบียบ หรือทฤษฎีเคออส (Chaos Theory) ซึ่งช่วยอธิบายปรากฏการณ์และพฤติกรรมของระบบธรรมชาติและจักรวาล ทั้งเล็กและใหญ่ ที่มีธรรมชาติซับซ้อน เกินกว่าจะสามารถทำนายหรือคาดการณ์อย่างตรงไปตรงมาได้ ยิ่งระบบเศรษฐกิจและสังคมทุกวันนี้เชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น ที่สิ่งหนึ่งขยับอีกอย่างก็ขยับเคลื่อนไหวตาม ถือได้ว่าเป็นระบบชีวิตที่มีความไหวตัวสูงมาก อย่างที่ไม่สามารถควบคุมกำกับได้ดังใจคิด
ใครคิดจะทำอะไรทุกวันนี้อาจต้องคิดแล้วคิดอีก หลายคนก็ต้องไปพึ่งพาเรื่องราวทางจิตวิญญาณหรือสิ่งที่มองไม่เห็น หรืออำนาจที่เหนือธรรมชาติที่ไม่สามารถอธิบายได้มาเผชิญหน้ากับความโกลาหลปั่นป่วน ไร้ระเบียบแบบแผนอันชัดเจนที่ชีวิตเผชิญอยู่อย่างเสียไม่ได้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าปรมาจารย์ทั้งหลายที่อธิบายเรื่องราวของสิ่งที่มองไม่เห็น หรือสามารถทำนายทายทักฟันธงลงไปในชีวิตอันอลหม่าน เพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น หรือแม้แต่การตลาดด้านวัตถุมลคงทั้งหลายกำลังมาแรงยิ่งกว่าสิ่งใดๆ อาจถึงคราวที่นักพูดและหมอผีทั้งหลายจะได้กลับมาเป็นผู้นำที่เริ่มน่าเชื่อถืออีกครั้งในยุคไฮเทคนี้
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเรื่องเค-ออสนี้ อาจช่วยทำความเข้าใจกับการดำเนินชีวิตธรรมดาไม่มากก็น้อย เพราะเป็นการมองว่า โลกมันเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง เชื่อมโยง เคลื่อนไหว ไม่เป็นไปได้ดัง "ใจเรา"ที่มักมีแนวทาง กรอบคิดอะไร "ชัดเจน" โลกรอบๆตัวเราที่หมุนเปลี่ยนไปในความน่าจะเป็นทั้งมวล ทว่า เราจะยินยอมให้ตัวเราได้เริงระบำไปพร้อมๆกับความอลหม่านสับสนได้อย่างไร
เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่า ช่วงที่ผ่านมานี้ผมได้รับสาน์นแห่งการเรียนรู้นี้อยู่เรื่อยๆราวกับว่าเป็นบทเรียนที่สำคัญและที่ต้องทำความเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง และยังมีนัยสำคัญในเรื่องการบริหารองค์กรที่ต้องการให้เกิดความสร้างสรรค์ นวัตกรรม การปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที ในความเกาะติดนัวเนีย ก็ยังต้องเปิดพื้นที่ให้กับความไร้ระเบียบ ที่ถือว่าเป็นโอกาสแห่งการพัฒนา ดังที่มาร์กาเร็ต วีทลี่ คุรุแห่งการบริหารองค์กรในกระบวนทัศน์ใหม่ ถือว่าหากไม่ยอมเชื้อเชิญเคออสเข้ามาในการทำงาน ก็อย่าได้หวังให้เกิดความสร้างสรรค์ใดๆ อีกทั้งจะไม่ช่วยให้ส่วนต่างๆขององค์กรได้เกิดความมุ่งมั่นในการจัดการตัวเองดังที่ระบบชีวิตพึงจะเป็นอีกด้วย
เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปเข้าเรียนการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างสร้างสรรค์ ๕ จังหวะกับคุณทิม โบรทัน (Tim Broughton) ถือได้ว่าเป็นกระบวนการภาวนาในกายที่เคลื่อนไหว ซึ่งช่วยพัฒนาสติ และความตื่นรู้ได้อย่างรื่นรมย์ รูปแบบของระบำภาวนาจนเหงื่อแตกนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยนักเต้นหญิง และผู้ค้นคว้าทางจิตวิญญาณชาวอเมริกัน ชื่อ Gabriel Roth ที่ตอนนี้กำลังแพร่หลายเป็นอย่างยิ่งในสังคมยุคสมองโตแต่ตัวลีบนี้ ถือเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยให้วิถีแห่งการดูแลสภาวจิตนั้นมีความรื่นรมย์ได้ ไม่จำเป็นต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อให้กายจิตดีขึ้นเสมอไป เพราะแม้แต่ในทางพุทธเอง ก็มิได้ส่งเสริมการปรนเปรอชีวิตไปทางด้านใดด้านหนึ่ง
แต่ละจังหวะจะมีคุณภาพเฉพาะในดนตรี ซึ่งจะสื่อหรือสะท้อนโลกภายในของเราให้ออกมาในการร่ายรำ หนึ่งในจังหวะทั้งห้าคือ เคออส (Chaos) หรือจังหวะแห่งความไร้ระเบียบแบบแผน เป็นภาวะแห่งการเวียนวนอลหม่าน ไม่มีหลักยึด จะเรียกได้ว่าเป็นอนิจจังไปเสียทั้งหมดก็คงไม่ผิดนัก โดยการเต้นทำให้เรารู้สึกได้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับคลื่นพลังแห่งความปั่นป่วนนั้น เพียงแค่ยอมรับให้เราและภาวะเช่นนี้ไม่แยกออกจากกันอีกต่อไป
เมื่อย้อนกลับมามองการดำเนินชีวิตอย่างเป็นรูปธรรม ความไร้ระเบียบมักกระตุ้นให้เราต้องเผชิญกับภาวะแห่งความหมิ่นเหม่ ความไม่รู้ และเปราะบาง ซึ่งเป็นโอกาสแห่งการเรียนรู้ว่าสิ่งที่เราเห็นหรือรับรู้อยู่นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นดังที่เราคิดหรือที่คาดหวังไว้ และเราต้องพร้อมที่จะถูกทำให้ "ขัดใจ" ซึ่งอาจขัดกับหลักของแนวคิดที่มุ่งเน้นเป้าหมายแน่นอน ซึ่งได้กลายเป็นแนวคิดหลักของสังคมยุคอุตสาหรกรรมนิยมไปแล้ว แม้แต่บ้านเราที่ยังเคยพึ่งพิงแนวคิดแบบ “ธรรมชาติ” และความพอเพียง และเน้นความสัมพันธ์ที่ประสมกลมกลืนกันอย่างมีส่วนร่วม ก็ยังหนีไม่พ้นการพยายามจัดการ ควบคุม แยกส่วน โดยถือว่าจะมีผลจากงานที่กระทำลงไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นแนวคิดแห่งการควบคุมกำกับโลกและชีวิตให้เป็นไปดังใจคิด ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลสำเร็จอย่างมากมายมหาศาล แต่ก็เกิดขึ้นพร้อมกับความขัดแย้งและความทุกข์เช่นกัน
การได้ทำงานร่วมกับองค์กรต่างๆที่ต้องการการเยียวยาความสัมพันธ์ภายในเพื่อพัฒนาต่อไปให้ก้าวหน้ามั่นคงโดยเอาหัวใจของความเป็นมนุษย์เป็นสาระสำคัญนั้น สิ่งที่ผมได้พบอยู่เรื่อยๆคือ แบบแผนความสัมพันธ์หรือโครงสร้างอำนาจในองค์กรได้ก่อให้เกิดโรคร้ายแห่งยุคสมัย ผู้คนเจ็บป่วยทางความรู้สึก ความเหลื่อมล้ำสูงต่ำไม่ทัดเทียมก่อให้เกิดอาการไม่อยากทำงาน ไร้แรงบันดาลใจ รู้สึกด้อยค่า ไม่มีส่วนร่วมในการคิดทำ ความทุกข์เหล่านี้แพร่หลาย เรื้อรังและบางรายก็ถึงสาหัสจนไม่อาจทนได้อีกต่อไป เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้สะท้อนคุณสมบัติหนึ่งขององค์กรเหล่านี้ คือการไม่สามารถยอมรับภาวะไร้ระเบียบ หรือไม่สามารถจัดการความเป็นองค์กรจัดการตัวเองของมนุษย์ ได้น้อยมาก และมีผลให้เกิดความสร้างสรรค์น้อยตามไปด้วย
อาจถึงคราวที่เราจำต้องกลับมาเฝ้ามองความโกลาหลที่เกิดขึ้นอย่างสงบนิ่ง ที่มิได้หมายความว่าหยุด หากเลื่อนไหลไปกับภาวะการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างตื่นรู้และเป็นหนึ่งเดียวกันให้มากขึ้น เพื่อจะได้มองเห็นสิ่งที่ดำรงอยู่ที่ลึกลงไปจากระดับปรากฏการณ์ที่ผิวเผิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมองว่าตัวเราเองก็เป็นส่วนหนึ่งของความเคลื่อนไหวและโลกที่เรามองเห็นเช่นกัน เมื่อนั้นการกระทำใดๆก็จะผุดออกมาจากความเป็นหนึ่งเดียวกัน มากกว่าความแยกส่วนและความขัดแย้ง
Sunday, May 27
Friday, May 18
สิ่งที่คิดไม่ถึง
สิ่งที่คิดไม่ถึง
เมื่อวานได้มีโอกาสพาครอบครัวไปกินข้าวเย็นกัน แม่ได้ให้แง่คิดในการใช้ชีวิตที่ดีมากๆ ที่ผมอาจละเลยมาเสมอ หรือไม่ทันได้คิดคือแนวทางของการอยู่ร่วมกัน แม่บอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะประสบกับสิ่งที่ตัวเองพอใจและไม่พอใจ ซึ่งบางทีเป็นเพียงประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาเพียงชั่วขณะ ส่วนมากอารมณ์ที่พอใจก็จะผ่านไป ส่วนที่ไม่พอใจนั้นมักไม่ยอมให้ผ่าน และพยายามทำความ “คิด” เพื่อทำความเข้าใจกับมัน เช่นว่า
“เอ..เขาทำอย่างนี้เป็นเพราะเขาไม่ชอบใจอะไรในตัวฉันหรือเปล่า” หรือ
“ฉันไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า” หรือ
“ช่วงนี้ชีวิตเขาคงประสบกับข้อจำกัดในตัวเองบางอย่างมั้ง เขาเลยมีพฤติกรรมเช่นนี้”
“เขาต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ที่ทำให้เป็นเช่นนี้”
“เอ...หรือฉันเองนั่นแหล่ะที่เป็นปัญหา”
ไม่ว่าจะคิดไปในทางที่ “เขาคงมีปัญหาในตัวเอง” หรือ “ฉันมีปัญหาที่ฉันไม่รู้”
ก็เป็นการสร้างเรื่องราวขึ้นมาจากสิ่งที่แม่เรียกว่า “น้ำผึ้งหยดเดียว”
แต่โดยส่วนใหญ่คนเรามักจะคิดถึง “เขา” ที่ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจ และพยายามคิดว่าเขามีปัญหาอะไร และหลายๆครั้งก็ไม่ได้คิดถึงเขาเพื่อจะประทุษร้าย หรือ คิดลบ แต่ด้วยความรักและห่วงใยดีๆนี่เองที่ทำให้เราพยายามคิดแล้วคิดอีก เราอาจเรียกว่า เป็นการวิเคราะห์อย่างกรุณา
ไม่เท่านั้นเรายังพยายามช่วยกันคิดอีก เพราะคิดคนเดียวอาจไม่รอบด้านพอ เราเลยชักชวนผู้คนผู้คนให้มาช่วยกันคิด ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความเข้าที่ละเอียดลึกซึ้งลงไปว่า เขาคนนั้นมีปัญหาอะไร และอะไรทำให้เขาต้องเป็นเช่นนั้น
ยิ่งคิดและคุยกันไป “เขา” คนนี้เริ่มปรากฎชัดขึ้นเรื่อยๆ มีรายละเอียดมากขึ้น และเราอาจเชื่อว่าเป็นบทวิเคราะห์ที่รอบด้าน แม่นยำและใกล้เคียงความเป็นจริงเข้าไปทุกที การคิดร่วมกันถือเป็นปัญญาร่วมอย่างหนึ่งที่สังคมกำลังขาดแคลนเป็นอย่างยิ่ง การที่ได้มาร่วมกันและช่วยกันสืบค้นให้ลงลึกถึงทุกแง่ทุกมุมของความเป็นเขานั้น อาจทำให้เราค้นพบ “คำตอบ” หรือ “ทางออก” ให้เขาได้ แต่การยิ่งช่วยคิดกลายเป็นการตอกย้ำให้ความคิดกลายเป็นความจริง(เรามักปักใจเชื่อว่าอย่างนั้น) ขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ หรืออาจเรียกว่าตั้งใจคิดแต่ไม่ตั้งใจทำให้มันเป็นมายาภาพแห่งความจริง แล้วความจริงตามมุมมองของเราก็เริ่มกลายเป็นความจริงทั้งหมด สมบูรณ์เข้มแข็งขึ้น ยิ่งได้รับการถ่ายทอดบอกต่อกันต่อไปเรื่อยๆ ภาพแห่งความจริงนี้ก็แพร่กระจายหรือแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ปักใจทุกดวงให้ยอมรับไปตามๆกันว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
จริงๆแล้วโลกเต็มไปด้วยความรู้ที่เกิดจากความคิด ยิ่งในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาษาและศิลปศาสตร์แขนงต่างๆ ความคิดมีบทบาทสำคัญในการก็ร่างสร้าง “ความรู้” ให้กับอารยธรรมมนุษย์ แล้วเราจะไม่คิดได้อย่างไร ในเมื่อเราเป็นมนุษย์คนหนึ่งร่วมเผ่าพันธุ์กับมนุษยชาติทั้งมวล การคิดเป็นสิ่งที่เราทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ง่ายๆและคุ้นเคยดี ไม่ต้องได้รับการฝึกปรือจากระบบการศึกษาใดๆเราก็สามารถคิดได้เรื่อยๆ แม้ว่าจะมีการจัดระดับว่าคิดอย่างไรถึงจะเรียกว่าทรงปัญญาหรือดูมีเหตุผลและความเป็นวิชาการหรือหลักการรองรับ แต่พ่อค้าแม่ขายชาวไร่ชาวนาก็คิดได้ทั้งนั้น การคิดไม่จำเป็นต้องเข้าโรงเรียนใดๆ
เราคุ้นเคยกับการเฝ้าสังเกตธรรมชาติหรือสิ่งรอบๆตัวเรา ไปพร้อมๆไปกับการใช้ความคิดเพื่อเข้าใจสิ่งเหล่านั้น เช่น เราสังเกตได้ว่าปีนี้ฝนตกเร็ว ทำให้ต้นลิ้นจี่หน้าบ้านออกลูกดกและเร็ว เพราะเราเชื่อว่าทุกอย่างมีเหตุและผลในตัวมันเอง ยิ่งพุทธศาสนาก็สอนว่าสิ่งทั้งหลายล้วนมีมาแต่เหตุปัจจัยทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่ดำรงอยู่อย่างปราศจากเหตุปัจจัยเลย หากเราเข้าใจเหตุปัจจัยเหล่านี้ก็จะทำให้เราเข้าใจว่าผลที่เกิดขึ้นไปด้วยได้
เราอาจคิดในใจว่า “อืม..เราจะช่วยเห็นเขาอย่างไรดี ไม่อยากเห็นเขาต้องมีปัญหาอย่างนี้ต่อไป และฉันเองก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย” เรามักรู้สึกไปเองว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อสิ่งที่เป็นอยู่จะดีขึ้น นี่เป็นวาระที่มักปรากฎอยู่เรื่อยๆ ความคิดที่ว่า “โลกมันคงไม่ดีขึ้นจากการไม่ทำอะไรของเราหรอก” หรือ “สิ่งสร้างสรรค์ที่ดีงามจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราคิดและลงไม้ลงมือกระทำการ มันไม่อาจเกิดขึ้นจากการไม่สร้างเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์อันพึงปรารถนาภายหลังหรอก”
ทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเรา แต่เรากลับไปคิดถึง “เขา” แทนที่จะตั้งคำถามกับตัวเองว่า เออ..แล้วใครเป็นคนไม่พอใจล่ะ ตัวฉันที่ไม่พอใจนั้นเป็นใคร แล้วทำไมถึงเกิดอารมณ์ลบขึ้นมาได้ แสดงว่ามีอะไรบางอย่างในตัวฉันที่เมื่อได้รับการกระทบก็เกิดอาการตะหงิดๆหรือขุ่นมัวขึ้นมาได้
เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดการตีความ โดยอาศัยประสบการณ์ในอดีตมาช่วยตีความ โดยเฉพาะเป็นประสบการณ์ที่เป็นลบทั้งนั้นที่จะเข้ามาเสริมบทวิเคราะห์ของเราให้มั่นคงและแข็งแรงยิ่งขึ้น และยิ่งได้คิดร่วมกันกับคนอื่นก็อาจจะทำให้เราเกิดความมั่นใจว่าสิ่งที่เรามองเห็นถูกต้องแล้ว
ความมั่นใจในความถูกต้องของความคิดเรานั้นเป็นอุปสรรคของการมองเห็นด้านอื่นๆของความจริง ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครสามารถมองเห็นความจริงได้ทั้งหมด แต่เราอาจทำให้ตัวเรามองเห็นในมุมมองอื่นๆได้มากขึ้นกว่าที่เห็นอยู่ โดยเฉพาะในมุมที่เราไม่ต้องการจะมอง หรือมุมมองที่จะทำให้เรารู้สึกกระอักกระอ่วนต่อต้าน
ในการใช้ชีวิตเราใช้การคิดในการดำเนินชีวิตและทำให้เรื่องราวต่างๆดำเนินไปอย่างที่เราต้องการได้ไม่น้อย เราก็เลยคุ้นเคยกับการแก้ปัญหาหรือคลี่คลายปัญหาด้วยการคิด แต่อนิจจาความคิดไม่ใช่ความรู้ อย่างไรเสีย ความคิดก็ยังเป็นความคิดอยู่วันยังค่ำ เวลาเราคิดถึงกลิ่นดอกกุหลาบ ความคิดนี้ก็หาใช้ประสบการณ์ตรงที่เรามีต่อดอกกุหลาบได้ ดังที่ปราชญ์ตะวันออกของเราทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น กฤษณมูรติ รพินฐนาฎ ฐากูร โอโช และนักปฏิบัติทั้งหลายล้วนเห็นว่า ความคิด ไม่ใช่ความรู้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากประสบการณ์ในอดีต ไม่เป็นปัจจุบัน ความคิดล้วนเป็นผลผลิตของสิ่งที่เกิดขึ้นและตายลงไปแล้ว ผ่านไปแล้ว ไม่เป็นจริงในปัจจบันอีกต่อไป แต่ตัวตนของเราคือสิ่งที่ต้องการดำรงอยู่ ไม่ยอมแปรเปลี่ยน ไม่ยอมตายลง และเป็นตัวที่รู้สึกคุ้นเคยและเป็นตัวที่ “มีความรู้” ยินดีในการอ้างอิงความรู้ ข้อมูลหรือหลักการที่ได้รับมาจากอดีต เพื่อจะไม่ต้องเผชิญกับความไม่รู้แห่งอนาคต ดังนั้นเราจึงมักคิดเพื่อทำความเข้าใจและจัดการโลกรอบๆตัวเรา
ลึกๆแล้วเราสนใจใคร่รู้เสมอ ทำให้ต้องมีแนวโน้มจะปฏิเสธการอยู่อย่างไม่รู้ เราปรารถนาความมั่นใจมากกว่าความลังเลสงสัย เราไม่ต้องการศรัธาอนาคตหากปราศจากหลักยึดใดๆ ทั้งๆที่จริงๆแล้วศรัทธานั้นสำคัญเพราะช่วยทำให้เรานาวาชีวิตในความไม่มีหลักยึดในท้องทะเลกว้างแห่งความไม่รู้ ความลังเลสงสัยหรือความคลุมเครือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชีวิตเราอย่างยิ่ง ดังนั้น เราต้องรู้ให้ได้
ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีอะไรเสียหายที่จะคิด แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหายที่จะไม่คิดเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองได้มากน้อยเพียงใด เพราะบางทีอารมณ์ลบที่เกิดขึ้นนั้นมันอาจไม่ได้มีที่มาจากเจตนาร้าย หรือเจตนาที่เป็นลบใดๆเลย เป็นเพียงน้ำผึ้งหนึ่งหยด ที่หยาดลงมากลางใจเราเพียงชั่ววูบเดียว และด้วยความอนุมัติของเรา เราก็ยอมให้เหล่าแมลงวันแมลงหวี่เข้ามาตอมน้ำผึ้งเพียงหยดเดียวในใจเราจนโกลาหลวุ่นวายไปหมด ความรู้สึกไม่ปลอดภัยก็อาจลุกลามเข้าไปใหญ่จนต้องหาพรรคหาพวกมาสนับสนุนความถูกต้องของเราเอง
บางที่การที่เราจะเข้าใจน้ำผึ้งหยดได้ก็ด้วยการไม่คิด ไม่ต้องวิเคราะห์ ไม่ต้องช่วยกันคิดหรือช่วยกันสื่อสารบทวิเคราะห์ที่มักมีความเชิงลบ ที่โดยทั่วไปอาจไม่มีคำเรียก เพราะคำว่านินทาอาจแรงไปนิด คือการสื่อสารแบบให้ร้าย แต่คิดว่าการนินทาแบบอ่อนๆคือการพยายามวิเคราะห์ข้อจำกัดของคนอื่นนี่แหล่ะ
แต่เฝ้าดูภาชนะที่เป็นรองรับความคิดหรืออารมณ์ความรู้สึกอีกที ว่าเมื่อถูกกระทบนั้นสิ่งแรงที่เข้ามาให้สมองคืออะไร เช่น “นายคนนี้ไม่ชอบฉันหรืองัยนะ” นี่แหล่ะน้ำผึ้งหยดแรก หยดมาแล้ว ถ้าอยากหาคำตอบอาจต้องสื่อสารอย่างกรุณาและซื่อตรง แทนที่จะมานั่งวิเคราะห์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
บางทีการดูแลสัมพันธภาพใช้การลงไม้ลงมือทางกายมากกว่าการใช้เวลาในการคิด เช่นการกินข้าว หรือออกไปจ่ายตลาด หรือเดินเล่นร่วมกันและถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันไป หรือบางครั้งไม่ต้องอาศัยการสนทนาอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ทำงานกับสมองส่วนกลาง หรือสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ทำหน้าที่ในการสัมผัสสัมพันธ์กับชีวิตอื่นๆ เป็นการสัมผัสตรงและให้กระบวนการของจิตไร้สำนึกทำหน้าที่ค้นหาการเชื่อมโยงถึงกันและกันอย่างไม่ต้องใส่ความเป็นนักคิดผู้ยิ่งใหญ๋ให้กับตัวเองก็เป็นได้
ไมตรีจิตที่เรามีต่อผู้คนหรือคนที่เรารู้สึกไม่พอใจ และช่วยรับประกัน “ความอยู่รอด” หรือความรู้สึก “ปลอดภัย” และปกติ อาจทำให้ความกลัวหรือความไม่ไว้วางใจอันเกิดจากการคิดค่อยๆจางคลายหายไปในตัวเราเองด้วย
เมื่อเราใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น เราก็อาจค่อยๆเห็นโลกใบใหม่ปรากฎขึ้นในโลกใบเดิม ความรู้ในสิ่งต่างๆหรือผู้คนต่างๆจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสัมผัสเชื่อมโยงตรงอย่างปราศจากเงาแห่งความคิดหรือความกลัว เรารู้ไปตามสิ่งที่เราเป็นและตามความสัมพันธ์ที่เรามีกับสิ่งนั้น หากเป็นความสัมพันธ์ที่แบ่งแยกเราออกจากสิ่งใด เราย่อมไม่มีทางเข้าถึงหรือเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามจริงได้ ผมเชื่อว่าความรู้ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากความรัก เพราะความรักทำให้เราเปิดใจรับรู้สิ่งทั้งหลาย แต่ความกลัวทำให้ใจเราปิด ดังนั้นถ้ายังรู้สึกไม่รักก็อย่าแอบอ้างว่าเข้าใจเลย แม้กระนั้นความรักหรือความเปิดรับอย่างเดียวก็อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งหรือผู้คนทั้งหลายได้อย่างที่เป็น แต่อาศัยการเฝ้ามองและใคร่ครวญอย่างเนิ่นนาน โดยเฉพาะการเฝ้ามองดูตัวเราเองในฐานะที่เป็นประธานแห่งการรับรู้และตีความ หากเราเข้าใจอดีตของเรา ที่มักแสดงตัวผ่านอารมร์และความรู้สึกทางกายในแต่ละปัจจุบันขณะ ก็อาจช่วยเพิ่มโอกาสแห่งการเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น
อย่างน้อยการยอมรับว่า “เราไม่ชอบสิ่งที่เธอทำ” (แทนที่จะเป็นไม่ชอบเธอ) หรือ “สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฉันไม่พอใจ และรบกวนจิตใจฉัน จนทำให้หัวใจฉันปิดลง” ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ซื่อตรงที่สุดในการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เข้ามากระทบในชีวิต เป็นการจัดการยอมรับกับน้ำผึ้งหยดแรกก่อนที่แมลงวันจะมาตอม แมลงวันคือความคิดหลังจากเกิดอารมณ์กระทบ แล้วการสืบค้นกับตัวเองและคนที่เกี่ยวข้องอย่างตรงไปตรงมาก็อาจช่วยให้น้ำผึ้งนั้นแปรเปลี่ยนเป็นการค้นพบกันและกัน หล่อเลี้ยงมิตรภาพให้แน่นแฟ้นที่จะ “อยู่ร่วม” กันได้ด้วยการยอมรับความแตกต่าง ที่แม้ “ความไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ชัดแจ้งแดงแจ๋” ทางความคิดใดๆก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เป็นความรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน บริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากความกลัวใดๆ นี้จึงเป็นสิ่งที่ “คิดไม่ถึง” เลยทีเดียว
เมื่อวานได้มีโอกาสพาครอบครัวไปกินข้าวเย็นกัน แม่ได้ให้แง่คิดในการใช้ชีวิตที่ดีมากๆ ที่ผมอาจละเลยมาเสมอ หรือไม่ทันได้คิดคือแนวทางของการอยู่ร่วมกัน แม่บอกว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะประสบกับสิ่งที่ตัวเองพอใจและไม่พอใจ ซึ่งบางทีเป็นเพียงประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาเพียงชั่วขณะ ส่วนมากอารมณ์ที่พอใจก็จะผ่านไป ส่วนที่ไม่พอใจนั้นมักไม่ยอมให้ผ่าน และพยายามทำความ “คิด” เพื่อทำความเข้าใจกับมัน เช่นว่า
“เอ..เขาทำอย่างนี้เป็นเพราะเขาไม่ชอบใจอะไรในตัวฉันหรือเปล่า” หรือ
“ฉันไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า” หรือ
“ช่วงนี้ชีวิตเขาคงประสบกับข้อจำกัดในตัวเองบางอย่างมั้ง เขาเลยมีพฤติกรรมเช่นนี้”
“เขาต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแน่ที่ทำให้เป็นเช่นนี้”
“เอ...หรือฉันเองนั่นแหล่ะที่เป็นปัญหา”
ไม่ว่าจะคิดไปในทางที่ “เขาคงมีปัญหาในตัวเอง” หรือ “ฉันมีปัญหาที่ฉันไม่รู้”
ก็เป็นการสร้างเรื่องราวขึ้นมาจากสิ่งที่แม่เรียกว่า “น้ำผึ้งหยดเดียว”
แต่โดยส่วนใหญ่คนเรามักจะคิดถึง “เขา” ที่ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจ และพยายามคิดว่าเขามีปัญหาอะไร และหลายๆครั้งก็ไม่ได้คิดถึงเขาเพื่อจะประทุษร้าย หรือ คิดลบ แต่ด้วยความรักและห่วงใยดีๆนี่เองที่ทำให้เราพยายามคิดแล้วคิดอีก เราอาจเรียกว่า เป็นการวิเคราะห์อย่างกรุณา
ไม่เท่านั้นเรายังพยายามช่วยกันคิดอีก เพราะคิดคนเดียวอาจไม่รอบด้านพอ เราเลยชักชวนผู้คนผู้คนให้มาช่วยกันคิด ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อให้เกิดความเข้าที่ละเอียดลึกซึ้งลงไปว่า เขาคนนั้นมีปัญหาอะไร และอะไรทำให้เขาต้องเป็นเช่นนั้น
ยิ่งคิดและคุยกันไป “เขา” คนนี้เริ่มปรากฎชัดขึ้นเรื่อยๆ มีรายละเอียดมากขึ้น และเราอาจเชื่อว่าเป็นบทวิเคราะห์ที่รอบด้าน แม่นยำและใกล้เคียงความเป็นจริงเข้าไปทุกที การคิดร่วมกันถือเป็นปัญญาร่วมอย่างหนึ่งที่สังคมกำลังขาดแคลนเป็นอย่างยิ่ง การที่ได้มาร่วมกันและช่วยกันสืบค้นให้ลงลึกถึงทุกแง่ทุกมุมของความเป็นเขานั้น อาจทำให้เราค้นพบ “คำตอบ” หรือ “ทางออก” ให้เขาได้ แต่การยิ่งช่วยคิดกลายเป็นการตอกย้ำให้ความคิดกลายเป็นความจริง(เรามักปักใจเชื่อว่าอย่างนั้น) ขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ หรืออาจเรียกว่าตั้งใจคิดแต่ไม่ตั้งใจทำให้มันเป็นมายาภาพแห่งความจริง แล้วความจริงตามมุมมองของเราก็เริ่มกลายเป็นความจริงทั้งหมด สมบูรณ์เข้มแข็งขึ้น ยิ่งได้รับการถ่ายทอดบอกต่อกันต่อไปเรื่อยๆ ภาพแห่งความจริงนี้ก็แพร่กระจายหรือแพร่ระบาดได้อย่างรวดเร็ว ปักใจทุกดวงให้ยอมรับไปตามๆกันว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
จริงๆแล้วโลกเต็มไปด้วยความรู้ที่เกิดจากความคิด ยิ่งในทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาษาและศิลปศาสตร์แขนงต่างๆ ความคิดมีบทบาทสำคัญในการก็ร่างสร้าง “ความรู้” ให้กับอารยธรรมมนุษย์ แล้วเราจะไม่คิดได้อย่างไร ในเมื่อเราเป็นมนุษย์คนหนึ่งร่วมเผ่าพันธุ์กับมนุษยชาติทั้งมวล การคิดเป็นสิ่งที่เราทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ ง่ายๆและคุ้นเคยดี ไม่ต้องได้รับการฝึกปรือจากระบบการศึกษาใดๆเราก็สามารถคิดได้เรื่อยๆ แม้ว่าจะมีการจัดระดับว่าคิดอย่างไรถึงจะเรียกว่าทรงปัญญาหรือดูมีเหตุผลและความเป็นวิชาการหรือหลักการรองรับ แต่พ่อค้าแม่ขายชาวไร่ชาวนาก็คิดได้ทั้งนั้น การคิดไม่จำเป็นต้องเข้าโรงเรียนใดๆ
เราคุ้นเคยกับการเฝ้าสังเกตธรรมชาติหรือสิ่งรอบๆตัวเรา ไปพร้อมๆไปกับการใช้ความคิดเพื่อเข้าใจสิ่งเหล่านั้น เช่น เราสังเกตได้ว่าปีนี้ฝนตกเร็ว ทำให้ต้นลิ้นจี่หน้าบ้านออกลูกดกและเร็ว เพราะเราเชื่อว่าทุกอย่างมีเหตุและผลในตัวมันเอง ยิ่งพุทธศาสนาก็สอนว่าสิ่งทั้งหลายล้วนมีมาแต่เหตุปัจจัยทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่ดำรงอยู่อย่างปราศจากเหตุปัจจัยเลย หากเราเข้าใจเหตุปัจจัยเหล่านี้ก็จะทำให้เราเข้าใจว่าผลที่เกิดขึ้นไปด้วยได้
เราอาจคิดในใจว่า “อืม..เราจะช่วยเห็นเขาอย่างไรดี ไม่อยากเห็นเขาต้องมีปัญหาอย่างนี้ต่อไป และฉันเองก็พลอยไม่สบายใจไปด้วย” เรามักรู้สึกไปเองว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อสิ่งที่เป็นอยู่จะดีขึ้น นี่เป็นวาระที่มักปรากฎอยู่เรื่อยๆ ความคิดที่ว่า “โลกมันคงไม่ดีขึ้นจากการไม่ทำอะไรของเราหรอก” หรือ “สิ่งสร้างสรรค์ที่ดีงามจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราคิดและลงไม้ลงมือกระทำการ มันไม่อาจเกิดขึ้นจากการไม่สร้างเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์อันพึงปรารถนาภายหลังหรอก”
ทั้งหมดเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเรา แต่เรากลับไปคิดถึง “เขา” แทนที่จะตั้งคำถามกับตัวเองว่า เออ..แล้วใครเป็นคนไม่พอใจล่ะ ตัวฉันที่ไม่พอใจนั้นเป็นใคร แล้วทำไมถึงเกิดอารมณ์ลบขึ้นมาได้ แสดงว่ามีอะไรบางอย่างในตัวฉันที่เมื่อได้รับการกระทบก็เกิดอาการตะหงิดๆหรือขุ่นมัวขึ้นมาได้
เพราะยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดการตีความ โดยอาศัยประสบการณ์ในอดีตมาช่วยตีความ โดยเฉพาะเป็นประสบการณ์ที่เป็นลบทั้งนั้นที่จะเข้ามาเสริมบทวิเคราะห์ของเราให้มั่นคงและแข็งแรงยิ่งขึ้น และยิ่งได้คิดร่วมกันกับคนอื่นก็อาจจะทำให้เราเกิดความมั่นใจว่าสิ่งที่เรามองเห็นถูกต้องแล้ว
ความมั่นใจในความถูกต้องของความคิดเรานั้นเป็นอุปสรรคของการมองเห็นด้านอื่นๆของความจริง ผมไม่เชื่อว่าจะมีใครสามารถมองเห็นความจริงได้ทั้งหมด แต่เราอาจทำให้ตัวเรามองเห็นในมุมมองอื่นๆได้มากขึ้นกว่าที่เห็นอยู่ โดยเฉพาะในมุมที่เราไม่ต้องการจะมอง หรือมุมมองที่จะทำให้เรารู้สึกกระอักกระอ่วนต่อต้าน
ในการใช้ชีวิตเราใช้การคิดในการดำเนินชีวิตและทำให้เรื่องราวต่างๆดำเนินไปอย่างที่เราต้องการได้ไม่น้อย เราก็เลยคุ้นเคยกับการแก้ปัญหาหรือคลี่คลายปัญหาด้วยการคิด แต่อนิจจาความคิดไม่ใช่ความรู้ อย่างไรเสีย ความคิดก็ยังเป็นความคิดอยู่วันยังค่ำ เวลาเราคิดถึงกลิ่นดอกกุหลาบ ความคิดนี้ก็หาใช้ประสบการณ์ตรงที่เรามีต่อดอกกุหลาบได้ ดังที่ปราชญ์ตะวันออกของเราทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น กฤษณมูรติ รพินฐนาฎ ฐากูร โอโช และนักปฏิบัติทั้งหลายล้วนเห็นว่า ความคิด ไม่ใช่ความรู้ เพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาจากประสบการณ์ในอดีต ไม่เป็นปัจจุบัน ความคิดล้วนเป็นผลผลิตของสิ่งที่เกิดขึ้นและตายลงไปแล้ว ผ่านไปแล้ว ไม่เป็นจริงในปัจจบันอีกต่อไป แต่ตัวตนของเราคือสิ่งที่ต้องการดำรงอยู่ ไม่ยอมแปรเปลี่ยน ไม่ยอมตายลง และเป็นตัวที่รู้สึกคุ้นเคยและเป็นตัวที่ “มีความรู้” ยินดีในการอ้างอิงความรู้ ข้อมูลหรือหลักการที่ได้รับมาจากอดีต เพื่อจะไม่ต้องเผชิญกับความไม่รู้แห่งอนาคต ดังนั้นเราจึงมักคิดเพื่อทำความเข้าใจและจัดการโลกรอบๆตัวเรา
ลึกๆแล้วเราสนใจใคร่รู้เสมอ ทำให้ต้องมีแนวโน้มจะปฏิเสธการอยู่อย่างไม่รู้ เราปรารถนาความมั่นใจมากกว่าความลังเลสงสัย เราไม่ต้องการศรัธาอนาคตหากปราศจากหลักยึดใดๆ ทั้งๆที่จริงๆแล้วศรัทธานั้นสำคัญเพราะช่วยทำให้เรานาวาชีวิตในความไม่มีหลักยึดในท้องทะเลกว้างแห่งความไม่รู้ ความลังเลสงสัยหรือความคลุมเครือเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชีวิตเราอย่างยิ่ง ดังนั้น เราต้องรู้ให้ได้
ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีอะไรเสียหายที่จะคิด แต่ก็ไม่มีอะไรเสียหายที่จะไม่คิดเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองได้มากน้อยเพียงใด เพราะบางทีอารมณ์ลบที่เกิดขึ้นนั้นมันอาจไม่ได้มีที่มาจากเจตนาร้าย หรือเจตนาที่เป็นลบใดๆเลย เป็นเพียงน้ำผึ้งหนึ่งหยด ที่หยาดลงมากลางใจเราเพียงชั่ววูบเดียว และด้วยความอนุมัติของเรา เราก็ยอมให้เหล่าแมลงวันแมลงหวี่เข้ามาตอมน้ำผึ้งเพียงหยดเดียวในใจเราจนโกลาหลวุ่นวายไปหมด ความรู้สึกไม่ปลอดภัยก็อาจลุกลามเข้าไปใหญ่จนต้องหาพรรคหาพวกมาสนับสนุนความถูกต้องของเราเอง
บางที่การที่เราจะเข้าใจน้ำผึ้งหยดได้ก็ด้วยการไม่คิด ไม่ต้องวิเคราะห์ ไม่ต้องช่วยกันคิดหรือช่วยกันสื่อสารบทวิเคราะห์ที่มักมีความเชิงลบ ที่โดยทั่วไปอาจไม่มีคำเรียก เพราะคำว่านินทาอาจแรงไปนิด คือการสื่อสารแบบให้ร้าย แต่คิดว่าการนินทาแบบอ่อนๆคือการพยายามวิเคราะห์ข้อจำกัดของคนอื่นนี่แหล่ะ
แต่เฝ้าดูภาชนะที่เป็นรองรับความคิดหรืออารมณ์ความรู้สึกอีกที ว่าเมื่อถูกกระทบนั้นสิ่งแรงที่เข้ามาให้สมองคืออะไร เช่น “นายคนนี้ไม่ชอบฉันหรืองัยนะ” นี่แหล่ะน้ำผึ้งหยดแรก หยดมาแล้ว ถ้าอยากหาคำตอบอาจต้องสื่อสารอย่างกรุณาและซื่อตรง แทนที่จะมานั่งวิเคราะห์อย่างเป็นเรื่องเป็นราว
บางทีการดูแลสัมพันธภาพใช้การลงไม้ลงมือทางกายมากกว่าการใช้เวลาในการคิด เช่นการกินข้าว หรือออกไปจ่ายตลาด หรือเดินเล่นร่วมกันและถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันไป หรือบางครั้งไม่ต้องอาศัยการสนทนาอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ทำงานกับสมองส่วนกลาง หรือสมองสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่ทำหน้าที่ในการสัมผัสสัมพันธ์กับชีวิตอื่นๆ เป็นการสัมผัสตรงและให้กระบวนการของจิตไร้สำนึกทำหน้าที่ค้นหาการเชื่อมโยงถึงกันและกันอย่างไม่ต้องใส่ความเป็นนักคิดผู้ยิ่งใหญ๋ให้กับตัวเองก็เป็นได้
ไมตรีจิตที่เรามีต่อผู้คนหรือคนที่เรารู้สึกไม่พอใจ และช่วยรับประกัน “ความอยู่รอด” หรือความรู้สึก “ปลอดภัย” และปกติ อาจทำให้ความกลัวหรือความไม่ไว้วางใจอันเกิดจากการคิดค่อยๆจางคลายหายไปในตัวเราเองด้วย
เมื่อเราใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น เราก็อาจค่อยๆเห็นโลกใบใหม่ปรากฎขึ้นในโลกใบเดิม ความรู้ในสิ่งต่างๆหรือผู้คนต่างๆจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการสัมผัสเชื่อมโยงตรงอย่างปราศจากเงาแห่งความคิดหรือความกลัว เรารู้ไปตามสิ่งที่เราเป็นและตามความสัมพันธ์ที่เรามีกับสิ่งนั้น หากเป็นความสัมพันธ์ที่แบ่งแยกเราออกจากสิ่งใด เราย่อมไม่มีทางเข้าถึงหรือเข้าใจสิ่งทั้งหลายตามจริงได้ ผมเชื่อว่าความรู้ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากปราศจากความรัก เพราะความรักทำให้เราเปิดใจรับรู้สิ่งทั้งหลาย แต่ความกลัวทำให้ใจเราปิด ดังนั้นถ้ายังรู้สึกไม่รักก็อย่าแอบอ้างว่าเข้าใจเลย แม้กระนั้นความรักหรือความเปิดรับอย่างเดียวก็อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้เราเข้าใจสิ่งหรือผู้คนทั้งหลายได้อย่างที่เป็น แต่อาศัยการเฝ้ามองและใคร่ครวญอย่างเนิ่นนาน โดยเฉพาะการเฝ้ามองดูตัวเราเองในฐานะที่เป็นประธานแห่งการรับรู้และตีความ หากเราเข้าใจอดีตของเรา ที่มักแสดงตัวผ่านอารมร์และความรู้สึกทางกายในแต่ละปัจจุบันขณะ ก็อาจช่วยเพิ่มโอกาสแห่งการเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น
อย่างน้อยการยอมรับว่า “เราไม่ชอบสิ่งที่เธอทำ” (แทนที่จะเป็นไม่ชอบเธอ) หรือ “สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ฉันไม่พอใจ และรบกวนจิตใจฉัน จนทำให้หัวใจฉันปิดลง” ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ซื่อตรงที่สุดในการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เข้ามากระทบในชีวิต เป็นการจัดการยอมรับกับน้ำผึ้งหยดแรกก่อนที่แมลงวันจะมาตอม แมลงวันคือความคิดหลังจากเกิดอารมณ์กระทบ แล้วการสืบค้นกับตัวเองและคนที่เกี่ยวข้องอย่างตรงไปตรงมาก็อาจช่วยให้น้ำผึ้งนั้นแปรเปลี่ยนเป็นการค้นพบกันและกัน หล่อเลี้ยงมิตรภาพให้แน่นแฟ้นที่จะ “อยู่ร่วม” กันได้ด้วยการยอมรับความแตกต่าง ที่แม้ “ความไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ชัดแจ้งแดงแจ๋” ทางความคิดใดๆก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป เป็นความรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน บริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากความกลัวใดๆ นี้จึงเป็นสิ่งที่ “คิดไม่ถึง” เลยทีเดียว
Subscribe to:
Posts (Atom)